สวัสดีค่ะชาวพันธิปและชาวโซเชียลทุกท่าน

เราหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้น้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ และคนไทยทุกคนในวัยที่เริ่มทำงาน กำลังทำงานอยู่ หรือทำงานมาจนเป็นรุ่นใหญ่ของที่ทำงานนั้นๆแล้ว ได้ฉุกคิดเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในที่ทำงานที่ผู้ที่เป็นฝ้ายกระทำก็ดี หรือถูกกระทำก็ดี ได้ลองคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะทำอะไรบางอย่าง เพราะมันอาจไปทำร้ายคนอื่นได้
และจะบอกว่านิสัย'ตีสองหน้า'

มันไม่ได้มีแค่คนไทยค่ะ ฝรั่งก็ทำ กระทู้นี้เราจะมาเล่าว่าฝรั่งคนนี้มันกระทำอะไรกับเราไว้บ้าง (เราไม่ได้เกลียดฝรั่ง เรามีแฟนเป็นฝรั่ง แต่ฝรั่งคนนี้มาทำนิสัยแบบนี้บนแผ่นดินไทย กับคนไทย ซึ่งมีคนไทยที่เข้าข้างมัน เพื่อมาทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง)
และยังอีกทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะส่งลูกของคุณให้ไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เสียค่าเทอมเหยียบแสน คิด และ ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ.......
ณ ห้องประชุม โรงเรียนนานาชาติ แห่งหนึ่ง
วันที 31 เมษายน 2562 เวลา 16.20น.
ซึ่งมี นายเจ เป็นชาวต่างชาติ เป็นครูที่เราทำงานด้วย สนิทด้วย และเป็นหัวหน้าครูอนุบาล
นางอี เป็นผู้หญิงไทยหัวหน้าฝ่ายจัดการ (ไม่รู้ว่างนางแต่งงานยังแต่นางดูสูงวัย)
และเรา พนักงานผู้ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะถูกลอบกัดในอีกสิบนาทีข้างหน้านี้ อยู่ร่วมประชุมเพื่อประเมินผลเรา
ที่จริงประชุมกันเป็นภาษาอังกฤษนะคะเพราะเป็นโรงเรียนนานาชาติ แต่ขออนุญาตแปลเป็นไทยค่ะ
นางอี: "คุณทำงานได้ดีนะคะดูแลเอาใจใส่ และเป็นห่วงความปลอดภัยของนักเรียน ซึ่งทางเราก็ขอบคุณมากแต่ทัศนคติของคุณมัน international (สากล)เกินไป โรงเรียนนี้ยังเป็นโรงเรียนไทยอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้จะเป็นการทำงานวันสุดท้ายของคุณ คุณไม่ผ่านโปรเบชั่นนะคะ มีอะไรจะอธิบายมั้ยคะ"
นายเจ:.........................(ไม่พูดอะไร นั่งก้มหน้า)
เรา: อึ้งไปสามสิบวิ........."จะให้อธิบายอะไรคะเพราะคุณบอกว่าเราไม่ผ่าน ทั้งที่เราดูแลนักเรียนได้อย่างดี งั้นเราขอถามว่าเราไม่ผ่านเพราะอะไรค่ะ"
นางอี: "อย่างที่บอกไปค่ะทัศนคติของคุณไม่ตรงกับโรงเรียนที่จริงแล้วเรา เคยเตือนคุณหลายครั้ง แต่ว่าคุณไม่เคยปรับปรุงค่ะ"
เรา: "พี่เตือนตอนไหนคะไม่เคยนะคะ ถ้าเป็นเรื่องกางเกงที่พี่บอกว่ารัดไปหนูก็ ซื้อใหม่ทันที ซึ่งพี่ก็บอกเองว่าโอเคแล้ว หรือว่าหนูเสียงดังกับเด็กคะ หนูก็ถามนายเจแล้วเค้าก็ว่าไม่เป็นไรถ้าจะมีบ้าง เพราะเด็กซนบางครั้งถ้าเราไม่ดุอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ โรงเรียนนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเด็กเรื่องความปลอดภัยหรอคะ แล้วมันมีเรื่องไหนอีกหรอคะ"
นายเจ:......................(ไม่พูดอะไร นั่งก้มหน้า)
นางอี: "ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนะคะ แต่วันนี้พี่เห็นคุณทำโทษให้เด็กไปนั่งพื้น แล้วคุณก็ไปนั่งเก้าอี้ครู ไขว่ห้างทำท่าสะใจ"
เรา: "หนูให้เด็กนั่งเพราะเค้าวิ่งกัน แล้วแถวตู้กดน่ำก็มีน้ำหกกลัวน้องจะลื่น เลยให้นั่งพื้นตรงข้างๆจนกว่าจะเงียบ และในเมื่อห้องที่พี่นั่งมันห่างไกลเป็นหลายสิบเมตรคุณรู้ได้ไงว่าเราทำท่าสะใจ?"
นายเจ:.......................(ไม่พูดอะไร นั่งก้มหน้า)
นางอี: "ก็นั่นแหละค่ะ มันไม่เหมาะสม คุณควรไลน์ให้นายเจ กลับมาดูแลหรือลงโทษ คุณเป็นแค่ผู้ช่วยไม่มีสิทธิ์"
เรา: "อ่าว แล้วถ้ามันไม่ทัน เด็กเกิดอะไรขึ้นมามาหนูก็ต้องรับผิดชอบ เท่ากับว่า ถ้าทำอะไรก็ผิด ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ผิด"
นางอี: "เอาเป็นว่าทัศนคติ ไม่ตรงกันหลายเรื่อง เรื่องที่หนูมาถามพี่เรื่องกางเกงพี่ก็ขอบคุณมาก แต่ยังไงก็ต้องออกนะคะ รบกวนไปเก็บของด้วยค่ะ เพราะวันนี้มันคือการทำงานวันสุดท้ายของคุณ"
เมื่อสิ้นสุดคำนั้นลงน้ำตาเรามันไหลออกมาไม่หยุดแล้วก็ดังขึ้นจนเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง เริ่มไม่มีสติ และเราก็ตอบกลับนางอีว่า "ทำไมพี่ใจร้ายแบบนี้ ทำไมพี่ไม่ให้หนูลาเด็กๆของหนูเลย หนูอยู่กับน้องมาตั้งหลายเดือน หนูผูกพัน หนูยังไม่ได้กอดลานักเรียนของหนูเลย" เราร้องไม่หยุด พร้อมไม่หยุดพูด และนางอีเค้าก็ยังไม่เลิกตีสองหน้าใส่เราพูดขอบคุณที่เราทำงานดีแต่ให้เราไปเก็บของ นี่มันเหตุผลหัวช้างอะไรของมัน

จนเราสติไม่อยู่ เราเลยพูดสบถทั้งน้ำตามาว่า F off

แล้วเราก็พูดว่า ยังไงเราก็ต้องออกวันนี้ งั้นหยุดพูดเถอะ แบบนี้มันเสียเวลา และเราก็เดินออกไปจากห้องประชุมเพื่อไปเก็บข้าวของทันท่ี ตอนนั้น นายเจ ซึ่งเป็นทั้งบอสและเพื่อนร่วมงานที่เราสนิทที่สุดก็ยังคงไม่พูดอะไร..................................
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2562
เราทำงานมาหลายที่ สั่งสมประสบการณ์มาเยอะ เราเจอเพื่อนร่วมงานแกล้งสารพัด ทนไม่ไหว ร้องไห้ ลาออกทั้งๆที่เราไม่ได้ผิดด้วยซ้ำ ก็ยังเคยมาแล้ว เพราะกดดัน ทนไม่ได้...........................มาได้สักพักหนึ่ง จนเรามาเจองานที่เรารู้สึกว่า เราไปทำงานแบบไม่รู้สึกว่าต้องไปทำงาน งงไหมคะ555 มันคืองานที่เราทำแล้วมีควาสุขนั่นเองค่ะ และเมื่อเราพอพูดภาษาอังกฤษได้พอใช้ เราจึงได้รับโอกาสร่วมงานกับเด็กค่ะ งานนี้ก็คือ เราเป็นผู้ช่วยครู โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนนี้ตั้งอยู่แถวถนนเพชรบุรีค่ะ ใครที่พอจะนึกออกก็เหยียบไว้นะคะ จุ๊ๆ สาเหตุที่เราจะมาแฉบุคคลสองบุคคลนี้ เพราะตอนนี้เราออกมาจะครบเดือนแล้วค่ะ แต่เค้าก็ยังไม่หยุด ไม่เลิกใส่ร้ายเรา เราก็ออกมาแล้วยังไม่หยุดสร้างเรื่อง เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น เราได้ยินมาสักพักหนึ่งเลยรู้สึกว่า ไม่ไหวละ ต้องหาทางที่จะทำให้โลกรู้ว่าทุกวันนี้ สิ่งที่คุณทำและพูดใส่ร้ายผู้อื่นนั้นมันเป็นการเหยียดหยามผู้อื่น และทำให้ผู้อื่นรู้สึกได้ชั่ว ขออภัยที่ใช้คำรุนแรง แต่เรารู้สึกแบบนี้จริงๆ สองคนนี้ทำให้เราไม่เคารพตัวเอง และคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ความสามารถ เราเริ่มงานที่นี่เมื่อเดือน มกราคม 2562 นี้เองค่ะ รวมแล้วสี่เดือน เราเคยทำงานกับเด็กมามาก เรารักเด็ก และมีความสุขที่ได้ทำงาน เพราะหลักๆคนที่เราร่วมงานด้วยมากที่สุดคือเด็ก

และรองลงมาก็คือครูฝรั่งที่มีเราเป็นครูผู้ช่วย ที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนานาชาติสามภาษาค่ะ หลักๆสอนภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาจีน เราทำงานร่วมกับครูฝรั่ง ครูฝรั่งที่เราทำงานด้วยมาจากต่างประเทศค่ะเป็นชายร่างสูง ผิวขาว หุ่นท้วม ลงพุง แขนขาไม่ใหญ่เราไม่ทราบอายุที่แน่นอน น่าจะประมาณ 55 ปี คล้ายกับหมีพูล์ ดูใจดีไม่มีพิษภัยอะไร ซึ่งขอเรียกว่านาย เจ ค่ะ นายเจ เป็นคนสัมภาษณ์เราและรับเราเข้าทำงาน นายเจเป็นครูระดับชั้นอนุบาลสาม และเป็นหัวหน้าแผนกครูอนุบาลทั้งหมด ซึ่งทุกห้องเรียนจะมีครูต่างชาติหนึ่งคน และครูผู้ช่วยหนึ่งคน ถ้าเด็กเล็กหน่อยก็จะมี พี่เลี้ยงคอยดูแล ซึ่งห้องที่เราทำงานด้วยก็จะมี ครูผู้ช่วยอีกหนึ่งคน ทุกวันครูทุกคนจะอยู่ประจำห้องของตัวเอง แต่สำหรับห้องของเราไม่ค่ะ เพราะว่านายเจจะยุ่งๆทำให้เราต้องคอยสอนแทน บางครั้งนายเจไปทำธุระเรื่อง Work permit หรือการขอวีซ่าทำงานของชาวต่างชาติ แต่เค้ามีแต่คนไม่ชอบ เค้าจึงไม่ค่อยอยากไปขอความช่วยเหลือจากครูคนอื่น ซึ่งเราก็เข้าใจ เราก็ดูแลเด็กนักเรียนห้องเราคนเดียวมาตลอดและตั้งใจทำงานสอนเด็กไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ในขณะที่ครูฝรั่งบางท่านถามเราประจำว่า ไม่เหนื่อยหรอ เพราะเราต้องดูแลเด็กเองคนเดียว(ช่วงที่เราเข้าใหม่ๆยังไม่มีครูผู้ช่วยอีกคนค่ะ) และที่จริงการสอนนั้นไม่ใช่หน้าที่เราแต่เป็นหน้าที่ครูฝรั่งถ้าเค้าไม่อยู่ต้องหาครูฝรั่งคนอื่น มาแทน นี่มันไม่แฟร์เลยสำหรับยู เราก็ตอบไปว่าไม่เหนื่อยเรายินดีดูแลเด็กเราโอเค เมือถึงคาบที่นายเจต้องสอน บางทีเค้าลืมสอน เราก็ไลน์ไปตาม บางทีเกิดเรื่องอะไรที่เราไม่โอเคหรือไม่มั่นใจเราก็ปรึกษาเค้า เพราะเค้าเป็นครูที่เราทำงานด้วยและยังเป็นทั่งหัวหน้าของเราด้วย อาทิตย์ที่สองที่เรามาทำงานเราจำได้เลยว่า นายเจ มาขอเฟสบุ๊คกับอินสตาแกรมเรา เราเลยบอกว่าไม่ให้ค่ะ เพราะเราจะไว้เล่นกับเพื่อนกับครอบครัวเรา เราไม่ชอบแอดคนที่ทำงาน เราเป็นคนตรงๆงี้อ่ะ แต่เราก็ปฏิเสธอย่างนิ่มนวลนะ สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือนายเจ เอารูปเราสมัยห้าหกปีที่แล้วมาโชว์เรา เราเลยถามว่าอ้าวยูเอามาจากไหน เค้าก็ยิ้มๆ ทำหน้าหลอกๆแบบเด็กๆเล่น เราก็รู้สึกไม่ดีนะ คือเค้าเป็นบอสอ่ะ แล้วมาเซฟรูปเราจากเนต เราคิดว่าน่าจะเป็นเฟสเก่าเราที่เปิดไว้นาน เพราะตอนนี้เราเล่นเฟสเดียวเลยเข้าเฟสเก่าไม่ได้ ลืมรหัส แต่เราพยามไม่คิดมาก ไม่ปรึกษาใคร คือเข้าใจไหมคะ ลองไปปรึกษาใครสิ เค้าคงคิดว่า โหว สวยตายหล่ะแก หลงตัวเอง งี้ เราเลยเงียบๆไว้ และคิดว่าเค้าเป็นเพื่อน อย่างที่เราบรรยายไป ค่ะ รูปร่าง หน้าตา อายุ คือเค้าไม่ใช่สเปคเราอ่ะ ไม่เลย แต่เค้าก็จะคุยไลน์กับเราทุกวัน ส่วนมากก็คือบ่นเรื่องงาน เราเลยไม่คิดอะไร จนมีครั้งหนึ่งเค้าส่งสติกเกอร์ไลน์รูปหมาปั๊กมา เราบอกโหวยูวอันนี้กวนดี น่ารักๆ สักพักนึง ไลน์เราดัง เค้าซื้อสติกเกอร์นี้แล้วส่งมาให้เรา เรานี่แบบอึ้งคิดว่าไม่น่าธรรมดาแล้ว คือช่วงนั้นเราโสดอยู่ซึ่งเค้ารู้ แต่พูดตรงๆนะ เราก็ยังไม่เข้าข้างตัวเองอ่ะ เลยคิดว่าเพราะเราทำงานดีมั้ง แล้วเค้าเป็นบอส เค้าคงไว้ใจที่เราเป็นเพื่อนเค้าอ่ะ แต่ทุกวันที่เราไปทำงานเราก็ระวังตัวมากขึ้น แต่เราก็คุยกับเค้าเหมือนเดิมนะ คือเค้าจะมาชอบด่าครูคนอื่นกับผู้อำนวยการโรงเรียนให้เราฟัง โดยใช้คำ S words ทั้งหลายก็คือพวก ฟาคค ของคนฝรั่งเค้าอ่ะค่ะ เราก็รับฟัง และเราไม่พูดต่อ คุณเข้าใจไหมว่าเราวางตัวลำบากมาก เพราะเราก็เป็นเพื่อนกับครูฝรั่งคนอื่น และครูไทยบางคน(สาเหตุที่บางคนเพราะทุกที่แหละค่ะมีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดเป็นของธรรมดา) แต่เราก็ Shut my mouth อ่ะ คือเงียบไม่พูดต่อ แล้วไม่เอาเรื่องของครูคนอื่นมาบอก เพราะเราไม่ชอบมีปัญหาในที่ทำงาน เราเป็นคนเสียงดัง บางทีก็ดุเด็ก แต่เพื่อให้เค้าฟัง แต่ไม่เคยตี ไม่เคยทำโทษ มากสุดคือให้นั่งลงกับพื้นจนกว่าจะเงียบ นั่นคือการทำโทษของเราขั้นสุงสุด แต่เราก็สนิทกับเด็กเร็วมากด้วยความเป็นคนบ้าบอ ชอบเล่น นางก็จะรักมากอด มาหอมเราทุกวัน บางวันเหนื่อยๆมาทำงาน เด็กวิ่งมากอดนี่แบบ หายเหนื่อยเลย.......
เช้าวันนึงในเดือนมีนาคม
นายเจ มาบอกเราว่ายู ตั๋วเครื่องบินช่วงนี้ถูกมาก ยูลองดูสิ เพราะเดือนเมษายน โรงเรียนจะหยุดสิบกว่าวัน บางคนเลยวางแผนเที่ยว เราก็เออหรอๆ น่าสนใจดี นายเจก็ถามเราว่าสนใจไปไหนไหม เราก็บอกอ๋อดูๆไว้อาจจะไปเวียดนาม อยากไปเห็นว่าสวย อยากไปทะเลสวยๆในเวียดนาม นางก็บอกว่าจะใส่บีกินนี่สีแดงมั้ย เราเลยแบบ เอ่อ มันคงล้อเล่นมั้ง เราก็บ้าาาา ฮาๆไปจากนั้นมันก็เริ่มแปลกขึ้นเพราะนายเจเริ่มหาข้อมูลและวางแผนกับเราซึ่งเราก็ถามตัวเองในใจว่ามันแปลกหว่ะ จะมาวางแผนทำไม หลังจากนั้นนายเจก็ถามเรามาอีกสองวันว่า จองหรือยัง เราเลยบอกว่ายังอ่ะ เพราะรอเพื่อนๆตอบอยู่ เพื่อนยังไม่ว่าง จนครบอาทิตย์ ก็ยังถามเราทุกวัน จนมาวันนึง เราคิดเลยว่า จะถามทำไมวะ คือไม่ใช่ละ เราเลยคิดแผนนึงขึ้นมาเพื่อลองใจว่าสรุปมันจีบตรูหรือเปล่า เราเลยพูดขึ้นมาว่า คงไม่ได้ไปละ เพื่อนไอไม่ว่าง เค้าเลยถามกลับว่างั้นยูจะไปคนเดียวหรอ ไม่กลัวหรอ เราเลยแกล้งพูดกับเค้าไปว่า งั้นยูจะไปด้วยไหมหล่ะ นายเจตอบว่า......
"ไม่รู้สิขอไอดูก่อนว่าจะเอาหมาที่บ้านไปฝากได้มั้ย ถ้าได้ก็จะไปได้ด้วย"
เรา.........!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
อ่อนแอก็แพ้ไป แต่ถ้าไม่อ่อนแอ และ ไม่อ่อนไหว ก็ยังตกงานนะคะ!
และจะบอกว่านิสัย'ตีสองหน้า'
และยังอีกทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะส่งลูกของคุณให้ไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เสียค่าเทอมเหยียบแสน คิด และ ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ.......
ณ ห้องประชุม โรงเรียนนานาชาติ แห่งหนึ่ง
วันที 31 เมษายน 2562 เวลา 16.20น.
ซึ่งมี นายเจ เป็นชาวต่างชาติ เป็นครูที่เราทำงานด้วย สนิทด้วย และเป็นหัวหน้าครูอนุบาล
นางอี เป็นผู้หญิงไทยหัวหน้าฝ่ายจัดการ (ไม่รู้ว่างนางแต่งงานยังแต่นางดูสูงวัย)
และเรา พนักงานผู้ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะถูกลอบกัดในอีกสิบนาทีข้างหน้านี้ อยู่ร่วมประชุมเพื่อประเมินผลเรา
ที่จริงประชุมกันเป็นภาษาอังกฤษนะคะเพราะเป็นโรงเรียนนานาชาติ แต่ขออนุญาตแปลเป็นไทยค่ะ
นางอี: "คุณทำงานได้ดีนะคะดูแลเอาใจใส่ และเป็นห่วงความปลอดภัยของนักเรียน ซึ่งทางเราก็ขอบคุณมากแต่ทัศนคติของคุณมัน international (สากล)เกินไป โรงเรียนนี้ยังเป็นโรงเรียนไทยอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้จะเป็นการทำงานวันสุดท้ายของคุณ คุณไม่ผ่านโปรเบชั่นนะคะ มีอะไรจะอธิบายมั้ยคะ"
นายเจ:.........................(ไม่พูดอะไร นั่งก้มหน้า)
เรา: อึ้งไปสามสิบวิ........."จะให้อธิบายอะไรคะเพราะคุณบอกว่าเราไม่ผ่าน ทั้งที่เราดูแลนักเรียนได้อย่างดี งั้นเราขอถามว่าเราไม่ผ่านเพราะอะไรค่ะ"
นางอี: "อย่างที่บอกไปค่ะทัศนคติของคุณไม่ตรงกับโรงเรียนที่จริงแล้วเรา เคยเตือนคุณหลายครั้ง แต่ว่าคุณไม่เคยปรับปรุงค่ะ"
เรา: "พี่เตือนตอนไหนคะไม่เคยนะคะ ถ้าเป็นเรื่องกางเกงที่พี่บอกว่ารัดไปหนูก็ ซื้อใหม่ทันที ซึ่งพี่ก็บอกเองว่าโอเคแล้ว หรือว่าหนูเสียงดังกับเด็กคะ หนูก็ถามนายเจแล้วเค้าก็ว่าไม่เป็นไรถ้าจะมีบ้าง เพราะเด็กซนบางครั้งถ้าเราไม่ดุอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ โรงเรียนนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเด็กเรื่องความปลอดภัยหรอคะ แล้วมันมีเรื่องไหนอีกหรอคะ"
นายเจ:......................(ไม่พูดอะไร นั่งก้มหน้า)
นางอี: "ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนะคะ แต่วันนี้พี่เห็นคุณทำโทษให้เด็กไปนั่งพื้น แล้วคุณก็ไปนั่งเก้าอี้ครู ไขว่ห้างทำท่าสะใจ"
เรา: "หนูให้เด็กนั่งเพราะเค้าวิ่งกัน แล้วแถวตู้กดน่ำก็มีน้ำหกกลัวน้องจะลื่น เลยให้นั่งพื้นตรงข้างๆจนกว่าจะเงียบ และในเมื่อห้องที่พี่นั่งมันห่างไกลเป็นหลายสิบเมตรคุณรู้ได้ไงว่าเราทำท่าสะใจ?"
นายเจ:.......................(ไม่พูดอะไร นั่งก้มหน้า)
นางอี: "ก็นั่นแหละค่ะ มันไม่เหมาะสม คุณควรไลน์ให้นายเจ กลับมาดูแลหรือลงโทษ คุณเป็นแค่ผู้ช่วยไม่มีสิทธิ์"
เรา: "อ่าว แล้วถ้ามันไม่ทัน เด็กเกิดอะไรขึ้นมามาหนูก็ต้องรับผิดชอบ เท่ากับว่า ถ้าทำอะไรก็ผิด ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ผิด"
นางอี: "เอาเป็นว่าทัศนคติ ไม่ตรงกันหลายเรื่อง เรื่องที่หนูมาถามพี่เรื่องกางเกงพี่ก็ขอบคุณมาก แต่ยังไงก็ต้องออกนะคะ รบกวนไปเก็บของด้วยค่ะ เพราะวันนี้มันคือการทำงานวันสุดท้ายของคุณ"
เมื่อสิ้นสุดคำนั้นลงน้ำตาเรามันไหลออกมาไม่หยุดแล้วก็ดังขึ้นจนเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง เริ่มไม่มีสติ และเราก็ตอบกลับนางอีว่า "ทำไมพี่ใจร้ายแบบนี้ ทำไมพี่ไม่ให้หนูลาเด็กๆของหนูเลย หนูอยู่กับน้องมาตั้งหลายเดือน หนูผูกพัน หนูยังไม่ได้กอดลานักเรียนของหนูเลย" เราร้องไม่หยุด พร้อมไม่หยุดพูด และนางอีเค้าก็ยังไม่เลิกตีสองหน้าใส่เราพูดขอบคุณที่เราทำงานดีแต่ให้เราไปเก็บของ นี่มันเหตุผลหัวช้างอะไรของมัน
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2562
เราทำงานมาหลายที่ สั่งสมประสบการณ์มาเยอะ เราเจอเพื่อนร่วมงานแกล้งสารพัด ทนไม่ไหว ร้องไห้ ลาออกทั้งๆที่เราไม่ได้ผิดด้วยซ้ำ ก็ยังเคยมาแล้ว เพราะกดดัน ทนไม่ได้...........................มาได้สักพักหนึ่ง จนเรามาเจองานที่เรารู้สึกว่า เราไปทำงานแบบไม่รู้สึกว่าต้องไปทำงาน งงไหมคะ555 มันคืองานที่เราทำแล้วมีควาสุขนั่นเองค่ะ และเมื่อเราพอพูดภาษาอังกฤษได้พอใช้ เราจึงได้รับโอกาสร่วมงานกับเด็กค่ะ งานนี้ก็คือ เราเป็นผู้ช่วยครู โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนนี้ตั้งอยู่แถวถนนเพชรบุรีค่ะ ใครที่พอจะนึกออกก็เหยียบไว้นะคะ จุ๊ๆ สาเหตุที่เราจะมาแฉบุคคลสองบุคคลนี้ เพราะตอนนี้เราออกมาจะครบเดือนแล้วค่ะ แต่เค้าก็ยังไม่หยุด ไม่เลิกใส่ร้ายเรา เราก็ออกมาแล้วยังไม่หยุดสร้างเรื่อง เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น เราได้ยินมาสักพักหนึ่งเลยรู้สึกว่า ไม่ไหวละ ต้องหาทางที่จะทำให้โลกรู้ว่าทุกวันนี้ สิ่งที่คุณทำและพูดใส่ร้ายผู้อื่นนั้นมันเป็นการเหยียดหยามผู้อื่น และทำให้ผู้อื่นรู้สึกได้ชั่ว ขออภัยที่ใช้คำรุนแรง แต่เรารู้สึกแบบนี้จริงๆ สองคนนี้ทำให้เราไม่เคารพตัวเอง และคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ความสามารถ เราเริ่มงานที่นี่เมื่อเดือน มกราคม 2562 นี้เองค่ะ รวมแล้วสี่เดือน เราเคยทำงานกับเด็กมามาก เรารักเด็ก และมีความสุขที่ได้ทำงาน เพราะหลักๆคนที่เราร่วมงานด้วยมากที่สุดคือเด็ก
เช้าวันนึงในเดือนมีนาคม
นายเจ มาบอกเราว่ายู ตั๋วเครื่องบินช่วงนี้ถูกมาก ยูลองดูสิ เพราะเดือนเมษายน โรงเรียนจะหยุดสิบกว่าวัน บางคนเลยวางแผนเที่ยว เราก็เออหรอๆ น่าสนใจดี นายเจก็ถามเราว่าสนใจไปไหนไหม เราก็บอกอ๋อดูๆไว้อาจจะไปเวียดนาม อยากไปเห็นว่าสวย อยากไปทะเลสวยๆในเวียดนาม นางก็บอกว่าจะใส่บีกินนี่สีแดงมั้ย เราเลยแบบ เอ่อ มันคงล้อเล่นมั้ง เราก็บ้าาาา ฮาๆไปจากนั้นมันก็เริ่มแปลกขึ้นเพราะนายเจเริ่มหาข้อมูลและวางแผนกับเราซึ่งเราก็ถามตัวเองในใจว่ามันแปลกหว่ะ จะมาวางแผนทำไม หลังจากนั้นนายเจก็ถามเรามาอีกสองวันว่า จองหรือยัง เราเลยบอกว่ายังอ่ะ เพราะรอเพื่อนๆตอบอยู่ เพื่อนยังไม่ว่าง จนครบอาทิตย์ ก็ยังถามเราทุกวัน จนมาวันนึง เราคิดเลยว่า จะถามทำไมวะ คือไม่ใช่ละ เราเลยคิดแผนนึงขึ้นมาเพื่อลองใจว่าสรุปมันจีบตรูหรือเปล่า เราเลยพูดขึ้นมาว่า คงไม่ได้ไปละ เพื่อนไอไม่ว่าง เค้าเลยถามกลับว่างั้นยูจะไปคนเดียวหรอ ไม่กลัวหรอ เราเลยแกล้งพูดกับเค้าไปว่า งั้นยูจะไปด้วยไหมหล่ะ นายเจตอบว่า......
"ไม่รู้สิขอไอดูก่อนว่าจะเอาหมาที่บ้านไปฝากได้มั้ย ถ้าได้ก็จะไปได้ด้วย"
เรา.........!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!