ต่อจาก ( ตอน 3 )
อมฤตสา วิหารทองคำ ด่านวาการ์
พอออกมาจากมหาวิหาร ก็มีการซื้อของทันที เหมือนเราไปวัดใหญ่ ๆ ก็จะมีของขายหน้าวัดเต็มไปด้วยร้านค้า 2 ข้างถนนส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าอินเดียดูแล้วก็สวยงามมีสีสรรสดใส บางชิ้นก็เป็นงานฝีมือปักมุก ปักเลื่อม ที่ปักส่วนใหญ่จะเป็นชุดสาหรี่ ถ้าดูสินค้าไปแล้วจะพบว่าส่วนใหญ่สินค้าของอินเดียจะเป็นแพรพรรณและเสื้อผ้า ราคาไม่แพงมาก เนื้อผ้าน่าจะใส่สบายดูเบาสบายมีน้ำหนัก อย่างไรก็ตามเราไม่ได้ซื้อแต่มีเพื่อนบางคนสนใจและซื้อมาเป็นของฝาก ที่จริงซื้อไว้ก็ไม่เสียหาย พอมาถึงเมืองไทยก็คิดว่าน่าจะซื้อผ้าห้อยคอของอมฤตสา มาซักผืนเป็นที่ระลึก (...เฮ้อ...สายเสียแล้ว..)


เมื่อออกจากวิหารทองแล้ว ไกด์พาวัดฮินดูอีกวัดหนึ่งใกล้ ๆ กัน คือวัดสุวรรณวิหารหรือวัดทอง (วิหารทองกับวัดทอง คนละวัด...นะ...) เป็นวัดที่ชาวฮินดูนับถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในวัดมีการร้องเพลงสวดมนต์ เหมือนโบสถ์ คริสเตียน มีการบรรเลงดนตรีประกอบ ( ...หีบเสียง กลอง เหมือนออแกนด้วย แต่เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่เคยเห็น ..แต่ก็เพราะดี อยากนั่งฟังนานๆ....แต่เวลาซินะ....) ก่อนเข้าวัดทุกคนต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนั่งรถเดินทางไปด่านวาการ์ (Wagah Border) อยู่ห่างจากวิหารทองคำ เมืองอมฤตสา 40 km ( ที่บริเวณวิหารทองคำจะมี คนถามว่าจะไปด่านวาการ์ไหม? ถ้าไปเองคงนั่งรถที่นี่ได้....)
ด่านวาการ์ อมฤตสา เดลฮี บังกาลอร์ บางกอก
พิธีสวนสนามปิดด่านชายแดนวาการ์ อินเดีย ปากีสถาน ( India Pakistan Wagah Attari Border Closing Ceremony ) การตบเท้าสวนสนามอย่างห้าวหาญสง่างามประจำวันของทหารที่ชายแดน อินเดีย ปากีสถาน เป็นพิธีเชิญธงชาติลงจากเสาที่ชายแดนวาการ์ของทหารอินเดียและปากีสถาน ทุกเย็น 2 ชั่วโมง ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
Wagah Border Ceremony มีมาตั้งแต่ปี 1959 จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้เกียรติ " มิตรและศัตรู " ของทั้งสองประเทศ
ด้วยศักดิ์ศรีของทั้งสองชาติที่มีแสนยานุภาพของตนเอง พิธีการนี้จึงเป็นเสมือนสนามประลองที่มีไว้ เพื่อประชันลีลา และความสง่างามระหว่างกัน
ปมขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถาน เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ 1947 ทั้งสองประเทศต่างแย่ง(อ้างสิทธิ ความชอบธรรม..) การครอบครองแคชเมียร์ ภายใต้แผนการแบ่งประเทศตามกฏหมายเอกราชอินเดีย โดยมอบให้แคชเมียร์มีอิสระในการตัดสินใจที่จะอยู่กับอินเดียหรือปากีสถาน มหาราชา ฮารี ซิงค์ ผู้ปกครองแคชเมียร์ (สมัยนั้น..). เลือกอยู่กับอินเดีย เพราะศาสนาเดียวกัน ( ฮินดู..สงสัยว่ามหาราชา ฮารี ซิงค์ จะนับถือฮินดู..ละมั้ง ) แต่ผู้คนจำนวนมากในแคชเมียร์ไม่ต้องการให้อินเดียปกครอง แต่ต้องการเป็นเอกราช (..รัฐอิสระ...) หรือไม่ก็เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน เพราะ 95% ของชาวแคชเมียร์นับถือศาสนาอิสลาม ( เป็นรัฐเดียวของอินเดียที่ประชากรกลุ่มใหญ่เป็นมุสลิม) ในช่วงที่อินเดียกับปากีสถานทำสงครามกัน ทั้งสองประเทศต่างประกาศว่า ตนเองเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์

เมื่อเราถึงด่านวาการ์แล้ว ต้องนำ passport ให้ตรวจด้วยเพื่อเข้าไปดูพิธีปิดด่าน เมื่อเดินไปถึงจะมีอัฒจรรย์ใหญ่จุคนมากกว่า 10,000 คน เมื่อไปถึงก่อนพิธีปิด จะมีการเปิดเพลงให้คนลงไปเต้น (อนุญาตเฉพาะชาวอินเดียผู้หญิง...) อย่างกับไปดู concert พี่เบิร์ด ก่อนพิธีจะมีทหารตะโกน(ภาษาฮินดี...ไม่รู้เรื่อง..แต่เสียงยังก้องอยู่ในหัวเลย..) เหมือนการยั่วยุ แล้วมีการตะโกนตอบรับจากผู้เข้าร่วม (..ชาวอินเดีย...)แต่ทั้งนี้ เมื่อดูอยู่ฝั่งอินเดียที่มีคนมาก จะดูครื้นเครงมากกว่าปากีสถาน ( มีคนน้อยกว่า..). เหมือนการเชียร์กีฬา( ฟุตบอลโลก ..อย่างนั้นเลย..). 2 ฝ่าย แล้วพิธีก็เริ่มจากการเป่าแตร ทหารเดินอย่างสมาร์ทเดินไปยั่วยุกัน เหมือนการแสดงมาก สุดท้ายคือการนำธงลงจากยอดเสา พับใส่พาน ประตูด่านถูกปิด (สำหรับวันนี้..)
หลังจากชมพิธีปิดด่านแล้ว (...เป็นอะไรที่สนุกมากคุ้มค่ากับการชม..) เราออกมาที่รถพร้อมกันแล้ว ไปแวะกินข้าวเย็นใกล้ ๆ ด่าน เตรียมตัวกลับบ้านซะที่ (ไปสนามบิน อมฤตสา)
เรามาดูแผนที่เส้นทางการบิน อีกครั้ง...เถอะ
Amritsar Delhi Bangalore Bangkok Airport
Amritsar Airport หลังจากกินข้าวเย็นเดินทางไปสนามบิน Amritsar เที่ยวบิน 6E2895 สายการบินภายในประเทศของ Indigo Airline ความจริงแล้ววันนี้ (คืนนี้) เราต้องเดินทาง. 3 เที่ยวบิน คือจาก Amritsar to Delhi Delhi to Bengaluru(Bangalore) and Bengaluru to Bangkok น่าจะเป็นการเดินทางที่ทรหดพอสมควร เมื่อถึงสนามบิน Amritsar ทุกคนกระเป๋าใหญ่ ไม่สามารถนำกระเป๋า check through ทั้งที่เป็นสายการบินเดียวกันทั้ง 3 สนามบิน ดังนั้นหลายคนต้องจัดกระเป๋าใหม่เพราะต้องให้น้ำหนักไม่เกิน 15 kg ที่เหลือต้องหิ้ว ( รุงรัง) ขึ้นเครื่องไป แต่เราไม่ได้ซื้ออะไร กระเป๋าเลยหนักเพียง 13.5 kg รอดตัวไม่ยุ่งยาก เวลา ckeck in bag 22.35 boarding time 23.20 ถึง Delhi Airport ( Indira Gandhi International Airport) เวลา 00.35 เหมือนจะเป็นการ Transfer แต่ไม่ใช่เพราะต้องรอกระเป๋า และขึ้นรถไฟฟ้าในสนามบินจาก terminal ภายในไปอีก terminal อีกที่หนึ่ง มันก็ฉุกละหุกพอควร
Delhi Airport เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้วไกด์ไป check in พร้อมบอกข่าวดีคือ check through จาก Delhi to Bangkok ได้เลย และให้น้ำหนัก 20 kg มีหลายคนจัดกระเป๋าอีกแล้ว (..เฮ้อ...เหนื่อย...แทนเพื่อน) คราวนี้ก็เป็นเทียวบิน 6E2134 ออกเดินทางเวลา 03.06 ถึง Bangalore 05.55 เป็นการเดินทางแบบลอย ๆ ตามเพื่อนหลับหลับตื่นตื่น เดินตามกันไปเหมือนลูกเป็ดตามแม่เป็ด (...คงเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้..แบบฝังใจ..มั้ง..ตามทฤษฎีของฝรั่งของเขาเป็นพวกห่านหงส์แหละ แต่เราคนไทย เอาเป็นเป็ดแล้วกัน...จ้า...) ทุกคนหน้าตาหยู่หยี่ ยับย่น...
Bangalore Airport เมื่อถึงสนามบิน Bangalore เวลา 05.55 ทุกคนดูผ่อนคลายเพราะเราถึงเมืองไทยแน่แล้ว ไม่ต้องรอกระเป๋าด้วย เราเดินตัวปลิว ไม่มีการ transfer ด้วยต้องไป chack in อีกแล้ว เที่ยวบิน 6E75 เวลา 9.10 เราก็คิดถึงเมืองไทยแล้ว....ก่อนอื่นต้องกินข้าวเช้าก่อน ( กาแฟ ขนมปัง ) หลายคนกินอาหารกล่องที่ไกด์แจกให้ทุกคน (เป็นอาหารพร้อมกิน โดยใช้พลังงานความร้อนทำปฏิกิริยาของน้ำและหินภูเขาไฟอุ่นให้ร้อนอาหารจะสุก...อุตส่าห์แบกมาจากเมืองไทย เราก็แบกมาด้วย กะจะทิ้งหลายครั้งแล้ว แต่เพื่อนบอกว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แบกกลับอีกที..หนักก็หนัก...) ได้เวลาแล้วขึ้นเครื่องกลับถึงสุวรรณภูมิ
Suvarnabhumi Airport นั่งเครื่องบินแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 14.25 ตื่นทันทีดีใจมากที่ได้กลับบ้าน ( ประเทศไทย..) เสียที รับกระเป๋ากลับบ้าน ....ลาก่อนนะ...ลาทุกคน ขอบคุณเพื่อน ๆ ร่วมทริป ไกด์ ขอขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ที่ให้ประสบการณ์ยอดเยี่ยมมากในการเดินทางครั้งนี้ ....ลาก่อน....ขอขอบคุณจากใจอีกครั้ง.. ดีใจนะที่เราได้รู้จักกัน .....Good bye ..Good bye....see you again....
....Good bye ...Good bye....see you again....
เที่ยวแคชเมียร์ ชิมลา มะนาลี ดาลัมศาลา ด่านวาการ์ (ตอน 4 )
อมฤตสา วิหารทองคำ ด่านวาการ์