3 หน่วยสืบราชการลับสุดโหดระดับโลก

หน่วยสืบราชการลับหรือตำรวจลับ
พวกที่สุดโหดและมีอำนาจมากที่สุด
ของค่ายคอมมิวนิสต์ที่มีรัสเซียเป็นครูฝึก
ในช่วงสงครามเย็นระหว่างสองค่าย
แกนนำทุนนิยม คือ สหรัฐ และกลุ่ม NATO
ต่อสู้กับแกนนำคอมมิวนิสต์ คือ
สหภาพโซเวียตรัสเซีย  ในยุคนั้น

ตำนานเปื้อนเลือดที่ยังหลอกหลอนคนในชาติเหล่านี้
จนกระทั่งทุกวันนี้  แบบจำไม่ได้  ลืมไม่ลง
หน่วยสืบราชการลับค่ายคอมมิวนิสต์
คนเหล่านี้ต่างผ่านการฝีกปรือฝีมือวิทยายุทธ์
จากเจ้าพ่อโหดสัตว์รัสเซียตัวจริงในอดีต


1. Stasi

Credit : Getty Images
หน่วยงานความมั่นคงของเยอรมันแดง
หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ Stasi
เป็นหน่วยงานความมั่นคงที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ไม่เพียงแต่ในเขตเยอรมันตะวันออกเท่านั้น
แต่ยังแผ่ขยายไปทั่วโลก
ด้วยตัวแทน/สายลับมากกว่า 38,000 คน
ที่ทำงานอยู่ในยุโรปตะวันตก
และสายข่าวมากกว่า 600,000 รายในประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลของ Stasi นั้นแทบไม่จำกัดเลย

Stasi มีแฟ้มลับเกี่ยวกับพลเมืองเยอรมันตะวันออก
ที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเกือบครบทุกคน
ผู้นำธุรกิจและนักการเมืองรายสำคัญ ๆ ของฝั่งตะวันตก
ชั้นวางเอกสารและที่เก็บรายงานลับของ Stasi
เฉพาะเทปบันทึกเสียง/ไมโครฟิล์ม
ที่รวบรวมไว้สามารถวางเรียงไปได้ยาวกว่า 150 กิโลเมตร

ในปี 1950
หน่วยสืบราชการลับของเยอรมันตะวันออก
ด้วยความช่วยเหลือของ MGB
กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐโซเวียตรัสเซีย
ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ KGB
7 ปีเต็มภายใต้การควบคุม/สอนงาน
ของลูกพี่รัสเซียอย่างเต็มที่

ในปี 1957
แม้ตอนที่ Stasi พึ่งพาตนเองได้อย่างเป็นทางการแล้ว
เจ้าหน้าที่รัสเซียยังคงอยู่ร่วมงานในทุกแผนกของ Stasi
ทั้งในเยอรมันตะวันออก  และสำนักงานภูมิภาคอีก 15 แห่ง
เจ้าหน้าที่รัสเซียยังสามารถเข้าถึงเอกสารลับทั้งหมดได้อย่างเต็มที่
(Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย เคยทำงานในเยอรมันแดง
ในหน่วยสืบราชการลับ  ทำให้สามารถพูดเยอรมันได้คล่องแคล่วมาก)

ในช่วงทศวรรษ 1960 ความสัมพันธ์ระหว่าง
หัวหน้าและผู้ใต้บังคับบัญชาของ KGB กับ Stasi
ยังดีมากมีภราดรภาพร่วมกันอยู่กันแบบฉันพี่ฉันน้อง

รัสเซียยังได้เชิญให้ Stasi ไปเปิดฐานปฏิบัติการลับ
ในมอสโกและเลนินกราด (เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก)
เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบชาวเยอรมันตะวันออก
ที่เป็นพวกนักการทูตและพวกนักท่องเที่ยว

ในปี 1990 
Stasi  ต้องยุติบทบาทลง
เพราะเยอรมันได้รวมชาติกันแล้ว

แต่ที่ผ่านมาหน่วยสืบราชการลับของเยอรมันแดงและรัสเซีย
ต่างเห็นว่าแต่ละฝ่ายไม่ได้เป็นพี่ชาย / น้องชาย
แต่เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ต่างเคารพนับถือฝีมือซึ่งกันและกัน


2. KHAD

Credit : Getty Images


เป็นเวลาหลายปีแล้วที่หน่วยสืบราชการลับของอัฟกานิสถาน
ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในภาคตะวันออก
สำนักข่าวกรองแห่งรัฐหรือที่รู้จักในนาม KHAD ก่อตั้งขึ้นในปี 1980
ในช่วงการแทรกแซง/ยึดครองของสหภาพโซเวียตรัสเซีย
ในสงครามกลางเมืองอัฟกานิสถาน 
ซึ่งผลสุดท้ายรัสเซียติดหล่มจนต้องถอยทัพหนีออกมา

หน่วยเฉพาะกิจ/สืบราชการลับ KGB ในอัฟกานิสถาน
ที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Cascade
ได้ขอร้องให้รัสเซียช่วยเหลือชาวอัฟกัน
ในการจัดตั้งหน่วยสืบราชการลับ
ทางรัสเซียจึงได้ส่งมอบอาวุธมากกว่า 10,000  รายการ
มีทั้งกระสุนอุปกรณ์และชุดเครื่องแบบต่าง ๆ
รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านสายลับของรัสเซีย
ที่ส่งมาให้ความช่วยเหลือ  ได้เริ่มฝึกฝน/เป็นครูฝึก
เพื่อนร่วมงานชาวอัฟกานิสถานอย่างจริงจัง  ทั้งในสนามรบ/ในเมือง

KHAD ค่อย ๆ กลายเป็นหน่วยสืบราชการลับที่ทรงพลังทรงอำนาจ
เฉพาะในปี 1981 Afghan KGB  ก็ได้เปิดเผยโฉมหน้าพวก Mujahideen
เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งการเกณฑ์นักรบ  แหล่งที่มาของอาวุธและการเงิน

KHAD จัดระเบียบภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีการดักฟัง ดักจับ ลอบฆ่า นักรบ Mujahideen ตัวสำคัญ ๆ
โจมตีฐานที่มั่นและเส้นทางการลำเลียงต่าง ๆ ของศัตรู
กิจกรรมของสายลับยังเกินขอบเขตประเทศอัฟกานิสถาน
เพราะเลยเถิดไปถึงปากีสถานและอิหร่านที่อยู่ใกล้เคียง

การสืบค้นความลับของ Afghan KGB  ทำได้อย่างน่ากลัว
แบบมีหู มีตา แทบทุกหนแห่งที่ต้องการข่าวลับ
เพื่อพิทักษ์ระบบปกครองภายใต้สหภาพโซเวียตรัสเซีย
มีการรับรู้กันถึงความโหดร้ายและทารุณของ KHAD
ในการเค้นความลับจากนักโทษอย่างรุนแรงและซาดิสต์
จนกระทั่งทำให้พวก Mujahideen ยอมเลือกที่จะตาย
มากกว่าตกอยู่ในเงื้อมมือของ KHAD

KHAD ยังมีส่วนช่วยพาทหารรัสเซียถอนตัวออกจากอัฟกานิสถาน
และแม้ว่าจะมีการปฏิรูปหน่วยงานนี้หลายต่อหลายครั้ง
แต่ก็ยังมีหน่วยสืบราชการลับนี้ทำงานอยู่  จนกระทั่งถึงปี  2004
เพราะชนชั้นปกครองก็ยังชื่นชอบและยอมรับในฝีมือหาข่าวลับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Sheikh Abdullah, the Soviet Mujahideen in Afghanistan


3. Securitate

Credit : Getty Images


ในปี 1948
Securitate กระทรวงความมั่นคงของรัฐ ประเทศโรมาเนีย ได้ก่อตั้งขึ้น
นี่เป็นหน่วยสืบราชการลับที่โหดเหี้ยมที่สุดในยุโรปตะวันออก
โดยมีเหยื่อมากกว่า 10,000 รายที่โดนหน่วยงานนี้ฆ่าทิ้ง
แต่ตอนรัฐประหารล้มล้างอำนาจผู้นำเผด็จการ
ผู้นำเผด็จการถูกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการฆ่าพลเมืองมากกกว่า  60,000 คน
หน่วยสืบราชการลับโรมาเนียได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยสืบราชการลับรัสเซีย
เพราะรัฐบาลโรมาเนียตระหนักดีว่า
องค์กรใหม่แห่งนี้ยังขาดผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ
รัสเซียจึงเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหาสมาชิก Siguranta ชื่อเดิมของ Securitate
ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรโรมาเนีย (1881-1947)

สมาชิกใหม่เหล่านี้เริ่มรับใช้ระบอบการปกครองใหม่
เผด็จการสังคมนิยมประเภทลูกสมุนบริวารของรัสเซีย
ด้วยการไล่ล่าเพื่อนร่วมงานที่นิยมระบอบราชาธิปไตยในอดีต
และใครก็ตามที่ต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ/ต่างประเทศ

Securitate จะมีส่วนร่วมในการปราบปรามอย่างไร้ความปราณี
กับใครก็ตามหรือขบวนประท้วงใด ๆ ในโรมาเนีย

Securitate มีหน่วยงานขนาดใหญ่เป็นอันดับสาม
รองจาก KGB และ Stasi ในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองตน

การบริหารจัดการของหน่วยสืบราชการลับแห่งนี้
ได้ทำหน้าที่อย่างกว้างขวางในต่างประเทศด้วย
ทั้งยังได้สนับสนุน/ให้ท้าย  Yasser Arafat  หัวหน้ากลุ่มก่อร้ายปาเลสไตน์
ที่มีการลอบสังหารผู้คนและวางระเบิดมากมาย
จนต่อมามีการเจรจาสงบศึกกับยิว
และได้เป็นผู้นำรัฐปาเลสไตน์
จนทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ร่วมกับ Shimon Peres ประธานาธิบดียิว
แต่หลังการตายมีการเปิดเผยว่า
มีเงินทองและทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่
ในธนาคารสวิสจำนวนมหาศาล
เพราะการฉ้อราษฏร์บังหลวง
ตามนิสัยปกติของผู้นำประเทศด้อยพัฒนา

ทั้งยังมีการติดต่อให้ความร่วมมือกับ Carlos the Jackal
ผู้ก่อการร้ายชาวเวเนซุเอลาที่มีชื่อเสียโด่งดังมาก
ถูกฝรั่งเศสและสหรัฐร่วมมือกันจับกุมได้ที่ซูดาน
โดยรัฐบาลซูดานร่วมมือเปิดเผยที่หลบซ่อน
ตอนนี้ถูกจับติดคุกที่ฝรั่งเศส โดยไม่ได้รับการบรรเทาโทษ
แม้จะอ้างว่าสูงวัย  70 ปีแล้ว  และมีโรคเบียดเบียนก็ตาม

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากวาทกรรมที่โด่งดังของ Carlos the Jacka คือ
การอ้างว่ารับผิดชอบกับการก่อการร้าย
ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตถึง  80 ครั้ง และบทให้สัมภาษณ์ว่า
" ส่วนหนึ่งของค่าแรงในการทำสงครามเป็นเวลา 30 ปี
คือ การมีเลือดเจิ่งนองอย่างมากมาย
ทั้งของผมและของคนอื่น ๆ
แต่เราไม่เคยฆ่าใครเพื่อเงิน
แต่มีสาเหตุ คือ การปลดปล่อยปาเลสไตน์
(ที่ยิวรุกรานและเข้าแย่งชิงดินแดน)
ไม่มีใครในชาวปาเลสไตน์ที่ต่อต้านยิว
จะฆ่าคนได้มากกว่าผม  ที่เคยทำในอดีต "



ในปี 1989
ในช่วงเหตุการณ์การปฏิวัติในโรมาเนีย
Securitate ยังคงให้การสนับสนุนระบอบสังคมนิยม
และเข้าปะทะกับกองกำลังต่อต้านรัฐบาลและพลเรือน
ส่งผลให้มีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตาย 1,000 กว่าคน
และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก  จนทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมา
ล้มล้างระบอบเผด็จการครอบครัว Ceaușescu
ไม่นานหลังจากการล่มสลายของ Nicolae Ceaușescu
องค์กร Securitate ก็ถูกคำสั่งให้ยุบหน่วยงานนี้ลง

หน่วยสืบราชการลับโรมาเนียยุคใหม่
ได้ระบุว่าพวกตนไม่มีอะไรเหมือนกับ Securitate  ในอดีต

เรียบเรียง/ที่มา

https://bit.ly/2EgRYhm




แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่