Fort Drum เรือประจัญบานที่ไม่มีวันจม

1.


ที่บริเวณปากอ่าว Manila ชายฝั่งของประเทศ Philippines
มีเรือรบขนาดใหญ่ที่โครงสร้างทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เพื่อป้องกันเมือง Manila
รู้จักกันในชื่อว่า Fort Drum  หรือ เรือประจัญบานคอนกรีต
โครงสร้างขนาดใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรงนี้รูปร่างคล้ายกับเรือมาก

Fort Drum สร้างขึ้นบนเกาะ/กองหินกลางทะเล เรียกว่า El Fraile
เกาะนี้ถูกทะลายจนเป็นที่ราบโดยกองทัพสหรัฐฯ ช่วงปี 1909-1914
แล้วเสริมสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดหนา/ขนาดใหญ่ ให้ทั้งทนทั้งถึก
เพื่อให้เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ยาว 350 ฟุต (110 เมตร) กว้าง 144 ฟุต(44 เมตร)
สูง 40 ฟุต(12 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล 
ด้านในป้อมจะอยู่กันที่ความลึกราว 20  ฟุต (6 เมตร) ลงไป
มีทางเดินภายในเป็นทางเรียบลดระดับลงไป
เพราะมีการแบ่งซอยการใช้งานภายในเป็น 4 ชั้น
ด้านในเชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์/ทางเดินกลาง
และมีท่อระบายอากาศภายในป้อมปราการ
มีการติดตั้ง/วางเครื่องจักร คลังอาวุธ
เสบียงอาหาร และเป็นที่พักทหารราว 200 นาย
ตามแบบพิมพ์เขียวด้านล่างภาพที่ 22

แนวคิดของ Fort Drum ถูกสร้างขึ้นหลังจาก
สงครามสเปน - สหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1898
แล้วหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทั้งหมดต่างตกเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ
เมื่อคณะกรรมการป้อมปราการ Board of Fortifications ได้ตัดสินใจแล้วว่า
สหรัฐจำเป็นต้องเสริมสร้างป้องกันท่าเรือในดินแดนโพ้นทะเลให้ดียิ่งขึ้น

หนึ่งในพื้นที่หลักที่คณะกรรมการของป้อมปราการ ได้ตัดสินใจคือ
จะมุ่งเน้นไปที่อ่าวมะนิลา ในประเทศฟิลิปปินส์
เป้าประสงค์หลักก็คือ ป้อมปราการจะต้องเป็นศูนย์กลางควบคุม
การสัญจรไปมาของเรือต่าง ๆ ที่เดินทางข้ามอ่าวมะนิลา
โดยใช้เกาะ 4 แห่ง คือ  Corregidor Caballo
Carabao และ El Fraile ซึ่งต่อมาได้สร้างเป็นป้อมปราการ
Fort MIlls Fort Hughes Fort Frank และ Fort Drum ตามลำดับ

ตามยุทธศาสตร์ของป้อมปราการบนเกาะทั้ง 4 แห่ง
ต่างทำหน้าที่ได้สมตามเจตนารมย์ที่วางไว้
เพราะป้อมปราการได้ป้องกันและรบกับข้าศึกญี่ปุ่น
กองเรือรบญี่ปุ่นที่จะเข้ามาในบริเวณอ่าวมะนิลา
ไม่สามารถแล่นเรือเข้ามาโดยง่าย ๆ ได้เลย

อนึ่ง แม้ว่ากองกำลังผสมทหารสหรัฐและฟิลิปปินส์
จะพ่ายแพ้ในการทำสงครามครั้งสำคัญที่ Bataan
แต่ป้อมปราการทั้ง 4 แห่งนี้ยังได้ทำสงคราม
สู้รบกับญี่ปุ่นอย่างยืดเยื้อกินเวลาถึง 6 เดือน

ที่ Bataan สหรัฐได้สร้างคลังน้ำมันเชื้อเพลิง 1,000,000 US gallons (3,800 ตัน) 
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บ้านเรือนใน  Bataan กลายเป็นทะเลเพลิง
หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นเริ่มโจมตีฟิลิปปินส์อย่างหนักในเดือนธันวาคม 1941
กองกำลังผสม US และ Filipino ภายใต้การนำของ
แม่ทัพ Douglas MacArthur ได้ถอยทัพ
ไปยังคาบสมุทร Bataan Peninsula
เพื่อตั้งหลักสู้กับรอกองหนุนจากสหรัฐมาช่วยเหลือ
แต่กองทัพญี่ปุ่นได้โจมตีอย่างหนักและต่อเนื่อง
ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 1942 จนถึงวันที่ 3 เมษายน 1942

ไม่กี่เดือนหลังสงครามชี้ขาด Battle of the Points
กองกำลังผสม  American กับ Filipino forces บางส่วน
ยอมจำนนวันที่ 9 เมษายน 1942
แล้วเชลยศึกทุกนายถูกกองทัพญี่ปุ่นสั่งการ
บังคับให้เดินเท้าระยะทาง 100 กิโลเมตร
จาก Bataan ไปยัง Capas Tarlac
หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า Bataan การเดินทัพสู่ความตาย
Bataan Death March

อนึ่ง แม่ทัพ  Douglas MacArthur หนีรอดตายไปได้
พร้อมกับประกาศวาทกรรม I will return.
และสามารถทำสำเร็จได้หลังจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา


I have returned.


ป้อมปราการ Corregidor มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด
แต่ป้อมปราการ El Fraile หรือ Fort Drum มีขนาดเล็กที่สุด
แต่มีความพิเศษที่สุด คือ มีรูปร่างเหมือนเรือประจัญบานพร้อมติดอาวุธ
ทำให้ Fort Drum  มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  USS Drum
เพราะผู้โดยสารที่เดินทางผ่านมหาสมุทร
ถ้าเป็นคนแปลกถิ่นมักจะเข้าใจผิดว่าคิดว่าเป็นเรือรบ  

Fort Drum มีอาวุธหนักคือ ปืนใหญ่ 11 กระบอก
Battery Wilson ป้อมปืนหมุนที่มีปืนใหญ่ขนาด 14 นิ้ว (355.6 มม.) 2 กระบอก
ที่สามารถจมเรือรบได้ภายในระยะ 22,500 หลา (20.5 กิโลเมตร)
Battery Marshall  ป้อมปืนหมุนด้านหน้าที่มีปืนใหญ่ขนาด 14 นิ้ว 2 กระบอก
Battery Roberts ปืนสนับสนุนขนาด  6 นิ้ว (152.4 มม.)  4 กระบอกเพื่อยิงป้องกัน
และปืนใหญ่ 3 นิ้ว (76.2 มม.) 2 กระบอกเป็นปืนต่อต้านอากาศยาน
ยังมีไฟฉายส่องกลางคืนขนาด  8 ฟุต (2.4 เมตร) 2 ตัว
สำหรับการยิงต่อสู้ยามค่ำคืน
(มักส่องขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อยิงเครื่องบิน
กับส่องทางน้ำเพื่อตรวจดูเรือที่แล่นเข้ามาใกล้)
กำแพงป้อมหนา 25 ถึง 36 ฟุต (7.62-10.9 เมตร)
เป็นเกราะกำบังกระสุนปืนใหญ่
ภายในมีพื้นที่กำบังทหารจากกระสุนปืนทั่วไป
และมีช่องลอดแนวเฉียงไว้ยิงศัตรูด้วย



Pearl Harbor

ธันวาคม 1941
หลังจากที่ญี่ปุ่นได้โจมตี Pearl Harbor แล้ว
ภัยสงครามได้ลุกลามมาถึง Philippines
Fort Drum ถูกทิ้งระเบิดจากเครื่องบินรบญีปุ่น
รวมทั้งป้อมปราการที่เกาะ Corregidor และอีก 2 เกาะ
ในวันที่ 29 ธันวาคม 1941 และช่วงวันที่ 2-6 มกราคม 1942

Fort Drum แทบไม่กระเทือนแต่อย่างใด
แต่ป้อมปราการ Corregidor ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ขณะเดียวกัน กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่สามารถทำอะไร Fort Drum ได้มากนัก
รวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่น
ต้องเผชิญหน้ากับการยิงของปืนต่อต้านอากาศยานอย่างหนัก
ทำให้กองทัพญี่ปุ่นยุติการทิ้งระเบิดทางเครื่องบินในเวลาต่อมา

25 มกราคม 1942
หลังจากองทัพสหรัฐฯและฟิลิปปินส์เริ่มพ่ายแพ้
ที่คาบสมุทร Bataan บนเกาะ Luzon
กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มวางอาวุธหนักที่ Ternate และ Cavite
พุ่งเป้ามายังเกาะที่เป็นป้อมปราการทั้ง 4 แห่ง
นำทัพโดยแม่ทัพ Toshinori Kondo

5 กุมภาพันธ์ 1942
มีคำสั่งให้ระดมยิงด้วยปืนใหญ่ขนาด 105 มม. 4 กระบอก
และปืนใหญ่ howitzers 150 มม.  2 กระบอก
เป้าหมายในวันแรกคือ Fort Drum
มีการยิงระเบิดถึง 100 ครั้งแต่ไม่สาไหร(ไม่มีผลแต่อย่างใด)

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
การระดมยิงป้อมปราการเกาะทั้ง 4 แห่ง
เป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของกองทัพญี่ปุ่น
กลางเดือนกุมภาพันธ์ 
กองทัพญี่ปุ่นได้เพิ่มปืนใหญ่ howitzers 150 มม. อีก 2 กระบอก

แม้ว่า กองทัพสหรัฐพยายามจะตอบโต้กลับบ้าง
แต่เพราะขาดคนสังเกตการในแนวหน้า
ที่ระบุจุดที่กระสุนปืนใหญ่ตกตรงไหนบ้าง
และบริเวณใดที่เป็นที่ตั้งปืนใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่น
จนกระทั่ง แม่ทัพ  Jess Villamor ได้รับภาพถ่ายทางอากาศ
แสดงฐานที่ตั้งปืนใหญ่กองทัพญี่ปุ่น
เป้ากระสุนปืนใหญ่ของสหรัฐจึงเริ่มยิงได้ผล

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1942
การระดมยิงของกองทัพญี่ปุ่นเริ่มแผ่วเบาลง



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

U.S. artillerymen firing 240mm howitzer and 8-inch gun M1 near Bitschhofen, Germa..

15 มีนาคม 1942
กองทัพญี่ปุ่นได้วางปืนใหญ่ howitzers 240 มม. จำนวน 10 กระบอก
บนยอดเขา  Pico de Loro ใน Calumpang เขต Cavite
ซึ่งใกล้กับป้อมปราการ Fort Frank
ปืนใหญ่ชุดนี้นำทัพโดย แม่ทัพ Masayoshi Hayakawa
โดยเริ่มระดมยิงเกาะป้อมปราการทั้ง 4 แห่งอีก

กระสุนปืนใหญ่ของญี่ปุ่น
ทำลายความสามารถในการรบของ  Fort Frank อย่างร้ายแรง
ส่วนที่ Fort Drum ไฟส่องแสง 2 ชุด(ไว้รบยามค่ำคืน)
และปืนต่อต้านอากาศยาน 2 กระบอกถูกทำลายลง
แต่ปืนใหญ่ขนาด 14 นิ้ว (355.6 มม.) ยังคงใช้การรบได้
กระสุนปืนใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นส่วนมาก
ยิงตกลงด้านบน ด้านข้าง และเฉียดไปเฉียดมา

22 มีนาคม 1942
นับว่าโชคดี ที่แม่ทัพ Masayoshi Hayakawa
ต้องถอนกำลังไปช่วยรบที่คาบสมุทร Bataan
แต่ Fort Drum ยังโดนหางเลขด้วยกระสุนปืนใหญ่
ที่เจาะทำลายกำแพงคอนกรีตบิ่นถึง 4 นิ้ว (10.2 เซนติเมตร)

9 เมษายน 1942
หลังจากที่กองทัพสหรัฐฯและฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่
เริ่มทำการล่าถอยและยอมจำนนกับญี่ปุ่นบางส่วน
กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มยึดครองพื้นที่/เตรียมการแย่งชิง
ป้อมปราการ  Corregidor และอีก 3 ป้อม

11 เมษายน 1942
กองทัพญี่ปุ่นเริ่มยิงปืนใหญ่ถล่มใส่
Corregidor Fort Hughes Fort Frank และ Fort Drum
ด้วยปืนใหญ่จำนวน  110 กระบอก
ขนาดปืนใหญ่ระหว่าง 75 มม. ถึง 240 มม.
แม้ว่าปืนใหญ่ของ  Corregidor Fort Hughes และ  Fort Frank
จะพยายามตอบโต้อย่างสุดความสามารถ
แต่การดวลปืนครั้งนั้น  ผลแพ้ชนะห่างกันอย่างแรง

เพราะกองทัพญี่ปุ่นไม่ใช่มีเพียงแค่ปืนใหญ่มากกว่า
แต่ยังสังเกตการภาคพื้นดิน/ทางอากาศ
ระบุตำแหน่งที่ตั้งปืนใหญ่ของป้อมปราการทุกจุด
และเครื่องบินทิ้งระเบิดญี่ปุ่นจำนวน 50 ลำ
ได้เริ่มโจมตีทิ้งระเบิดทุกวันตั้งแต่ 24 มีนาคม 1942
กองทัพสหรัฐ ได้แค่ยิงตอบโต้ได้นิดหน่อย
ก่อนที่จะถูกทิ้งระเบิดและโจมตีด้วยปืนใหญ่จากญี่ปุ่น

29 กุมภาพันธ์ 1942
วันพระราชสมภพจักรพรรดิ์ Hirohito
เพื่อกำจัดการยิงปืนใหญ่ของ Fort Drum
กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้ระเบิดนำวิถีโจมตี
ทำให้ปืนใหญ่ Battery Marshall เสียหายเล็กน้อย
การโจมตียังทำอย่างต่อเนื่องถึง 4 วัน

5 พฤษภาคม 1942
ปืนใหญ่ของ Corregidor เริ่มเงียบเสียงลง
ยกเว้น Battery Way ปืนใหญ่ขนาด 12 นิ้ว (304.8 มม.) 1898 mortar จำนวน 1 กระบอก
และปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และ 75 มม. ที่ยังไม่ยอมหยุดตอบโต้

คืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1942
กองทัพญี่ปุ่นจำนวน 2 กองพันได้บุกยึดหัวหาด
แม้ว่าหน่วยยามบนเกาะพยายามตอบโต้
และทำลายข้าศึกได้ถึง 2 ใน 3 ส่วน
แต่กองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกได้
พร้อมกับอาวุธและรถถังจำนวน 3 คัน

แม้ว่ากองทัพสหรัฐฯพยายามจะตีโต้
แต่ก็ถูกยิงกดหัวจากปืนใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่น
จนทำให้นายพล  Jonathan Mayhew Wainwright IV ต้องยอมจำนน
เพื่อรักษาชีวิตของทหารสหรัฐ
แต่ปืนใหญ่ Fort Drum ยังยิงจนหยดสุดท้าย
ก่อนที่จะยอมจำนนในเวลาต่อมา


Wainwright ประกาศยอมจำนนที่  Philippines
โดยมีล่ามทหารคอยสังเกตการ/คอยเซนเซอร์ 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่