ฉันห่างหายไปนานมากกับการเขียนของฉัน กับสิ่งที่ฉันรัก..แต่ฉันไม่ได้ทำมัน...ในความรู้สึกแล้ว ช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ..
การหายไปเกือบสองปีของฉัน มีปัจจัยเดียวคือการไปต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่า "โรคซึมเศร้า" อาการที่กลายมาเป็นเพื่อนแท้ในทุกยามไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ก็เหมือนมีเขาเป็นเพื่อนไปแล้ว...
.
.
ฉันเคยสัญญากับตัวเองว่า 'ตราบใดที่ฉันยังจัดการ หรือยอมรับกับโรคไม่ได้ ฉันจะไม่กลับมา .. ไม่กลับมาเล่าความทุกข์ทรมานของฉัน ให้ใครคนอื่นต้องกังวลอีก' แต่ว่า..ก็ใช้เวลายาวนานเกือบสองปี
และสองปีที่หายไป ก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ว่า "โรคนี้ไม่ได้หายขาดหรอก" ถ้าฉันยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ ฉันก็มีแต่ต้องยอมแพ้
.
.
.
ทว่า ฉันไม่อาจทิ้งใครไว้เบื้องหลังเพื่อความสุขของฉันคนเดียวได้
.
.
สองปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะเหลือเกิน จนฉันต้องย้ำและท่องเอาไว้ในใจเสมอว่า 'ไม่หนักหนาอะไรมากหรอก อดทน มีแต่ต้องอดทน' และฉันก็อดทนจริง ๆ
แม่ของฉันกินยานอนหลับเพื่อที่จะหลับไม่ตื่นอีกไปเกือบ 60 เม็ด คนที่เจอแม่คนแรก คือฉัน คนที่รีบโทรเรียกรถพยาบาล คือฉัน คนที่รอฟังอาการของแม่ที่ห้องฉุกเฉิน คือฉัน และคนที่แหลกสลาย "คือฉัน"
.
.
ในตอนนั้นหัวใจฉันพังยับเยิน ในใจมีแต่คิดว่า ทำไมไม่เป็นฉันที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินนั่น ทำไมไม่เป็นฉันที่จะได้หลับไปชั่วนิรันดร์ แต่ทำไมต้องเป็นแม่...แม่ที่คอยส่งยิ้ม และให้กำลังใจฉันเสมอ
.
.
.
ทว่า
.
ทุกอย่างโอเค

แม่ของฉันออกจากห้องฉุกเฉินได้ แต่ยังคงต้องนอนโรงพยาบาลต่อไปก่อน เนื่องจากแพทย์ต้องทำการรักษาภาวะซึมเศร้าของแม่อย่างใกล้ชิด และคนที่ดูแลแม่ตลอดระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลก็คือฉัน "ฉัน" คนนี้ที่ต้องเข้มแข็ง และเป็นรอยยิ้มให้แม่
.
.
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะ ว่าการเข้มแข็งของฉันในตอนนั้น มันทรมานมากจริง ๆ

.
..
แม่ฉันนอนโรงพยาบาลเกือบครึ่งเดือน เป็นครึ่งเดือนที่ยาวนานมากในความรู้สึก เป็นครึ่งเดือนที่ฉันต้องแอบไปร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ว่าฉันคนนี้อ่อนแอมากขนาดไหน เป็นครึ่งเดือนที่ไม่เคยได้นอนหลับเต็มตาสักคืน เป็นครึ่งเดือนที่ค่อย ๆ พังใจฉันลงอย่างรวดเร็ว
พอถึงวันที่แพทย์อนุญาตให้แม่ออกจากโรงพยาบาล ก็มีอีกเรื่องที่เกิดขึ้น..
.
.
แม่ฉันเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ขาท่อนล่างทั้งสองข้างชา และไม่สามารถยืนหรือเดินเองได้อีก
...
เอาล่ะ พอมาถึงตอนนี้ใจฉันพังมาก...ฉันอยากไป ไปที่ไหนก็ได้ ที่ที่ไม่มีใครหาเจอ ...
ที่ใดก็ได้ ที่เป็นที่ของฉัน เป็นที่ที่ทำให้ฉันยิ้ม เป็นที่ที่ทำให้ฉันมีความสุข เป็นที่ที่ฉันไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายที่ค่อย ๆ พังทลายใจฉันลงไปอย่างช้า ๆ
แต่ถ้าฉันไป...ใครจะเป็นคนดูแลรอยยิ้มของพ่อที่ฝากไว้กัน
.
.
นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น "แม่ฉันป่วย แล้วฉันยังจะหนีท่านไปอีก พ่อคงต้องตามมาต่อว่าแน่ ๆ เลย" พอคิดถึงตรงนี้ก็หัวเราะ แล้วก็ได้แต่บอกคนบนฟ้าให้สบายใจ
"รอยยิ้มของพ่อ ฉันจะดูแลเอง"
อาจมองดูเป็นเรื่องยากที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแบบฉัน จะต้องมาดูแลแม่ที่ป่วยเป็นภาวะซึมเศร้า แถมยังช่วยเหลือตัวเองได้ยากอีก...ขั้วลบกับขั้วลบอยู่ด้วยกันก็มีแต่ยิ่งผลักให้ห่างออกไป
.
.
ดังนั้นฉันจึงยอมเป็นขั้วบวก
.
.
คิดบวก เพื่อดูแลท่านได้อย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ที่แม่เศร้า ฉันก็จะยิ้ม แล้วทำให้ท่านหัวเราะ เมื่อไหร่ที่ท่านดีใจกับการยกแข้งยกขาได้มากกว่าเดิม ฉันก็จะดีใจคูณสอง
แรก ๆ ยากมากเลย .. แต่นาน ๆ เข้ากลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำไปเสียแล้ว
.
.
พอช่วงหลัง ๆ อาการซึมเศร้าแม่ดีขึ้น แพทย์ก็หันกลับมากังวลอาการของฉันต่อ (ที่จริงท่านกังวลอยู่ตลอดเวลาที่ฉันดูแลแม่ แต่เพราะฉันบอกแพทย์ว่าฉันไหว ท่านจึงค่อย ๆ ดูแลประคับประคองอาการฉันอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แทน)
.
.
ฉันกินยาตามแพทย์สั่งเสมอ ไม่เคยขาด อย่างน้อย ๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมาการกินยาครบทุกโดส ก็ทำให้ความเศร้าของฉันลดลงได้ คงเป็นเพราะสารเคมีเริ่มกลับมาทำงานสัมพันธ์กันแล้วหรือเปล่าฉันไม่อาจรู้ได้...ฉันรู้แต่เพียงว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดีขึ้น
คือ
"ใจที่อดทน เข้มแข็ง และมองโลกในแง่บวก สร้างคุณค่าให้ตัวเอง และเราต้องรู้ว่าเราต้องอยู่เพื่อดูแล หรือเป็นรอยยิ้มให้กับใคร เท่านั้นก็ยังพอให้ฉันก้าวต่อไปได้ในทุก ๆ เช้า"
หากถามว่าตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ฉันหายดีเลยไหม?
ไม่ค่ะ
ฉันยังคงมีอาการอยู่บ้าง ยังคงวิตกกังวล ซึมเศร้าอยู่ อยากร้องไห้ อยากอยู่คนเดียว และอาจเหนื่อยจนท้อบางเวลา แต่สิ่งที่ฉันทำ คือกอดโรคของฉันเอาไว้ แล้วค่อย ๆ พามันเข้ามาสู่โลกของฉัน โลกที่พยายามจะทำให้สว่างและสดใสให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้ฉันกลับมาจับงานเขียนได้อีกครั้ง ^^
.
.
มากอดโรคซึมเศร้า ให้เข้าสู่โลกที่สดใส โลกที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนดัวยกันกับเรานะคะ
เมื่อโรคซึมเศร้าถูกฉัน "กอดคอแล้วไปด้วยกัน"
การหายไปเกือบสองปีของฉัน มีปัจจัยเดียวคือการไปต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่า "โรคซึมเศร้า" อาการที่กลายมาเป็นเพื่อนแท้ในทุกยามไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ก็เหมือนมีเขาเป็นเพื่อนไปแล้ว...
.
.
ฉันเคยสัญญากับตัวเองว่า 'ตราบใดที่ฉันยังจัดการ หรือยอมรับกับโรคไม่ได้ ฉันจะไม่กลับมา .. ไม่กลับมาเล่าความทุกข์ทรมานของฉัน ให้ใครคนอื่นต้องกังวลอีก' แต่ว่า..ก็ใช้เวลายาวนานเกือบสองปี
และสองปีที่หายไป ก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ว่า "โรคนี้ไม่ได้หายขาดหรอก" ถ้าฉันยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ ฉันก็มีแต่ต้องยอมแพ้
.
.
.
ทว่า ฉันไม่อาจทิ้งใครไว้เบื้องหลังเพื่อความสุขของฉันคนเดียวได้
.
.
สองปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะเหลือเกิน จนฉันต้องย้ำและท่องเอาไว้ในใจเสมอว่า 'ไม่หนักหนาอะไรมากหรอก อดทน มีแต่ต้องอดทน' และฉันก็อดทนจริง ๆ
แม่ของฉันกินยานอนหลับเพื่อที่จะหลับไม่ตื่นอีกไปเกือบ 60 เม็ด คนที่เจอแม่คนแรก คือฉัน คนที่รีบโทรเรียกรถพยาบาล คือฉัน คนที่รอฟังอาการของแม่ที่ห้องฉุกเฉิน คือฉัน และคนที่แหลกสลาย "คือฉัน"
.
.
ในตอนนั้นหัวใจฉันพังยับเยิน ในใจมีแต่คิดว่า ทำไมไม่เป็นฉันที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินนั่น ทำไมไม่เป็นฉันที่จะได้หลับไปชั่วนิรันดร์ แต่ทำไมต้องเป็นแม่...แม่ที่คอยส่งยิ้ม และให้กำลังใจฉันเสมอ
.
.
.
ทว่า
.
ทุกอย่างโอเค
.
.
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะ ว่าการเข้มแข็งของฉันในตอนนั้น มันทรมานมากจริง ๆ
.
..
แม่ฉันนอนโรงพยาบาลเกือบครึ่งเดือน เป็นครึ่งเดือนที่ยาวนานมากในความรู้สึก เป็นครึ่งเดือนที่ฉันต้องแอบไปร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ว่าฉันคนนี้อ่อนแอมากขนาดไหน เป็นครึ่งเดือนที่ไม่เคยได้นอนหลับเต็มตาสักคืน เป็นครึ่งเดือนที่ค่อย ๆ พังใจฉันลงอย่างรวดเร็ว
พอถึงวันที่แพทย์อนุญาตให้แม่ออกจากโรงพยาบาล ก็มีอีกเรื่องที่เกิดขึ้น..
.
.
แม่ฉันเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ขาท่อนล่างทั้งสองข้างชา และไม่สามารถยืนหรือเดินเองได้อีก
...
เอาล่ะ พอมาถึงตอนนี้ใจฉันพังมาก...ฉันอยากไป ไปที่ไหนก็ได้ ที่ที่ไม่มีใครหาเจอ ...
ที่ใดก็ได้ ที่เป็นที่ของฉัน เป็นที่ที่ทำให้ฉันยิ้ม เป็นที่ที่ทำให้ฉันมีความสุข เป็นที่ที่ฉันไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายที่ค่อย ๆ พังทลายใจฉันลงไปอย่างช้า ๆ
แต่ถ้าฉันไป...ใครจะเป็นคนดูแลรอยยิ้มของพ่อที่ฝากไว้กัน
.
.
นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น "แม่ฉันป่วย แล้วฉันยังจะหนีท่านไปอีก พ่อคงต้องตามมาต่อว่าแน่ ๆ เลย" พอคิดถึงตรงนี้ก็หัวเราะ แล้วก็ได้แต่บอกคนบนฟ้าให้สบายใจ
"รอยยิ้มของพ่อ ฉันจะดูแลเอง"
อาจมองดูเป็นเรื่องยากที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแบบฉัน จะต้องมาดูแลแม่ที่ป่วยเป็นภาวะซึมเศร้า แถมยังช่วยเหลือตัวเองได้ยากอีก...ขั้วลบกับขั้วลบอยู่ด้วยกันก็มีแต่ยิ่งผลักให้ห่างออกไป
.
.
ดังนั้นฉันจึงยอมเป็นขั้วบวก
.
.
คิดบวก เพื่อดูแลท่านได้อย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ที่แม่เศร้า ฉันก็จะยิ้ม แล้วทำให้ท่านหัวเราะ เมื่อไหร่ที่ท่านดีใจกับการยกแข้งยกขาได้มากกว่าเดิม ฉันก็จะดีใจคูณสอง
แรก ๆ ยากมากเลย .. แต่นาน ๆ เข้ากลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำไปเสียแล้ว
.
.
พอช่วงหลัง ๆ อาการซึมเศร้าแม่ดีขึ้น แพทย์ก็หันกลับมากังวลอาการของฉันต่อ (ที่จริงท่านกังวลอยู่ตลอดเวลาที่ฉันดูแลแม่ แต่เพราะฉันบอกแพทย์ว่าฉันไหว ท่านจึงค่อย ๆ ดูแลประคับประคองอาการฉันอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แทน)
.
.
คือ
"ใจที่อดทน เข้มแข็ง และมองโลกในแง่บวก สร้างคุณค่าให้ตัวเอง และเราต้องรู้ว่าเราต้องอยู่เพื่อดูแล หรือเป็นรอยยิ้มให้กับใคร เท่านั้นก็ยังพอให้ฉันก้าวต่อไปได้ในทุก ๆ เช้า"
หากถามว่าตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ฉันหายดีเลยไหม?
ไม่ค่ะ
ฉันยังคงมีอาการอยู่บ้าง ยังคงวิตกกังวล ซึมเศร้าอยู่ อยากร้องไห้ อยากอยู่คนเดียว และอาจเหนื่อยจนท้อบางเวลา แต่สิ่งที่ฉันทำ คือกอดโรคของฉันเอาไว้ แล้วค่อย ๆ พามันเข้ามาสู่โลกของฉัน โลกที่พยายามจะทำให้สว่างและสดใสให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้ฉันกลับมาจับงานเขียนได้อีกครั้ง ^^
.
.