คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
ขอนอกประเด็นกระทู้นิดนึงครับ แต่เนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในกระทู้นะครับ
เรื่องการสื่อในวัฒนธรรมของเรา
หลายเรื่องเราพยายามสื่อตามคนประพันธ์เรื่อง เขียนให้เรารู้สึกอย่างไรกับตัวละคร เราก็คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น
อย่างเรื่องตัวขุนช้าง ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง เราควรจะเข้าใจในบริบทต่างๆ ในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย
เราได้รับการอบรมสั่งสอนโดยเฉพาะผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัวอยู่ในพรหมจรรย์จนกว่าจะถึงวันครองคู่
ที่จริงเราก็เพิ่งได้รับมาภายหลังช่วงยุคที่เรารับวัฒนธรรมมาจากฝรั่งอีกที ถ้าจะให้ตรงก็นิกายของศาสนาหนึ่ง
เอามาใช้เพื่อเป็นเส้นกั้นยกระดับกลุ่มตัวเองว่ามีอารยะมากกว่าคนอีกกลุ่ม แต่เราก็เอาใช้โดยไม่ดูบริบทอื่นประกอบก่อนเอามาใช้
สตรีในวรรณคดีเกือบทั้งหมด มีผัวตั้งแต่นมตั้งเต้า แต่เราก็เอาเปรียบกับคนสมัยนี้
เรื่องการสื่อในวัฒนธรรมของเรา
หลายเรื่องเราพยายามสื่อตามคนประพันธ์เรื่อง เขียนให้เรารู้สึกอย่างไรกับตัวละคร เราก็คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น
อย่างเรื่องตัวขุนช้าง ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง เราควรจะเข้าใจในบริบทต่างๆ ในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย
เราได้รับการอบรมสั่งสอนโดยเฉพาะผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัวอยู่ในพรหมจรรย์จนกว่าจะถึงวันครองคู่
ที่จริงเราก็เพิ่งได้รับมาภายหลังช่วงยุคที่เรารับวัฒนธรรมมาจากฝรั่งอีกที ถ้าจะให้ตรงก็นิกายของศาสนาหนึ่ง
เอามาใช้เพื่อเป็นเส้นกั้นยกระดับกลุ่มตัวเองว่ามีอารยะมากกว่าคนอีกกลุ่ม แต่เราก็เอาใช้โดยไม่ดูบริบทอื่นประกอบก่อนเอามาใช้
สตรีในวรรณคดีเกือบทั้งหมด มีผัวตั้งแต่นมตั้งเต้า แต่เราก็เอาเปรียบกับคนสมัยนี้
แสดงความคิดเห็น
แด่..ไดโนเสาร์ ที่เฉาโรย.../วัชรานนท์
หลายวันที่ผ่านมาได้ดูรายการเดอะมาสซิงเกอร์ ซีซั่นวรรณคดีไทย รู้สึกว่าเป็นอะไรที่อลังการมากทีเดียว แต่มารู้สึกนอยด์เอานิดตรงคำวิจารณ์ของคณะกรรมการอยู่หน่อยหนึ่งที่วิจารณ์ไปทำนองเดียวกัน คือเริ่มต้นอย่างแรกก็ชื่นชมวรรณคดีไทย ส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ดื่มด่ำและอ่านวรรณคดีไทยมามากพอสมควรหลายเรื่องก็ย้อนกลับไปอ่านหลายรอบ จึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับคณะกรรมการกับการแสดงการชื่นชม แต่พอบางท่านเริ่มพูดถึงความภาคภูมิที่ตนมีต่อวรรณคดีไทย(ซึ่งเป็นเรื่องดีนะ) แล้ว ผมเริ่มภาวนาล่วงหน้าก่อนที่การวิจารณ์ยังไม่จบว่า ยังไงๆ ก็ขอให้หยุดไว้ที่การแสดงออกถึงความภาคภูมิแห่งตนก็พอ อย่าดึง "เด็กรุ่นใหม่" มาเป็นจำเลยของวัฒนธรรม/ประเพณีของไทยเลย แต่คำภาวนาไม่ได้สัมฤทธิ์ผลเลย อย่างน้อยๆ สองคนในคณะกรรมการได้ดึง "เด็กรุ่นใหม่" เข้ามาเป็นเหยื่อการวิพากษ์วิจารณ์วรรณคดีในทำนองว่าไม่ได้สนใจที่จะแสดงออกในการภาคภูมิใจต่อวัฒนธรรมไทย ผมสังเกตุมาตลอดว่าบ่อยครั้งที่ได้ยินคนไทยหลายคนแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นแบบไทยๆ แล้ว.....คนที่เป็นเหยื่อหรือจำเลยทางอารมณ์ (ของความภาคภูมิใจ) มักจะหนีไม่พ้น "เด็กรุ่นใหม่" เสมอๆ เสียดาย....ผู้ใหญ่หลายคนที่มีมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมของมนุษย์และยึดติดอัตลักษณ์อย่างเหนียวแน่น บางทีการ "ผ่อนคลาย" (ไม่ได้หมายถึงว่าทิ้งมันไป) ตรงนี้เสียบ้าง อาจจะเปิดโลกทัศน์ให้เห็นมิติของสังคมมนุษย์ที่หลากชั้นกว่านี้ก็ได้นะครับ
https://www.youtube.com/watch?v=c5_x-MbvK90
อย่างกรณีวรรณคดีไทย ผมไม่ทราบว่าคุณไอซ์ ศรัณญูที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมเคยอ่านเรื่องลิลิตพระลอบ้างหรือเปล่า? ถ้าได้อ่านและดื่มด่ำ ก็จะรู้ว่าหญิงสมัยก่อนอย่างพระเพื่อนพระแพงไม่ได้เป็น "นางเอกในวรรณคดี" ชนิดเรียบร้อยเป็นผ้าพับตามแบบฉบับจินตานาการไทยๆ เธอทั้งสองเป็นฝ่ายตกหลุมชายเพียงแค่ได้ยินบทเห่ชมความงามของพระลอฯ และยังกล้าแสดงออกโดยไม่ได้กับแคร์วัฒนธรรมแบบไทยๆ ยอมเดินทางไปหาฝ่ายชายเพื่อพลีทั้งกายและใจให้ท้าวเธอ "ฉากเข้าพระเข้านาง" ก็หวือหวาชนิดที่สังคมในโลกตะวันตกหรือเด็กรุ่นใหม่ยังทึ่งว่าล้ำหน้าในเชิงสังวาสที่เป็นไปในลักษณะ "สามเส้า" หรือที่เรียกว่า "Threesome" "ซีนเลิฟ" ของพระเพื่อนพระแพงกับท้าวลอดิลกราชฉีกตำราวัฒนธรรมและประเพณีไทย ชนิดที่เด็กรุ่นใหม่อย่างผมยกนิ้วโป้งให้สองนิ้วเบย นำบางส่วนของร้อยกรองบรรยายฉากรักของพระเพื่อนพระแพงกับท้าวลอฯ มาวางเอาไว้ ท่านผู้ชมผู้ฟังทางบ้านอ่านไปจะจินตนาการเจิดจ้าตามไปอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามนั้น.....มิขัดหลักรัฐธรรมนูญแต่อย่างใดขอรับ
๏ ทินกรกรก่ายเกี้ยว..........................เมียงบัว
บัว บ่ บานหุบกลัว............................ภู่ย้ำ
ภุมรีภมรมัว......................................เมาซาบ บัวนา
ซอนนอกในกลีบกล้ำ........................กลิ่นกลั้วเกสร
๏ บ่ คลาไคลน้อยหนึ่ง........................ฤๅหยุด อยู่นา
ยังใคร่ปองประติยุทธ์.......................ไป่ม้วย
ปรานีดอกบัวบุษป์..............................บ่ชื่น ชมนา
หุบอยู่ บ่ บานด้วย...............................ดอกสร้อยสัตตบรรณ