Ai เจ๋ง หรือ เด็กจะเจ๊ง (ขออภัย คำผิด ข้างบนนะครับแก้ไขไม่ได้)
การศึกษาทุกระดับ การจัดการในทุกชั้นเรียน
ต่างก็มีกลไก เชิงการเมือง และเชิงผลประโยชน์ซ่อนอยู่ด้วย ผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนล้วนเป็นปุถุชน
อาจจะเผลอมีการแอบซ่อนความต้องการเพื่อประโยชน์ตนเอาไว้ แต่จะทำอย่างไรที่จะให้ผู้เรียนเป็นผู้ได้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ สมกับเวลาที่เด็กๆ เสียไปในการเรียน 20 ปี
- งานแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน ใครได้ประโยชน์
- การสอบการตัดเกรดใครได้ประโยชน์
- การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใครได้ประโยชน์
- การปฏิบัติตามหลักสูตรให้ครบถ้วนใครได้ประโยชน์ ฯลฯ
ขณะที่ ...AI มีความสามารถเรียนรู้ได้ในอัตราเร่ง จดจำความรู้ได้มากมายมหาศาล มีความสามารถในการประมวลผลที่รวดเร็ว ไม่ขี้เกียจไม่บ่น ไม่โอดครวญและไม่เรียกร้อง
อย่างเช่น. ในปี ค.ศ.2016 AI ที่ชื่อว่า AlphaGo เล่นโกะหรือหมากล้อมชนะแชมป์โลกชาวเกาหลีไปอย่างขาดรอย
4:1 เกม ที่ชนะได้เพราะ AlphaGo เรียนรู้ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนฝึกซ้อมเล่นโกะฝึกซ้อมแค่วันละ 10 กระดาน ก็หัวบวมแล้วแต่ AlphaGo ฝึกซ้อมเล่นโกะได้วันละ 1,000 กระดาน ก่อนที่จะถึงวันแข่งขันมันเล่นมาแล้ว 30 ล้านกระดาน มากเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้ในหนึ่งชั่วชีวิต AI เล่นเยอะๆ เพื่อจดจำรูปแบบและก็สามารถจำได้หมดเสียด้วยมีความจำมากกว่ามนุษย์เป็นล้านเท่า ทั้งยังมีการดึงความจำมาสู่การคำนวณได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ ต่อมาได้มีการพัฒนาเป็น AlphaGo Master ซึ่งเก่งขึ้นมาอีก
ปี ค.ศ.2018 AlphaGo Zero ให้ AI เรียนรู้การเล่นโกะด้วยการเล่นมั่วไปเรื่อย ทำผิดไปเรื่อย ๆ แค่ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเท่านั้น
ก็สามารถรู้กฎพื้นฐานเหมือนผู้เล่นมือใหม่ที่ใช้เวลา 19 ชั่วโมง ก็เล่นได้เหมือนมนุษย์ เข้าใจหลักการของโกะทั้งหมด และเมื่อเล่นต่อไปถึงชั่วโมงที่ 70 ก็เล่นเก่งกว่ามนุษย์ ไปถึงระดับเดียวกับ AlphaGo ถึงวันที่ 40 เอาชนะ AlphaGo Master ขาดรอย กลายเป็นผู้เล่นโกะเก่งที่สุดที่โลก ภายใน 40 วัน AlphaGo Zero ใช้วิธีเรียนรู้ โดยเฉพาะเรียนรู้จากความผิดพลาดทั้งหมดจนอุดช่องโหว่ได้ เข้าใจ จดจำกฎเกณฑ์และพลิกแพลงได้
อีกตัวอย่าง..... จากการแข่งขันเกม DOTA2 ผู้พัฒนา AI ที่ชื่อว่า Open AI เร่งเวลาในการฝึกเล่นเกมในความเร็วที่เทียบได้ว่า 1 วันของ AI เท่ากับ 180 ปีของมนุษย์ เมื่อ AI ตัวนี้หัดเล่นเกมตั้งแต่เริ่มต้นจนถึง 1 สัปดาห์ พบว่ามีทักษะเท่ากับคนที่ฝึกเล่นเกมเดียวกันนั้นมาเป็นเวลา 1,260 ปี นี่เพียงแค่เริ่มต้น การพัฒนา AI ให้เรียนรู้ยังจะไปแบบก้าวกระโดดมากกว่านี้อีก
เมื่อกลับมาดูชั้นเรียนส่วนใหญ่ สลดใจ ด้วยโครงสร้าง ด้วยระบบและด้วยการเมือง ห้องเรียนส่วนใหญ่ของเรายังเป็นห้องสอนความรู้ ที่มีครูเป็นศูนย์กลาง มีโลกทัศน์และความเชื่อที่ว่า ความรู้ คือ ผลิตภัณฑ์อยู่ภายนอกตัวคน อาจมีในหนังสือหรืออินเตอร์เน็ต เป็นสิ่งหยุดนิ่งและแน่ชัด รอเวลาที่จะจับยัดใส่หัวเด็ก ครูทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางทำตามหลักสูตรให้ครบถ้วน
ตามนโยบายรายวัน รายเดือน รายปี โดยการ “บังคับบัญชา” ห้องเรียน ให้สงบ
เรียบร้อย แล้วถ่ายทอดความรู้ เด็กจึงต้องมีหน้าที่จำความรู้เพื่อสอบซึ่งในนั้นมีถูกกับผิดเท่านั้นและต้องอยู่ในระเบียบ ให้เรียบร้อย ไม่ส่งเสียงดัง ไม่คุยกัน และต้องฟังอย่างเดียว
AI + หุ่นยนต์ เรียนรู้ Logic ได้เร็ว ไม่เบื่อ ไม่ขี้เกียจ จำความรู้ได้มากมายกว่ามนุษย์นับล้านเท่า คำนวณได้เร็วแม่นยำ พูดได้ทุกภาษา ทำงานได้ทน ตรงไปตรงมา ไม่เรียกร้อง และไม่มีทัศนคติลบ
ถ้าการศึกษาและห้องเรียน ยังงมโข่งอยู่กับการสอนและสอบความรู้ตามแบบเรียนหรือหลักสูตร เด็กส่วนใหญ่ที่จบออกมาจากระบบการศึกษาจะไม่มีงานทำ จะดำเนินชีวิตได้อย่างยากลำบาก เมื่อพวกเขาจบปริญญา งานส่วนใหญ่ก็ถูก AI และหุ่นยนต์ครอบครองแล้ว
ยังเหลือพื้นที่ตรงไหนที่พอที่จะให้มนุษย์เหนือกว่า AI ได้?
..
ความเป็นมนุษย์ ความเป็น Magic ต่างหาก ที่ เรายังเหนือกว่า AI
แต่มันหล่นหายไปเสีย กับตลอด 20 ปี ที่เด็กๆ เรียนอยู่ในระบบหมดเพราะเพราะคนทำการศึกษาเชื่อว่ามันวัดไม่ได้ เพราะเชื่อว่าเมื่อวัดไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง
“จิตศึกษา” นวัตกรรมสร้าง Magic เริ่มต้นที่คุณค่าความเป็นมนุษย์ ไม่ได้เริ่มต้นที่ความรู้หรือวิชา เปลี่ยนครู จากผู้ควบคุมให้ เป็นกัลยาณมิตร จากผู้สอนเป็น Facilitator คือต้องมีความเชื่อใหม่ว่าความรู้เป็นสิ่งไม่ตายตัวเกิดจากการผสานของความรู้ที่มีอยู่กับความรู้ภายในคน ผู้เรียนคือผู้สร้างความรู้ความเข้าใจขึ้น ผู้เรียนจะเป็นผู้ใช้ความรู้ความเข้าใจนั้น และในที่สุดพวกเขาจะเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจ (Being) ซึ่งนั่นครูต้องออกแบบกิจกรรมแยบยล สร้างแรงบันดาลใจเก่ง ตั้งคำถามเก่ง สะท้อนเก่ง และ Empowerเก่ง

#จิตศึกษา #ปัญญาภายใน
ข้อมูล โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ (โรงเรียนนอกกะลา)
บทความจาก เพจ วิเชียรไชยบัง
https://www.facebook.com/wichian.chaiyabang/
Ai เจ๋ง หรือ เด็กจะเจ้ง การศึกษาการเรียนรู้ต้องทำอย่างไร
การศึกษาทุกระดับ การจัดการในทุกชั้นเรียน
ต่างก็มีกลไก เชิงการเมือง และเชิงผลประโยชน์ซ่อนอยู่ด้วย ผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนล้วนเป็นปุถุชน
อาจจะเผลอมีการแอบซ่อนความต้องการเพื่อประโยชน์ตนเอาไว้ แต่จะทำอย่างไรที่จะให้ผู้เรียนเป็นผู้ได้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ สมกับเวลาที่เด็กๆ เสียไปในการเรียน 20 ปี
- งานแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน ใครได้ประโยชน์
- การสอบการตัดเกรดใครได้ประโยชน์
- การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใครได้ประโยชน์
- การปฏิบัติตามหลักสูตรให้ครบถ้วนใครได้ประโยชน์ ฯลฯ
ขณะที่ ...AI มีความสามารถเรียนรู้ได้ในอัตราเร่ง จดจำความรู้ได้มากมายมหาศาล มีความสามารถในการประมวลผลที่รวดเร็ว ไม่ขี้เกียจไม่บ่น ไม่โอดครวญและไม่เรียกร้อง
อย่างเช่น. ในปี ค.ศ.2016 AI ที่ชื่อว่า AlphaGo เล่นโกะหรือหมากล้อมชนะแชมป์โลกชาวเกาหลีไปอย่างขาดรอย
4:1 เกม ที่ชนะได้เพราะ AlphaGo เรียนรู้ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนฝึกซ้อมเล่นโกะฝึกซ้อมแค่วันละ 10 กระดาน ก็หัวบวมแล้วแต่ AlphaGo ฝึกซ้อมเล่นโกะได้วันละ 1,000 กระดาน ก่อนที่จะถึงวันแข่งขันมันเล่นมาแล้ว 30 ล้านกระดาน มากเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้ในหนึ่งชั่วชีวิต AI เล่นเยอะๆ เพื่อจดจำรูปแบบและก็สามารถจำได้หมดเสียด้วยมีความจำมากกว่ามนุษย์เป็นล้านเท่า ทั้งยังมีการดึงความจำมาสู่การคำนวณได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ ต่อมาได้มีการพัฒนาเป็น AlphaGo Master ซึ่งเก่งขึ้นมาอีก
ปี ค.ศ.2018 AlphaGo Zero ให้ AI เรียนรู้การเล่นโกะด้วยการเล่นมั่วไปเรื่อย ทำผิดไปเรื่อย ๆ แค่ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเท่านั้น
ก็สามารถรู้กฎพื้นฐานเหมือนผู้เล่นมือใหม่ที่ใช้เวลา 19 ชั่วโมง ก็เล่นได้เหมือนมนุษย์ เข้าใจหลักการของโกะทั้งหมด และเมื่อเล่นต่อไปถึงชั่วโมงที่ 70 ก็เล่นเก่งกว่ามนุษย์ ไปถึงระดับเดียวกับ AlphaGo ถึงวันที่ 40 เอาชนะ AlphaGo Master ขาดรอย กลายเป็นผู้เล่นโกะเก่งที่สุดที่โลก ภายใน 40 วัน AlphaGo Zero ใช้วิธีเรียนรู้ โดยเฉพาะเรียนรู้จากความผิดพลาดทั้งหมดจนอุดช่องโหว่ได้ เข้าใจ จดจำกฎเกณฑ์และพลิกแพลงได้
อีกตัวอย่าง..... จากการแข่งขันเกม DOTA2 ผู้พัฒนา AI ที่ชื่อว่า Open AI เร่งเวลาในการฝึกเล่นเกมในความเร็วที่เทียบได้ว่า 1 วันของ AI เท่ากับ 180 ปีของมนุษย์ เมื่อ AI ตัวนี้หัดเล่นเกมตั้งแต่เริ่มต้นจนถึง 1 สัปดาห์ พบว่ามีทักษะเท่ากับคนที่ฝึกเล่นเกมเดียวกันนั้นมาเป็นเวลา 1,260 ปี นี่เพียงแค่เริ่มต้น การพัฒนา AI ให้เรียนรู้ยังจะไปแบบก้าวกระโดดมากกว่านี้อีก
เมื่อกลับมาดูชั้นเรียนส่วนใหญ่ สลดใจ ด้วยโครงสร้าง ด้วยระบบและด้วยการเมือง ห้องเรียนส่วนใหญ่ของเรายังเป็นห้องสอนความรู้ ที่มีครูเป็นศูนย์กลาง มีโลกทัศน์และความเชื่อที่ว่า ความรู้ คือ ผลิตภัณฑ์อยู่ภายนอกตัวคน อาจมีในหนังสือหรืออินเตอร์เน็ต เป็นสิ่งหยุดนิ่งและแน่ชัด รอเวลาที่จะจับยัดใส่หัวเด็ก ครูทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางทำตามหลักสูตรให้ครบถ้วน
ตามนโยบายรายวัน รายเดือน รายปี โดยการ “บังคับบัญชา” ห้องเรียน ให้สงบ
เรียบร้อย แล้วถ่ายทอดความรู้ เด็กจึงต้องมีหน้าที่จำความรู้เพื่อสอบซึ่งในนั้นมีถูกกับผิดเท่านั้นและต้องอยู่ในระเบียบ ให้เรียบร้อย ไม่ส่งเสียงดัง ไม่คุยกัน และต้องฟังอย่างเดียว
AI + หุ่นยนต์ เรียนรู้ Logic ได้เร็ว ไม่เบื่อ ไม่ขี้เกียจ จำความรู้ได้มากมายกว่ามนุษย์นับล้านเท่า คำนวณได้เร็วแม่นยำ พูดได้ทุกภาษา ทำงานได้ทน ตรงไปตรงมา ไม่เรียกร้อง และไม่มีทัศนคติลบ
ถ้าการศึกษาและห้องเรียน ยังงมโข่งอยู่กับการสอนและสอบความรู้ตามแบบเรียนหรือหลักสูตร เด็กส่วนใหญ่ที่จบออกมาจากระบบการศึกษาจะไม่มีงานทำ จะดำเนินชีวิตได้อย่างยากลำบาก เมื่อพวกเขาจบปริญญา งานส่วนใหญ่ก็ถูก AI และหุ่นยนต์ครอบครองแล้ว
ยังเหลือพื้นที่ตรงไหนที่พอที่จะให้มนุษย์เหนือกว่า AI ได้?
..
ความเป็นมนุษย์ ความเป็น Magic ต่างหาก ที่ เรายังเหนือกว่า AI
แต่มันหล่นหายไปเสีย กับตลอด 20 ปี ที่เด็กๆ เรียนอยู่ในระบบหมดเพราะเพราะคนทำการศึกษาเชื่อว่ามันวัดไม่ได้ เพราะเชื่อว่าเมื่อวัดไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง
“จิตศึกษา” นวัตกรรมสร้าง Magic เริ่มต้นที่คุณค่าความเป็นมนุษย์ ไม่ได้เริ่มต้นที่ความรู้หรือวิชา เปลี่ยนครู จากผู้ควบคุมให้ เป็นกัลยาณมิตร จากผู้สอนเป็น Facilitator คือต้องมีความเชื่อใหม่ว่าความรู้เป็นสิ่งไม่ตายตัวเกิดจากการผสานของความรู้ที่มีอยู่กับความรู้ภายในคน ผู้เรียนคือผู้สร้างความรู้ความเข้าใจขึ้น ผู้เรียนจะเป็นผู้ใช้ความรู้ความเข้าใจนั้น และในที่สุดพวกเขาจะเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจ (Being) ซึ่งนั่นครูต้องออกแบบกิจกรรมแยบยล สร้างแรงบันดาลใจเก่ง ตั้งคำถามเก่ง สะท้อนเก่ง และ Empowerเก่ง
#จิตศึกษา #ปัญญาภายใน
ข้อมูล โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ (โรงเรียนนอกกะลา)
บทความจาก เพจ วิเชียรไชยบัง https://www.facebook.com/wichian.chaiyabang/