สมัยอยุธยา ถ้าพระเพทราชายึดอำนาจไม่สำเร็จ แล้วดำเนินสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศจต่อ ไทยจะเป็นมหาอำนาจเหมือนญี่ปุ่นไหม?

ตอนอ่านประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ช่วงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผมรู้สึกตงิดใจขึ้นมาว่า ถ้าพระเพทราชายึดอำนาจไม่สำเร็จ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ยังครองอำนาจอยู่ต่อแล้วดำเนินสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศจต่อ และมีการส่งคนไปเรียนรู้เทคโนโลยี่ต่างๆจากตะวันตกแบบจริงจังเหมือนสมัย ร.5 และนำความเจริญมาสู่ประเทศ ดีไม่ดีทั้งถนนและทางรถไฟขบวนแรกของเอเชียอาจจะเกิดขึ้นที่ไทยก่อนถึงสมัย ร.5 ซ่ะอีก รวมถึงกองทัพปืนสมัยใหม่ ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ไทยกลายเป็นมหาอำนาจของเอเชียได้เหมือนกับญี่ปุ่นยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

ยุคนั้นตามประวัติศาสตร์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไม่มีนโยบายมายึดสยามเป็นเมืองขึ้น แต่แค่ต้องการเผยแพร่ศาสนาเพื่อเป็นเกรียติ์ประวัติตัวเองต่อพระสันตปะปาที่โรมและปกป้องผลประโยชน์กับเส้นทางการค้าของฝรั่งเศจ 

ส่วนพระเพทราชาดำเนินนโยบายแบบหัวโบราณอนุรักษ์นิยมทั้งต่อต้านและขับไล่ชาวต่างชาติ ไม่ยอมรับและเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆ ผมมองว่าที่กรุงศรีต้องแตกครั้งที่สองก็เป็นเพราะนโยบายไร้วิสัยทัศน์ที่สืบทอดมาในราชวงศ์นี้แหละ

ก็เลยอยากจะทราบความคิดเห็นของท่านผู้รู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและยุโรปในสมัยนั้นครับว่าคิดเห็นยังไงบ้าง เพราะผมดูรูปการณ์แล้วเป็นไปได้มากเลยทีเดียว 
แก้ไขข้อความเมื่อ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 8
ความเชื่อว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวงปิดกันตนเองจากโลกตะวันตก เป็นหนึ่งในมายาคติที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจคลาดเคลื่อนครับ

เพราะตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่ได้ปิดกั้นตนเองจากชาติตะวันตกเลย แม้ว่าจะขับไล่กองทหารฝรั่งเศส แต่ชาวดัตช์ที่เป็นศัตรูของฝรั่งเศสก็ยังได้รับราชการในราชสำนักอยู่จำนวนมาก และยังมีชาติอื่นๆ อยู่อีกจำนวนมากครับ


และต่อให้สมเด็จพระนารายณ์ครองราชย์ต่อไป การค้าขายกับตะวันตกก็มีแนวโน้มที่จะซบเซาลงมากขึ้นอยู่แล้วครับ

เนื่องจากราชสำนักในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มีนโยบายผูกขาดสินค้าโดยฟอลคอน ทำให้สามารถแสวงหากำไรเข้าท้องพระคลังได้มหาศาล แต่เพราะพ่อค้าต่างประเทศเสียผลประโยชน์ ทำให้ต่างประเทศต้องไปหาตลาดปล่อยสินค้าที่ถูกกว่าอยุทธยาแทน จึงมีหลักฐานว่าสำเภาต่างประเทศที่เข้ามาน้อยลงไปมาก ดังนั้นถ้าสมเด็จพระนารายณ์และฟอลคอนยังกุมอำนาจและใช้นโยบายตามเดิม การค้าต่างประเทศก็มีแต่จะซบเซาลง

หลังจากที่พระเพทราชาได้ราชสมบัติก็ทำให้สัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสชะงักไประยะหนึ่ง แม้จะมีความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ต่อมาในสมัยพระเพทราชาและพระเจ้าเสือ แต่ก็ไม่ได้เจริญเหมือนครั้งสมเด็จพระนารายณ์ ส่วนหนึ่งเกิดจากสถานการณ์ของยุโรปในยุคนั้นที่ทำให้ธุรกิจการค้าของฝรั่งเศสในภูมิภาคอินเดียตะวันออกเสื่อมถอยลง มากกว่าจะมาจากนโยบายของราชวงศ์บ้านพลูหลวง

ปัจจัยหนึ่งคือเมืองพอนดิเชอร์รีซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของฝรั่งเศสในอินเดีย ถูกบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ยึดใน พ.ศ.๒๒๓๗ และในยุโรปตอนนั้นมีสงครามใหญ่ติดต่อกันคือ “สงครามมหาสัมพันธมิตร” (War of the Grand Alliance)  กับ “สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน” (War of the Spanish Succession) ทำให้รัฐบาลชาติตะวันตกส่วนใหญ่ไม่ได้มีเวลาสนใจการค้าในแถบตะวันออกมากนัก บวกกับชาติยุโรปก็ทำกำไรในแถบนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ในสมัยหลังจะเป็นพ่อค้าเอกชนรายย่อยที่เข้ามาทำการค้ามากกว่า ดังนั้นการจะมุ่งหวังให้อยุทธยาเจริญโดยอาศัยฝรั่งเศสเป็นไปได้ยากครับ

การค้าขายกับตะวันตกยังคงมีมาโดยตลอดโดยกรุงศรีอยุทธยาไม่เคยกีดกัน และเจ้านายสมัยอยุทธยาตอนปลายก็ยังสนใจในการหาผลประโยชน์จากการค้าต่างประเทศ ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของดัตช์ว่าพระเจ้าเสือเมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงมีสิทธิในการทำการค้าสำเภาด้วยพระองค์เองกับเมืองท่าของชายฝั่งโคโรมันเดรลในอินเดีย ญี่ปุ่น และปัตตาเวีย

ปรากฏในเอกสารสมัยหลังว่าอยุทธยาตอนปลายนั้นก็ยังคงเป็นเมืองท่าที่มีเรือสินค้าจากหัวเมืองและต่างประเทศมาค้าขายอยู่เสมอ

อยุทธยาหันไปทำการค้ากับจีนในสมัยพระเจ้าท้ายสระมากขึ้น เพราะตั้งแต่ปลายรัชสมัยคังซี ที่มณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยนมีภัยธรรมชาติมากทำให้ขาดแคลนข้าว ซึ่งไทยเองก็นำข้าวไปค้าสำเภาให้จีนโดยไม่ต้องเสียภาษี ทำกำไรเข้าท้องพระคลังอย่างมหาศาล เศรษฐกิจของอยุทธยาในสมัยนั้นก็นับว่าดีพอสมควรโดยไม่ต้องทำการค้ากับตะวันตกเป็นหลัก และปรากฏว่าไทยเองก็มีสั่งซื้อสินค้าจากจีนจำนวนมากอย่างพวกเครื่องกระเบื้อง นอกจากนี้ด้วยสภาวะสังคมในเวลานั้นจึงดึงดูดให้ชาวจีนเข้ามาในระบบราชการจำนวนมากครับ



ส่วนเรื่องวิทยาการจากยุโรป เมื่อพิจารณาตามหลักฐานจริงๆ แล้วในสมัยสมเด็จพระนารายณ์อยู่ในบริบทที่ต่างจากสมัยรัชกาลที่ ๕ และญี่ปุ่นสมัยเมจิที่ถูกกดดันให้ปรับตัวจากการล่าอาณานิคมจากชาติมหาอำนาจตะวันตก จนต้องปรับตัวด้วยการปฏิรูปในวงกว้างถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการปกครองให้เท่าทันตะวันตก ในขณะที่สังคมสมัยสมเด็จพระนารายณ์และสมัยอยุทธยาไม่ได้เผชิญสภาพแบบนั้น จึงไม่มีแรงผลักดันให้ต้องปรับตัวในระดับโครงสร้าง

วิทยาการจากยุโรปที่สมเด็จพระนารายณ์รับมาใช้ยังจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะหมู่ชนชั้นปกครองเท่านั้น ทั้งเรื่องการฝึกทหาร (ซึ่งมีมาก่อนนานแล้วตั้งแต่สมัยโปรตุเกสและดัตช์เข้ามา) การสร้างป้อมปราการ  การสร้างโรงเรียนและหอดูดาวซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจว่าสร้างสำหรับประชาชนทั่วไป ความจริงสร้างขึ้นสำหรับชาวคริสต์เท่านั้น




ส่วนเรื่องสภาพสังคมไทยในยุคจารีตจะพัฒนาได้เท่าญี่ปุ่นสมัยเมจิได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การเจริญสัมพันธไมตรีกับตะวันตกอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างการปกครองและสภาพสังคมด้วยครับ

พื้นฐานทางสังคมญี่ปุ่นในสมัยเอโดะที่ร่วมสมัยกับอยุทธยาและรัตนโกสินทร์มีพัฒนาการเหนือกว่าไทยหลายด้าน โดนเฉพาะด้านการศึกษา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปเมจิเป็นไปอย่างก้าวกระโดดมาก

ญี่ปุ่นรับแนวคิดการศึกษาจากจีนมาตั้งแต่เฮอัน แม้แรกเริ่มจะจำกัดอยู่ในหมู่ชนชั้นสูง แต่ก็มีสถานศึกษาและสำนักคิดจำนวนมากแพร่หลายตั้งแต่โบราณ ต่อมาในสมัยเอโดะต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ มีการก่อตั้งโรงเรียนสำหรับสามัญชนเรียกว่า เทระโกยะ (寺子屋) หรือสถานศึกษาในวัด ทำให้การศึกษาแพร่หลายไปในชนชั้นอื่นๆ รวมถึงชนชั้นพ่อค้าที่กำลังเฟื่องฟูในสมัยเอโดะ และผู้หญิงด้วย ส่งผลให้การศึกษายิ่งขยายตัว รัฐบาลก่อตั้งสถานศึกษาหลายแห่งจนค่อยๆ กระจายไปทั่วประเทศ จนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มีชาวเมืองเอโดะมากกว่าร้อยละ ๗๐ ได้เรียนหนังสือในเทระโกยะ

ในแคว้นต่างๆ ของญี่ปุ่นก็มี ฮังโก (藩校) หนือโรงเรียนประจำแคว้น สำหรับคนในตระกูลไดเมียวและซามูไรรับใช้ นอกจากนี้ยังอาจให้คนชนชั้นอื่นเข้าศึกษาได้ด้วย มีการสอนปรัชญาขงจื่อเป็นหลัก และมีการศึกษาวิชาแขนงอื่น เช่น โกกุงะคุ (國學) หรือญี่ปุ่นศึกษา และ รังงะกุ (蘭学) หรือ ตะวันตกศึกษา ซึ่งตั้งควบคู่ไปกับเทระโกยะ  ระบอบการศึกษาของญี่ปุ่นส่งผลให้ในสมัยเอโดะมีนักคิดนักเขียนและนักปรัชญาเกิดขึ้นจำนวนมาก

อัตราการรู้หนังสือของชาวญี่ปุ่นจึงสูงกว่าคนไทยมาตั้งแต่โบราณ มีการประเมินว่าในปลายสมัยเอโดะ มีสถานศึกษามากกว่าหนึ่งหมื่นแห่ง มีนักเรียนประมาณ ๗๕,๐๐๐ คน ผู้ชายร้อยละ ๕๐ และผู้หญิงร้อยละ ๒๐ ของทั้งประเทศสามารถอ่านออกเขียนได้ คิดคำนวณได้


ในขณะที่สังคมไทยสมัยโบราณก่อนรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีการก่อตั้งสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ เน้นศึกษาด้วยการฝากตัวตามวัดหรือกับผู้รู้เฉพาะด้านมากกว่า การเรียนสอนแค่พออ่านออกเขียนได้และวิชาเลข มีแต่โรงเรียนของมิชชันนารีซึ่งค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม การศึกษาไม่ได้เข้าถึงคนส่วนใหญ่ที่เป็นชนชั้นใต้ปกครองที่สภาพทางสังคมไม่เอื้อมให้เรียนหนังสือ  

แม้แต่ชนชั้นปกครองก็ไม่ได้เรียนหนังสือมากนัก เพราะส่วนมากการรับราชการสืบต่อกันอยู่ในตระกูล และถือคติกันว่าวิชาหนังสือเป็นวิชาสำหรับเสมียน ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงไม่จำเป็นต้องรู้ลึกซึ้ง เพราะมีเสมียนเขียนให้อยู่แล้ว



ญี่ปุ่นรับวิทยาการตะวันตกจากโปรตุเกสแบบเข้มข้น มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะปิดประเทศจากตะวันตกในเวลาต่อมา แต่ยังยอมค้าขายกับดัตช์ที่เกาะเดจิมะ ญี่ปุ่นได้รับวิทยาการตะวันตกจากดัตช์หลายอย่าง จนเกิดเป็นแขนงการศึกษาที่เรียกว่า รังงะกุ (蘭学) คือ ดัตช์ศึกษาหรือตะวันตกศึกษา มีการศึกษาวิทยาการหลายประเภททั้งภาษา การแพทย์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม กลไก ฯลฯ มีการแปลตำราของดัตช์เป็นภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และมีการก่อตั้งสำนักศึกษารังงะกุอย่างเป็นระบบ รังงะกุส่งผลต่อแนวคิดของปัญญาชนในสมัยเอโดะตอนปลายจำนวนมาก ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติเมจิในเวลาต่อมา

เทียบกับอยุทธยาซึ่งเปิดประเทศค้าขายกับชาติตะวันตกหลายชนชาติตั้งแต่อยุทธยาตอนกลางจนเสียกรุง ก่อนสมัยพระเพทราชานานมาก กลับไม่มีระบบการศึกษาวิทยาการตะวันตกอย่างเป็นแบบแผนชัดเจนเลย เพิ่งมาปรากฏในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่มีชนชั้นปกครองเริ่มศึกษาวิทยาการตะวันตกแบบจริงจัง แต่ก็เป็นการศึกษาจากมิชชันนารีเป็นรายบุคคลเท่านั้น


ระบบการปกครองของญี่ปุ่นยังเอื้อให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรมมากกว่า เพราะการแบ่งชนชั้นทางสังคมเป็นการกำหนดหน้าที่และการประกอบอาชีพที่ชัดเจนโดยไม่ได้เป็นการเกณฑ์แรงงานแบบไทย   ชนชั้นในสังคมเมืองอย่างศิลปะและพ่อค้าจึงมีอิสระสูง โดยเฉพาะพ่อค้าที่เป็นชนชั้นต่ำแต่สามารถสร้างความมั่งคั่งและอิทธิพลจนเหนือกว่าซามูไรจนสามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจของประเทศกลายเป็น “ชนชั้นกระฎุมพี” ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของสังคมญี่ปุ่น รวมถึงชนชั้นศิลปินที่สามารถรังสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ก่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ของสามัญชนจำนวนมาก เช่น ภาพเขียนแบบอุกิโยะ (浮世) ที่สะท้อนวิถีชีวิตทั่วไป หรือละครคาบูกิ (歌舞伎) ฯลฯ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอีกทางหนึ่ง


ในขณะที่ระบบการปกครองแบบศักดินาของไทยโบราณไม่เอื้อต่อการพัฒนา เพราะเจ้าขุนมูลนายผูกขาดทั้งการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ชนชั้นใต้ปกครองส่วนใหญ่คือไพร่ในสังกัดมูลนายถูกเกณฑ์แรงงานเดือนเว้นเดือนขาดโอกาสในการพัฒนาอาชีพของตนเอง ได้รับการศึกษาน้อยหรืออาจไม่ได้เพราะไม่มีจำเป็นต่อสภาพสังคมในยุคนั้น ถูกจำกัดการประกอบอาชีพและการค้าขายไว้เพียงระดับย่อยเพราะชนชั้นปกครองควบคุมการค้าสเกลใหญ่แทบทั้งหมด ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อราชสำนักและศาสนาเป็นหลัก โอกาสที่ชนชั้นล่างจะยกระดับขึ้นมาขับเคลื่อนสังคมและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ แบบญี่ปุ่นจึงน้อยมากครับ

จำนวนประชากรก็แตกต่างกันหลายเท่าตัว ตอนญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศมีประชากรถึง ๓๐ ล้านคน ในขณะที่สยามซึ่งมีพื้นที่มากกว่าญี่ปุ่น แต่สมัยปลายรัชกาลที่ ๕ มีประชากรเบาบางประมาณ ๘ ล้านคนเท่านั้น

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญอาจจะเป็นแนวคิดและค่านิยมพื้นฐานของสังคมไทยอย่างแนวคิดเทวราชาแบบพราหมณ์-ฮินดู และพุทธเถรวาท ที่ไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาในทางโลกมากนัก


ดังนั้น โอกาสที่สยามในช่วงเวลาเดียวกับญี่ปุ่นจะพัฒนาให้เท่าทันกันได้จึงเป็นไปได้ยาก เพราะพื้นฐานทางสังคมไม่ได้เท่าเทียมกันตั้งแต่แรกครับ
ความคิดเห็นที่ 9
ส่วนเรื่องนโยบายของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เดิมสนใจแค่ผลประโยชน์การเผยแผ่ศาสนาและการค้าก็จริงครับ แต่ในเวลาต่อมาเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ที่ว่านี้ ฝรั่งเศสก็พร้อมที่จะใช้กำลังทหารยึดครองเมืองท่าสำคัญในสยาม และแทรกแซงการปกครองในราชสำนักกรุงศรีอยุทธยา จนมีหลักฐานถึงขนาดว่าจะเอาสยามเป็น "เมืองขึ้น" จริงครับ  

ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเพราะฟอลคอนกับบาทหลวงฝรั่งเศสบางกลุ่มพยายามชักนำให้ฝรั่งเศสเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในสยาม จนฝรั่งเศสอยากได้มากกว่าที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกอีก


แรกเริ่มเดิมที พบว่าฟอลคอนได้ร่วมคิดอ่าน “แผน” กับบาทหลวงคณะเยซูอิตเชื้อสายเฟลมิชที่เขามีความสนิทสนม และเป็นผู้ที่ชักชวนให้เข้าเปลี่ยนกลับมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกสองรูป คือ บาทหลวงอ็องตวน โตมาส์ (Antione Thomas) และบาทหลวงฌ็อง-บัพติสต์ มัลโดนาโด (Jean-Baptiste Maldonado)  

เนื้อหาของ “แผน” นั้นมีจุดประสงค์มุ่งให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเข้ารีต และหลังจากนั้นคือราษฎรชาวสยามทั้งมวล โดยให้จัดบาทหลวงเยซูอิตชุดหนึ่งทั้งที่เป็นนักดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์เดินทางเข้ามาในสยาม เพื่อแสดงวิทยาการโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงหันมานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับตอนที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น บาทหลวงเยซูอิตที่ส่งมานี้ จะต้องเปลี่ยนมาครองจีวรอย่างพระสงฆ์ เพื่อให้สมเด็จพระนารายณ์ที่ยังทรงศรัทธาในศาสนาพุทธเลื่อมใส ในแผนนั้นกำหนดว่าบาทหลวงที่ส่งมานี้ต้องมีเชื้อสายเฟลมิช อิตาเลียน หรือ เวนิส ในเวลานั้นยังไม่มีชาวฝรั่งเศสเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

ผลที่ตามมาคือ บาทหลวง เดอ ลา แชส กับบาทหลวงแวร์จูส (Père Antione Verjus) ได้กลายเป็นผู้รับผิดชอบในการส่งบาทหลวงคณะเยซูอิตเดินทางไปยังตะวันออก ตามฉันทานุมัติของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทั้งสองได้ส่งบาทหลวงเยซูอิตที่เป็น “นักคณิตศาสตร์” จำนวน ๖ รูป เพื่อเดินทางไปประกาศพระศาสนายังเมืองจีน โดยให้ออกเดินทางกับคณะทูตฝรั่งเศสนำโดยเชอวาลิเยร์ เดอ โชมงต์ (Alexandre, Chevalier de Chaumont) แวะที่กรุงศรีอยุทธยาก่อน


ในช่วงนั้น พบว่าฟอลคอนเริ่มมีแผนการบางอย่างในการที่จะดึงฝรั่งเศสเข้ามาในสยาม เขาจึงได้ไปผูกสัมพันธ์กับบาทหลวงกีย์ ตาชารด์ (Guy Tachard) ซึ่งเป็นหนึ่งในบาทหลวงเยซูอิตที่ถูกส่งมาสยาม จนเกิดความสนิทสนมไว้วางใจต่อกัน ตาชารด์ได้รู้เรื่อง “แผน” ของฟอลคอน และได้มีส่วนในการร่วมในการปรับปรุงแผนนี้ด้วย

เนื้อหาของแผนใหม่โดยสรุปคือ ฟอลคอนตั้งใจจะนำฝรั่งเศสเหล่านี้เข้ามาแทรกซึมระบบการปกครองของอยุทธยา โดยจัดให้อยู่ในระบบราชการภายใต้บังคับของตน เพื่อที่จะดำเนินการค่อยๆ เปลี่ยนศาสนาจากระดับบนลงสู่ระดับล่าง นอกจากนี้ยังเสนอให้ส่งคนมาจัดตั้งชุมชนของชาวคริสต์เพื่อให้เป็นฐานที่มั่น และยังเสนอให้ฝรั่งเศสรีบเข้ามาควบคุมสงขลา (ที่สมเด็จพระนารายณ์ต้องการพระราชทานให้) โดยเร็วที่สุดเพื่อให้ฝรั่งเศสได้ฐานที่มั่นที่มันคงในการทำการค้า ที่สำคัญคือข้อสุดท้ายที่กล่าวว่าเมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต เขาจะทำให้แน่ใจว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไปจะสนับสนุนคริสต์ศาสนายิ่งกว่า


ในระหว่างที่บาทหลวงตาชารด์ไปทำหน้าที่เจรจา “แผนลับ” ให้ฟอลคอนในฝรั่งเศสและวาติกัน ฟอลคอนได้เขียนจดหมายอีกฉบับถึงบาทหลวง เดอ ลา แชส ที่เมืองละโว้ ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙) เนื้อหาตอนหนึ่ง ฟอลคอนได้เสนอเมืองท่ามะริดให้ฝรั่งเศส (ซึ่งโกษาปานเคยบ่ายเบี่ยงเสนาบดีฝรั่งเศสในเรื่องนี้) ซึ่งฝรั่งเศสเองกำลังต้องการเมืองท่าสำคัญในภูมิภาคนี้เพื่อฟื้นฟูการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสที่ถูกปิดตัวไป โดยฟอลคอนชี้ให้เห็นว่ามะริดเป็นเมืองท่าที่ดีที่สุดในแถบนี้ มีอากาศดีและมีชัยภูมิธรรมชาติที่ป้องกันได้ง่าย เป็นทำเลดีในการต่อเรือ และสามารถใช้เป็นศูนย์กลางทำการค้าได้ทั่วช่องแคบมะละกา เมืองอะเจะฮ์ เบงกอล ลังกา หงสาวดี และชายฝั่งโคโรมันเดรล

เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า

กระผมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะให้อำนาจปกครองเมืองนี้ตกอยู่แก่คนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ประเสริฐแห่งคริสตจักร ทั้งด้านพลเรือนและด้านทหาร... ภายใต้พระนามของพระเจ้ากรุงสยาม กระผมจะต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เป็นไปเพื่ออาณาประโยชน์แห่งพระบาทสมเด็จผู้ประเสริฐแห่งคริสตจักรให้จงได้ กระผมจะสบายใดมากถ้าบริษัทการค้าของหลวงจะได้ไปเปิดทำการขึ้นที่นั่น พระองค์จักได้สร้างอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ขึ้นได้ ทั้งนี้แม้ว่าประเทศฝรั่งเศสจะอยู่ห่างไกลก็ไม่เป็นเครื่องหักห้ามการแพร่พระศาสนาหรือการพัฒนาผลประโยชน์ของประเทศฝรั่งเศสเสียได้...”



อีกตอนหนึ่งฟอลคอนได้กล่าวถึงคุณสมบัติของชาวฝรั่งเศสที่ขอให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ส่งมาให้ และขอให้พระราชทานอำนาจบังคับบัญชาเป็นสิทธิขาดให้ฟอลคอนเหนือคนเหล่านี้

       “กระผมก็จำเป็นต้องทูลขอต่อพระองค์ด้วยความเคารพ ว่าขอให้พระองค์ท่านมีพระราชกระแสเลือกเฟ้นตัวบุคคลที่มาทำการนี้ให้เป็นบุคคลที่มีชีวิตและเป็นตัวอย่างอันดี ไม่โลภโมโทสัน เพื่อที่จะปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาได้ด้วยประการให้ผู้มีความระพฤติดีบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และไม่เป็นกังวลในความปากโป้งโฉงเฉงของผู้บังคับบัญชา ด้วยประการฉะนี้ จึงจำเป็นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะต้องพระราชทานอำนาจให้แก่กระผมถึงสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นที่เปิดเผยเป็นที่รู้แก่บุคคลทั่วไปว่า กระผมได้รับอาญาสิทธิ์ที่จะลงโทษทุกคนได้โดยไม่เว้นหน้า อำนาจชั้นสองนั้นให้เป็นความลับ ให้อำนาจแก่กระผมที่จะจัดส่งบุคคลที่ควรแก่การประหารชีวิตหรือเนรเทศ มารับการพิจารณาโทษ ณ ประเทศฝรั่งเศส ทุกคนที่มารับงานทางนี้ได้รับคำสั่งว่าจะต้องมารับการบังคับบัญชาจากเราในทุกกรณีโดยมิต้องแจ้งเหตุผลอย่างอื่นให้ทราบ อนึ่ง เพื่อให้คนดีได้รับบำเหน็จความชอบ กระผมขอร้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระผมปูนบำเหน็จแก่ผู้คนของพระองค์บรรดาที่สมควรได้รับ ที่กระผมกล่าวนี้ไม่หมายถึงเรื่องเงินทอง กระผมขอให้คำมั่นสัญญาว่ากระผมจะใช้อำนาจอาญาสิทธิ์ที่โปรดพระราชทานนี้โดยรอบคอบ และกระผมจะแสดงตนในที่ทั่วไปให้สมแก่ที่เป็นบุคคลในพระบรมราชูปถัมภ์ทุกประการ”


หากพิจารณาตามหลักฐานแล้ว พบว่าไม่ได้แตกต่างจากนโยบายของสมเด็จพระนารายณ์ในอดีต ที่โปรดให้ชาวต่างประเทศเข้ามารับราชการในตำแหน่งสำคัญ ส่วนหนึ่งเพราะชาวต่างประเทศอาจมีความชำนาญในราชการบางอย่างมากกว่าชาวไทย และอีกส่วนหนึ่งคือทรงต้องอาศัยชาวต่างประเทศในการถ่วงดุลอำนาจกับกลุ่มขุนนางฝ่ายปกครอง ซึ่งเคยมีการรวมกลุ่มกันจะก่อกบฏต่อพระองค์ในช่วงต้นรัชกาล

แต่เมื่อพิจารณารายละเอียด “แผนลับ” ของฟอลคอน พบว่าน่าจะมีจุดมุ่งหมายที่เกินเลยไปจากพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์อย่างมากเพราะแสดงท่าทีเอื้อประโยชน์ให้ฝรั่งเศสอย่างเต็มที่ โดยชี้ให้เห็นประโยชน์ทั้งเรื่องการค้าขายและการเผยแผ่ศาสนาเพื่อดึงดูดให้ฝรั่งเศสเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสยาม

นอกจากนี้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานอย่างชัดเจนของฟอลคอน ที่ต้องการอาศัยฝรั่งเศสเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างเสริมอำนาจที่มั่นคงของตนเองในสยาม มากกว่าที่จะเสนอผลประโยชน์ให้ฝรั่งเศสหรือสมเด็จพระนารายณ์โดยบริสุทธิ์ใจ ดังที่เห็นว่าเขาต้องการอำนาจบัญชาการเป็นสิทธิขาดเหนือชาวฝรั่งเศสที่พระเจ้าหลุยส์จะจัดส่งเข้ามา ซึ่งแม้ว่าชาวฝรั่งเศสกลุ่มนี้จะเป็นข้าราชการของสมเด็จพระนารายณ์ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติก็เป็นเครื่องมือของฟอลคอน


ผลของแผนนี้ บวกการการนำเสนอภาพของฟอลคอนที่แสดงท่าทีเอื้อประโยชน์ต่อฝรั่งเศสเต็มที่ พร้อมด้วยการโฆษณากลุ่มบาทหลวงเยซูอิตที่มีผลประโยชน์ผูกพันกับฟอลคอน (เช่น บาทหลวงตาชารด์) ทำให้ฝรั่งเศสเชื่อว่าฟอลคอน มีอำนาจและอิทธิพลเพียงพอที่สามารถเป็นผู้ดำเนินการผลประโยชน์ในสยามให้ฝรั่งเศสได้ทุกอย่าง จึงมีการดำเนินการตามแผนที่ฟอลคอนเสนอ


แต่ฝรั่งเศสกลับรีบร้อนหวังผลมากกว่าแผนของฟอลคอน จึงส่งกองทหาร ๖๓๖ นายนำโดยนายพลเดส์ฟาร์ฌส์ (Général Desfarges) มาเรียกร้องขอเมืองบางกอกซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของสยาม รวมถึงเมืองมะริด พร้อมกับได้รับคำสั่งลับมาว่าหากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จให้ "โจมตีป้อมบางกอกและใช้กำลังยึดไว้ให้ได้"

ฝรั่งเศสไม่ได้ประเมินผลที่ตามมาว่าจะก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนไทยส่วนใหญ่ ทำให้ทั้งฝรั่งเศสและฟอลคอนถูกเพ่งเล็งจากผู้ที่เสียผลประโยชน์อย่างมาก ทั้งจากกลุ่มขุนนางที่สูญเสียอิทธิพลทางการเมือง และชาวต่างประเทศเช่นมุสลิมที่เสียผลประโยชน์ทางการค้า รวมถึงพลเมืองทั่วไปที่ไม่พอใจกับการเข้ามาของชาวฝรั่งเศส นอกจากนี้ฝรั่งเศสไม่ได้ประเมินว่าสถานะของฟอลคอนในเมืองไทยไม่ได้มีความมั่นคงอย่างแท้จริงอย่างที่มีการนำเสนอ เพราะอำนาจของเขาขึ้นอยู่กับสมเด็จพระนารายณ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

แผนลับของฟอลคอน ซึ่งอาจได้เค้าโครงมาจากนโยบายทางการเมืองของสมเด็จพระนารายณ์เอง จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งฟอลคอนและสมเด็จพระนารายณ์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางการเมืองมากขึ้น และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่การก่อรัฐประหารยึดอำนาจสมเด็จพระนารายณ์ในเวลาต่อมา ทำให้ฟอลคอนซึ่งเป็นผู้ชักนำฝรั่งเศสมาแทรกแซงทางการเมืองต้องจบชีวิตลง



หลังจากฟอลคอนตายไปแล้ว ฝรั่งเศสกำลังเตรียมการส่งข้าราชการ ทหาร และบุคลากรชุดที่สองนำโดย มาร์กีส์ เดรัญญี (Marquis d'Eragny) ซึ่งถูกส่งมาเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารรักษาพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการดำเนินการตาม "แผน" ที่ฟอลคอนเสนอไป

ในช่วงนั้นฝรั่งเศสได้ยินข่าวว่าสมเด็จพระนารายณ์ส่งพระประชวรหนัก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงมีคำให้ปฏิบัติต่อมาร์กีส์ เดรัญญี ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒) มีประเด็นสำคัญคือ

- พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงทราบว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรหนัก จึงแจ้งเดรีญญีให้ทราบว่า ฟอลคอน "ทำให้พระองค์คาดหวังว่า เขาจะหาทางนำราชอาณาจักรนี้มาถวาย เพื่อให้ทรงใช้พระราชอำนาจปกครองด้วยพระองค์เอง หรือไม่ก็ยกให้กับผู้ที่ปฏิบัติภารกิจตามพระราชโองการได้ดีกว่า" นั่นคือฝรั่งเศสเชื่อใจฟอลคอนถึงขนาดว่าจะยกสยามให้เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสได้

- ถ้าชาวสยามไม่พอใจอิทธิพลของฟอลคอนที่มีต่อสมเด็จพระนารายณ์ และสนับสนุนพระอนุชาที่พระองค์ไม่วางพระทัยให้เป็นใหญ่ ให้นายพลเดส์ฟาร์ฌส์ และ มาร์กีส์ เดรัญญี คุมทหารทุกหน่วยคุ้มครองฟอลคอนให้ปลอดภัย

- ถ้าสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต และเชื่อได้ว่าฟอลคอนไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง ให้เดส์ฟาร์ฌส์คุ้มครองเขาให้พ้นภัย และให้เดรัญญีแจ้งว่า หากเขาทำทุกอย่างตามพระราชประสงค์ ก็จะโปรดให้เขามีตำแหน่งหน้าที่และอำนาจตามเดิม

- ถ้าฟอลคอนเสียชีวิต ให้เดส์ฟาร์ฌส์ยึดครองดินแดนในสยามเท่าที่จะทำได้

- ถ้าฟอลคอนมีอำนาจแล้วคิดเป็นปฏิปักษ์ไม่ปฏิบัติตามพระราชโองการ และแสดงเจตนาร้าย ให้จัดการให้เดส์ฟาร์ฌส์ขึ้นเป็นใหญ่ในตำแหน่งที่ระบุไว้

- ถ้าสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตโดยไม่มีปัญหา และกษัตริย์องค์ให้ยังให้ฟอลคอนมีอำนาจตามเดิม เดรัญญีจะสามารถจัดหาผลประโยชน์ให้ฝรั่งเศสและศาสนาคริสต์ได้โดยสะดวก และให้แจ้งต่อฟอลคอนด้วยว่า "พระองค์ทรงคาดหวังที่จะเห็นเขาแสดงความจงรักภักดีปฏิบัติราชการสนองพระองค์ และแสดงศรัทธากระตือรือร้นต่อศาสนา"

แต่เมื่อข่าวการรัฐประหารในสยามและความตายของฟอลคอนไปถึงฝรั่งเศส การดำเนินการของฝรั่งเศสจึงถูกยุติไป


รายละเอียดอ่านได้จากบทความเรื่อง “แผนลับ” ในการแทรงแซงการปกครองสยามของฟอลคอน ในเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ของผมครับ
https://www.facebook.com/WipakHistory/photos/a.1050804244983045/1732365490160247/?type=3&theater
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่