เมื่อลูกฉันอัณฑะบิดตัวตอนอายุ 13

Normal
0

false
false
false

EN-US
X-NONE
TH

Normal
0

false
false
false

EN-US
X-NONE
TH

สวัสดีชาวเพื่อนๆพันทิปทุกท่าน
คิดว่าทุกคนคงได้ฉลองสงกรานต์กันอย่างเต็มที่
แต่เราต้องไปทำหน้าที่แม่ที่ดีเฝ้าลูกในโรงพยาบาล
น้องเป็นโรคที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนคือภาวะอัณฑะบิดขั้ว เราไม่เคยได้ยินโรคนี้มาก่อน
อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นผู้หญิง ตลอดเวลาที่เลี้ยงลูกมา 13 ปี ก็ไม่เคยพบความผิดปกติใดๆ
น้องเป็นเด็กที่แข็งแรงมากๆ ไม่ค่อยป่วยเลย ตอนที่หมอบอกว่าน้องเป็นเราก็งงๆ อยู่ เราทำการหารายละเอียดโรคจากอินเตอร์เนตได้ตามนี้ค่ะ

ภาวะอัณฑะบิดขั้วคืออะไร
ภาวะอัณฑะบิดขั้วหรืออัณฑะบิดตัวเป็นภาวะฉุกเฉิน
เกิดขึ้นเมื่อหลอดนำอสุจิบิดตัวและไปหยุดการไหลเวียนของเลือดทำให้เกิดอาการปวดฉับพลันและบวม
เมื่อเกิดภาวะอัณฑะบิดขั้วแพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดทันทีเพื่อรักษาลูกอัณฑะไว้
หากปล่อยให้เกิดภาวะนี้นานเกินกว่า 2– 3 ชม. อาจส่งผลให้ลูกอัณฑะเกิดความเสียหายอย่างถาวรและต้องตัดลูกอัณฑะทิ้งไปในที่สุด

องศาของการบิดขั้วสามารถเกิดขึ้นเท่าใดก็ได้ตั้งแต่
180 – 720 องศา และองศาของการบิดนั้นส่งผลต่อเวลาที่ลูกอัณฑะจะเกิดความเสียหายด้วย
โดยปกติแล้วหากผู้ป่วยพบแพทย์ภายใน 4 – 6 ชม.จะสามารถรักษาอัณฑะไว้ได้ถึง
90% หากพบแพทย์ช้าเกินกว่า 12 ชม.อัณฑะจะเสียหายไปถึง
50% และหากพบแพทย์ช้ากว่า 24 ชม.แพทย์จะสามารถรักษาลูกอัณฑะไว้ได้เพียง
10% เท่านั้น

อัณฑะบิดขั้วมีสาเหตุจากอะไร

ถุงอัณฑะเป็นเนื้อเยื่อที่ห่อหุ้มอัณฑะไว้ซึ่งอยู่ส่วนล่างขององคชาต
ภายในถุงอัณฑะนั้นมีอัณฑะ 2 ใบโดยอัณฑะแต่ละใบจะเชื่อมกับอวัยวะภายในร่างกายผ่านเส้นเลือด
เรียกว่า ท่อนำอสุจิ ภาวะอัณฑะบิดขั้วจึงเกิดจากการที่ท่อนำอสุจิเกิดการบิดตัวส่งผลให้เลือดไม่สามารถมารถเดินทางไปยังอัณฑะได้

ผู้ที่มีภาวะนี้ส่วนใหญ่มักเคยมีภาวะการแกว่งไปมาของอัณฑะในถุงอัณฑะ
หรือ bell clapper deformity มาก่อนซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อ โดยปกติแล้วลูกอัณฑะจะติดกันกับถุงอัณฑะทำให้บิดตัวได้ยากมาก
แต่หากคุณเคยมีภาวะ bell clapper deformity เนื้อเยื่อที่ยึดลูกอัณฑะกับถุงอัณฑะอ่อนแอทำให้ลูกอัณฑะเคลื่อนและบิดตัวได้
ภาวะอัณฑะบิดขั้วสามารถเกิดขึ้นได้กับชายทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กชายอายุระหว่าง 12 – 18 ปี ซึ่งอาจเกิดจากการออกกำลังกายอย่างหักโหม เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ หรือหลังจากที่ถุงอัณฑะได้รับบาดเจ็บ
และหลายกรณีไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดภาวะนี้ได้

ภาวะอัณฑะบิดขั้วมีอาการอย่างไร
หากคุณพบว่ามีภาวะนี้เกิดขึ้น
คุณจะสามารถสังเกตพบความผิดปกติ คือ รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงในถุงอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง
คุณอาจรู้สึกเป็นๆ หายๆ แต่จะสังเกตได้ว่าอาการปวดจะไม่หายไปเลยซะทีเดียว
โดยมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ดังนี้
อัณฑะข้างใดข้างหนึ่งมีอาการบวม
คลื่นไส้และอาเจียน
ปวดท้อง
สังเกตพบว่าลูกอัณฑะข้างหนึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าอีกข้าง

อาการของลูกเราเป็นตามนี้ค่ะ
วันที่ 10/4/62 น้องมีอาการปวดท้องตอนตี 3
แต่ไม่เรียกเราเค้าบอกทนได้ จนเช้าเราตื่นลูกเลยบอกว่าปวดท้องด้านขวา
เราก็ตกใจเพราะน้องหน้าซีดมือเย็นก็รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ถึงโรงพยาบาลเกือบ
8 โมงเช้า รอหมดลงตรวจ 9 โมง หมอเจาะเลือดให้น้อง และทำการวินิจฉัยว่าน้องอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
แต่เราเห็นความผิดปกติ คือลูกมีอาการปวดๆ หายๆ ตอนที่หมอกดท้องลูกเราลูกเราก็ไม่ได้ทรมานอะไร
แต่เมื่อหมอวินิจฉัยมาแล้วว่าต้องผ่าตัดเราก็เลยให้เค้าดำเนินการเลยค่ะ เราจะจ่ายเงินเองไม่ขอใช้สิทธิใดๆ
แต่พอดีโรงพยาบาลใกล้บ้านหมอติดผ่าเคสสำคัญอยู่แล้วลูกเรายังพอทนปวดไหว หมอเลยให้ไปที่โรงพยาบาลที่น้องมีสิทธิรักษาอยู่
เราก็รีบขับรถไปอีกโรงพยาบาลนึง เข้าไปห้องฉุกเฉิน
ระหว่างทางน้องก็ไม่ได้ทรมานหรือร้องงอแงอะไร ยังบอกเราว่าทนไหวๆ

ระยะทางจากโรงพยาบาลใกล้บ้านไปโรงพยาบาลที่มีสิทธิรักษาประมาณ
1 ชั่วโมง ไปถึงหมอก็ให้น้ำเกลือ เราก็ไปทำการยื่นเอกสารต่างๆ
ระหว่างนี้น้องก็ยังไม่แสดงอาการกว่าทรมานแต่อย่างใด ยื่นเอกสารเสร็จหมอก็ทำการ x-ray
และให้น้องนอนรอห้องผ่าตัด เราถามลูกตลอดว่าเจ็บตรงไหน
น้องยังบอกเจ็บท้องด้านขวา ลูกเราได้เข้าห้องผ่าตัดตอน 5 โมงเย็น
ผ่าไปได้ชั่วโมงกว่า เรานั่งรอหน้าห้อง จิตใจกระวนกระวาย
คุณหมอก็ออกมาคุยกับเราว่าลูกปวดท้องแค่ด้านขวาใช่ไหม เราบอกใช่ค่ะ
แล้วหมอก็ถามว่าเคยเห็นความผิดปกติอื่นๆ อีกไหม เราบอกไม่ค่ะ

ตอนเกือบ 1 ทุ่มอาจารย์หมอออกมาบอกเราว่า
ไส้ติ่งลูกเราไม่ได้อักเสบจนเป็นหนองและเสี่ยงถึงขั้นอันตราย
แต่ที่หมอเห็นความผิดปกติระหว่างผ่าตัดคือ ลูกอัณฑะด้านขวาใหญ่กว่าปกติ
น่าจะมีอาการอักเสบ มาจากอัณฑะบิดตัว เราตกใจมากเพราะว่าลูกเราไม่เคยบอกว่าเค้าเจ็บปวดตรงนั้น
หมอบอกถ้ามันบิดจนเลือดลงไปเลี้ยงอัณฑะไม่ได้ก็ต้องผ่าเอาออก คืนนี้หมอทำการผ่าไส้ติ่งให้เรียบร้อย
และฉีดยาลดอาการบวมตรงอัณฑะให้
คุณหมอขอประชุมกันก่อนแล้วจะแจ้งเราอีกทีว่าจะต้องตัดอัณฑะด้านขวาออกไหม เราก็เป็นกังวลแต่ภาวนาว่าอย่าให้ลูกเราเป็นอะไรมาก
ลูกออกจากห้องผ่าตัดตอน 1 ทุ่มครึ่ง เราฝากพยาบาลดูแลลูกให้เป็นพิเศษ เพราะมีงานค้างที่ต้องกลับมาทำ
แถมรถดันสตาร์ทไม่ติดเพราะลืมเปิดไฟทิ้งไว้ในรถ
เราพยายามเรียกรถในตึกให้พ่วงแบตเตอรี่ให้ 3 คัน ไม่มีคนจอดให้เลย
นาทีนั้นเรานั่งร้องไห้ข้างรถ สติแตกเลย ตั้งสติได้ก็โทร 191 พี่ตำรวจมาช่วย
ก็เลยได้กลับบ้าน แต่นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงลูก

วันที่ 11/4/62
ตอนเช้าเราต้องเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศก่อน
เพราะใกล้วันหยุดมันมีงานที่ต้องสะสาง เลยให้ญาติที่บ้านเข้าไปดูลูกเราแต่เช้า พอ
10 โมงเช้า คุณหมอโทรมาว่าลูกเราต้องผ่าอัณฑะด้านขวาออกเพราะมันบิดตัวจนเลือดลงไปเลี้ยงลำบากปล่อยเอาไว้อาจจะต้องตัดออกทั้งหมด
เราน้ำตาไหลเลย เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีผลกระทบอะไรกับลูกเราหรือเปล่า
รีบขับรถไปโรงพยาบาล ไปถึงลูกเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว เกือบบ่ายโมงคุณหมอก็ออกมาคุยว่าการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี
เราเลยถามว่าผลกระทบมีอะไรบ้าง เค้าจะใช้งานได้ไหมสิ่งนี้เราห่วงมาก
เพราะเข้าใจว่าอวัยวะนี้คือหัวใจดวงที่สองของผู้ชาย คุณหมอก็อธิบายว่าการทำงานคือทำได้ปกติ
แต่แค่จะผลิตอสุจิได้น้อยลง หรืออาจจะมีลูกยาก ไม่เกี่ยวกับการแข็งตัว และไม่เบี่ยงเบนทางเพศ
ขอแค่ให้เราดูแลสุขภาพลูกให้ดีเด็กจะฟื้นตัวเร็ว เด็กวัยนี้เป็นกันเยอะ
คุณหมอทำการผูกอัณฑะด้านซ้ายให้เรียบร้อย เพื่อปัองกันการบิดตัวอีก
ลูกเราฟื้นตอนช่วงเย็นๆ มีสายน้ำเกลือและต่อท่อปัสสะวะ เค้าบอกว่าเจ็บแต่ทนได้

วันที่ 12/4/62 คุณหมอลงมาตรวจ เค้าถามลูกเราว่าไม่เคยมีอาการปวดตรงอัณฑะเลยเหรอ
ลูกเราบอกไม่ครับ หมอบอกหนูมีความอดทนสูงมาก
การที่มันบิดตัวขนาดนี้ผู้ใหญ่บางคนยังทนไม่ได้เลย
มันน่าจะเหมือนมีใครเอามือมาบีบอยู่ตลอดเวลา เค้าก็หัวเราะ ช่วงบ่ายพยาบาลก็มาถอดสายฉี่ออก
ตอนเข้าห้องน้ำเราก็ต้องประคองลูกไปเพราะผ่าตัดสองที่ สำหรับเด็กอายุแค่ 13
ก็ค่อนข้างเยอะสำหรับเรา วันนี้เค้าตื่นมาแล้วบอกว่าหิวแต่คุณหมอยังไม่ให้ทานอะไร

วันรุ่งขึ้นคุณหมอก็เริ่มให้ทานอาหารได้เริ่มจากมื้อเที่ยง
ลูกเราหิวมากแต่กินได้ไม่เยอะ กินได้แต่อาหารอ่อนๆ อยู่โรงพยาบาลต่ออีก 2
วันก็กลับบ้านได้ แต่น้องยังเดินหลังตรงไม่ได้ ยืนมากไม่ได้จะเจ็บแผล
ตอนนี้เราก็ดูแลอย่างใกล้ชิด

สำหรับเราสาเหตุที่น้องเป็นอาจจะเพราะว่าเค้ามีขนาดอวัยวะเพศและอัณฑะค่อนข้างใหญ่
และน้องชอบนอน หรือนั่งไขว่ห้างตลอดเวลา คือบ่อยมากๆ
และอาจจะมาจากการช่วยตัวเองไม่ถูกวิธี นี่คือสิ่งที่เราสันนิษฐานเอง
ตอนนี้ก็ต้องดูแลกันใกล้ชิด ฝากแม่ๆ ที่มีลูกชายช่างสังเกตกันสักนิด
ขนาดเราคุยกับลูกทุกเรื่อง ไม่มีปิด อยู่ด้วยกันตลอดเรายังพลาดได้
โรคภัยห้ามไม่ได้จริงๆ ค่ะ สุดท้ายนี้ขอให้ลูกๆ ของทุกท่านแข็งแรงปลอดโรคภัยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่