รีวิวขอวีซ่า F-1 ฉบับฉับไวสัมภาษณ์ผ่านใน 3 นาที 5555

สวัสดีค่ะห่างหายจากการตั้งกระทู้ไปนานนะคะเอาแต่อ่านเก็บข้อมูลอย่างเดียวเพราะช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเอาแต่ซุ่มเก็บตัวสอบไปเรียนต่อกับทำงานค่ะ ช่วงนี้หลังจากอะไรหลายๆอย่างลงตัวและเริ่มมีเวลาว่างแล้วเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์สำหรับใครหลายๆคนที่สนใจไปเรียนต่อที่อเมริกาค่ะ

ขอท้าวความเกี่ยวกับตัวเราเองนิดนึงค่ะ เราเรียนจบตรีที่ไทยมาได้ประมาณสามปีแล้วค่ะ ตอนที่เรียนจบใหม่ๆได้ offer งานเป็นที่เรียบร้อยแต่ติดปัญหาแค่ว่าระยะเวลาระหว่างเรียนจบกับเริ่มงานมันห่างกันครึ่งปีเราเลยหนีไปเที่ยวเล่นหลายๆที่ รวมทั้งไปอเมริกานาน 4 เดือนแบบเที่ยวหมดฝั่ง west coast จนมีอะไรหลายๆอย่างทำให้เรารู้สึกว่าเออเราอยากมาเรียนมาลองใช้ชีวิตที่นี่ดูบ้างหลังจากวนเวียนอยู่ในแถบเอเชียมาตลอดตั้งแต่เด็ก อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจเรียนต่อโทของเราที่อเมริกาค่ะ ระหว่างสามปีที่ทำงานก็ซุ่มเก็บข้อมูล เลือกมหาลัย เตรียมตัวสอบต่างๆนานา GMAT TOEFL IELTS อะไรที่ต้องใช้ก็ลุยสอบๆ กิจกรรม extra curriculum ก็ทำไปเรื่อยๆสร้าง profile เพื่อขอทุนด้วย (เพราะค่าเรียนแพงมากจ้าาาาา) ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ จนในที่สุดเมื่อเดือนมีนาที่ผ่านมาในที่สุดเราก็ได้ offer จากมหาลัยเอกชนแห่งหนึ่งใน California (มหาลัยที่มีชื่อพอสมควรในสาขาที่เราเลือกเรียนค่ะ) ก็เลย Process เอกสารตามขั้นตอนต่างๆจนในที่สุดก็มาถึงการขอวีซ่าจ้า ซึ่งตอนแรกเราไม่ได้คิดอะไรเลยคิดว่าแค่ไปยื่นเอกสารที่สถานฑูตยังไงก็ได้วีซ่า 100% อยู่แล้วเพราะว่าเราจะไปเรียนและเอกสารยืนยันต่างๆจากมหาลัยก็มาถึงมือเราแล้วก็เลยชิวยาวไปจนช่วงที่จะเริ่มกรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าเปิด Pantip หาวิธีกรอกกับเตรียมเอกสารเท่านั้นแหละจิตตกทันทีเพราะเห็นคนตั้งกระทู้โดน reject วีซ่า f-1 เยอะมากกกกกกกกก อีนี่ก็นั่งจิตตกอ่านไปทุกกระทู้ก็เริ่มหลอนกลัวไปหมด แต่พอเอาเข้าจริงแล้วไม่มีไรเลยจ้า สัมภาษณ์จริงแค่สามนาทีถามเรามาแค่ 3 คำถาม (จริงๆไม่ได้ล้อเล่น) เท่านั้นก็ผ่านเลย วันนี้เลยอยากจะมาแชร์เทคนิคให้คนที่กำลังเตรียมตัวขอ Visa F-1 นะคะ อยากบอกว่ามันของ่ายมากถ้าเราเตรียมตัวมาดีไม่จำเป็นต้องใช้ Agents หรือคนอื่นมาช่วยค่า 

อันดับแรกสำคัญมากๆคือฟอร์ม DS-160 ค่ะ อันนี้ขอให้กรอกเองจะดีที่สุดและพยายามกรอกทุกอย่างตามความเป็นจริงอย่าใส่มั่วค่ะ เพราะเราว่า DS-160 มีผลมากว่าเราจะผ่านมั้ย ถ้าเรากรอกมั่วหรือโกหกตรงไหนที่มันไม่สอดคล้องกับตอนสัมภาษณ์อาจจะทำให้เราดูมีพิรุธและตกสัมภาษณ์ได้ง่ายๆ วิธีกรอกลองหาดูในพันทิปมีวิธีอย่างละเอียดค่ะ ตอนกรอกตั้งใจทำนะเพราะถ้ากรอกผิดแล้ว confirm ไปแล้วมันแก้ไม่ได้ค่ะต้องกรอกฟอร์มใหม่อย่างเดียว ตอนเรากรอกก็แอบลังเลว่าจะบอกเค้าดีมั้ยว่ามีญาติอยู่ที่อเมริกา เพราะตอนหลายปีก่อนที่ขอวีซ่าท่องเที่ยวใส่ไปว่าไม่มี (เพราะตอนนั้นไม่ได้ติดต่อและไม่สนิท) กลัวว่าเค้าจะเช็คมั้ยแต่สุดท้ายก็กรอกตามจริงค่ะ ขอให้เรามีเหตุผล Support ที่มันฟังขึ้นก็พอ
* แอบแถมเรื่องรูปถ่ายนิดนะคะ ถ้าไปดูในเว็บ official ของกงศุลอเมริกาคือรูปสี่เหลี่ยม 2*2 นิ้ว พื้นขาว เห็นใบหู ไม่แต่งรูปใดๆ ตอนเราไปถ่ายก็ไปจัดมาจากร้านแถวบ้านแบบอัดรูปด้วยเครื่องปริ้นแบบบ้านๆอ่ะ แล้วหน้าเราจะออกมืดๆนิดนึง พื้นหลังก็จะเห็นเงาๆหน่อยไม่ขาวจั๊วะ ตอนไปเช็คเอกสารเจ้าหน้าที่คนไทยเกือบให้เราไม่ผ่านต้องไปถ่ายใหม่ อีนี่ก็แบบเอ้าก็มันบอกไม่ให้แต่งรูปไงเลยมาแบบดิบๆหน้าดำผมยังฟูอยู่เลย เจ้าหน้าที่เลยโชว์รูปที่โอเคขึ้นมาให้ดูซึ่งเป็นแบบแต่งพื้นหลังแล้ว หน้าสว่างปรับแสงมาละ เห็นว่ายังไงก็แต่งรูปอ่ะ นี่เลยนอยๆนิดนึงเพราะตัวอย่างในเว็บมันก็ไม่ได้เนี้ยบขนาดนั้นลองดูได้ค่ะ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ไม่ต้องไปถ่ายใหม่นะ https://travel.state.gov/content/travel/en/us-visas/visa-information-resources/photos/photo-examples.html

อย่างที่สองเรื่องนัดวันสัมภาษณ์อันนี้แนะนำอย่าขี้เกียจแบบเรานะเลือกรอบเช้าๆไปเลย เพราะเวลาเค้าเรียกเข้ามันเลทนิดหน่อยอยู่แล้ว เราเป็นสายขี้เกียจตื่นเช้าเลยเลือกรอบ 8.50 ไปเพราะคิดว่ามันจะได้ตรงตามเวลาเป๊ะๆ แต่ปรากฎว่าวันที่เราไปคนเยอะมากมันเลยเลทมาเรื่อยๆเพราะเค้าจะเรียกเข้าไปต่อแถวเป็นรอบๆไล่จาก 8.00 8.10 8.20 บลาๆ เราไปถึงสถานฑูต 8.30 แต่กว่าจะได้สัมภาษณ์จริงคือ 11.30 (รอนานจนเบื่อเพราะโดนยึดมือถือด้วย นี่ก็นั่งนับใบไม้ใบหญ้าไปเรื่อย ฮื่ออออ) ในขณะที่บางคนมาต่อแถวพร้อมๆเราแต่นัดรอบเร็วกว่าคือเสร็จก่อนไปแล้วจ้านี่ก็รอไป
* สำหรับใครที่จะมาคือไม่ต้องกังวลมาล่วงหน้าเป็นชั่วโมงก็ได้นะคะสุดท้ายก็ต้องรอ แนะนำให้มาก่อน 15 นาทีพอ เพราะถึงเข้าสายเพราะอยู่ตรง Security gate สุดท้ายเค้าก็เรียกเข้าไปตามคิวอยู่ดี (ex. เรียกเวลานัด 8.30 และก่อนหน้าเข้าไปรอด้านใน) บางทีอาจจะได้เข้าเลยไม่ต้องมารอด้านนอกนานๆ

ต่อมาจ้าก่อนวันสัมภาษณ์ที่สำคัญคือการเตรียมเอกสารประกอบการสัมภาษณ์ หลักๆเลยที่ต้องมีคือ
1. Passport เล่มปัจจุบัน (มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือนนับจากวันที่คาดว่าจะเดินทางไปถึงอเมริกา)
2. ใบนัดสัมภาษณ์
3. DS-160 confirmation (อันที่มีบาร์โค้ด)
4. I-20 ที่ทางโรงเรียนออกให้ (มีหลายหน้าอ่านดีๆแล้วเซ็นให้ครบค่ะ)
5. ใบเสร็จ I-901 SEVIS fee (ต้องไปจ่ายแยกเองแล้วปรินท์ใบยืนยัน)
6. Proof of financial support (เช่น Bank statement, Sponsorship letter ถ้ามีคนอื่นจ่ายค่าเทอม)
7. รูปถ่าย 2*2 นิ้ว 1 ใบ
อันอื่นที่เอาไปเผื่อๆเพื่อความอุ่นใจเช่น
1. ปริญญาบัตรและ transcript (เห็นบางคนไม่ผ่านเพราะไม่ได้เอาไป)
2. Official school offer เพราะของเรามันมีทุนระบุอยู่เลยเผื่อไป
3. Payroll slip หรือหนังสือรับรองการทำงานเพราะเคสเราลาออกก่อนไปขอวีซ่า
4. Passport เล่มเก่าๆที่ยังมีเพื่อแสดงแสงยานุภาพในการเที่ยวนอกของเรา 
เอกสารที่เราเตรียมไปทั้งหมดมีเท่านี้ค่ะ ซึ่ง!!วันสัมภาษณ์จริงเราไม่ถูกขอดูอะไรเลย กุแบบเอิ่มมมมถามกุหน่อยมั้ยกุรอมานานอยากคุยด้วย

ที่สำคัญอีกเรื่องคือการเตรียมตัวตอบคำถามซึ่งทางสถานฑูตได้ระบุไว้ชัดเจนว่า "Be prepared to speak about your plans while in the U.S. and after you return to Thailand" คือให้แอบทำการบ้านนิดนึงเพราะควรตอบเป็นภาษาอังกฤษค่ะเพื่อ first impression ที่ดี่ เขียนแล้วท่องเลยก็ได้ว่าเราจะไปเรียนอะไร เวลานานเท่าไหร่ แล้วมีแพลนที่จะกลับไทยแน่นอน จะโม้เล็กน้อยว่าต้องมาสืบทอดกิจการเจ้าคุณปู่อะไรก็ว่าไป แต่พยายามอย่าโชว์อินเนอร์ว่าแบบ โอ้ยยยยยไอเนี่ยจะไปเรียนแล้วก็จะไปหางานที่โน่นเลย หรือไม่ก็หาเรื่องเรียนต่ออยู่ต่อนานๆ จากใจคือเตรียมคำถามทุกอย่างในแนวที่ว่าจะไปเรียนอย่างเดียวไม่ได้คิดจะแอบไปโดดร่มหรือทำงานรับเงินใต้โต๊ะที่โน่น เรียนเสร็จก็จะกลับบ้านช้านรักเมืองไทย ขอให้ตอบในแนวนี้เพราะมีข้อกำหนดนึงเขียนเลยว่า “Every alien shall be presumed to be an immigrant until he establishes to the satisfaction of the consular officer, at the time of application for admission, that he is entitled to a nonimmigrant status…” หรือต้องโชว์ "Showing Ties to Home Country"
แล้วก็พยายามเลี่ยงๆพูดเรื่องเงินๆก็ดีค่ะอย่าให้เค้ารู้ว่าเราร้อนเงิน 555 ถ้าโดนถามให้ตอบในแนวว่ามีพร้อมจ้านั่งเรียนนอนเรียนเป็นปีก็ยังเหลือ (อันนี้แอบสำคัญในการเตรียมเงินในบัญชีให้พอกับค่าเรียน ค่ากินอยู่ ซึ่งปกติทางมหาลัยจะประมาณให้เราไว้แล้ว ไม่ต้องต่อรองกับเค้านะคะเพราะทางมหาลัยเค้าไม่ได้อะไรกับเราแต่วีซ่าของเราจะไม่ผ่านแทน)

ถัดมา Tips เล็กๆน้อยๆในวันสัมภาษณ์นะคะ ก่อนอื่นคือพยายามไปก่อนไม่ต้องเร็วมากซัก 15 นาทีพออย่างที่บอกไปข้างต้น ด่านแรกที่จะเจอคือ Security check ซึ่งเค้าจะขอดูใบนัดเราว่ามาตรงวันตรงรอบมั้ย แล้วก็ทำการฝากของซึ่งต้องใช้บัตรประชาชนแลกอย่าลืมพกจ้า ซึ่งเอาจริงตอนฝากของเค้ารับฝากแค่มือถืออ่ะ ถ้าเป็นกระเป๋าสะพายกระเป๋าถือขนาดผู้หญิงถือก็เอาเข้าได้นะ เราถือถุงกระดาษขนาดกลางๆไปก็เอาเข้าได้ แต่ถ้าเป็นเป้ใหญ่ๆเหมือนเค้าจะไม่รับฝากเพราะที่ฝากจริงๆมันมีน้อยมากต้องวุ่นวายไปฝากที่อื่นซึ่งแพงโคตร พวก Laptop Power bank สายชาร์จ ขวดน้ำ แก้วน้ำอะไรก็ไม่ต้องพกมาเพราะเค้าไม่ให้เอาเข้าทิ้งหมด ณ จุดนั้น เอาดีๆคือพกมาแค่ตัวกับเอกสารพอ
ด่านแรกก็รอไม่นานมากประมาณ 15 นาทีได้ แต่พอผ่านเข้าไปในสถานฑูตแหละจ้าลมแทบจับ คนเยอะมากกกกกกกโดยเฉพาะนักศึกษานี่เกินครึ่ง เยอะกว่ารอบที่มาขอวีซ่าท่องเที่ยว 20 เท่า (เอาจริงๆ) อาจจะเป็นช่วงก่อนหยุดสงกรานต์ด้วย และแอบเดาว่าเด็กๆนักศึกษาเหมือนไป work น่าจะมาพร้อมๆกันจาก agent จัดให้ (จากการแอบส่องเอกสารและแอบฟังเด็กคุยกัน 555) อย่างที่บอกไปว่าอีนี่ขี้เกียจจองรอบเช้าวันนั้นคือรอนานมากๆรอด้านนอกที่เป็นริมสระน้ำด้วยนะไม่ได้รอในห้องแอร์ รอแบบลืมวันลืมคืนมาก ใครขี้ร้อนพกยาดมยาหม่องมาด้วยก็ดี 555
ตอนเรียกรอบ 8.50 ประมาณ 11 โมงนี่ก็อืดอาดวิ่งไปต่อคิวห้องเช็คเอกสารช้าโดนไปคนสุดท้ายจ้ะแม่จ๋า ตอนนี้จะได้สติกเกอร์ติดที่หน้า passport จะมีเลข EMS อยู่ด้วยให้จดไว้เพราะจะได้เช็ค tracking ได้ (หากวีซ่าผ่าน) จากนั้นเราก็จะได้ทยอยเข้าห้องแอร์ซึ่งก็ยังต้องต่อแถวอยู่ดี 555 ก็ไม่มีทางเลือกรอไปเบื่อๆชวนคนอื่นคุยบ้างเพราะไม่มีมือถือเล่น
หลังจากต่อคิวซักพักด่านแรกจะเป็นเจ้าหน้าที่คนไทยมาตรวจเอกสารของเราซึ่งถ้าเราเตรียมตัวดีก็จะไม่ติดอะไร แต่ถ้าหากติดเรื่องรูปแบบเราก็ไม่ต้องกลัวมีตู้ถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นราคา 150 บาทแบบไม่มีทอนตัง (ผีมาก) โชคดีที่เรารอดตัวไปได้แต่รูปในวีซ่าอาจจะไม่สวยหน้ามืดๆ 
พอผ่านมาได้ก็ต้องต่อคิวต่อ(อีกแล้ว) ด่านนี้จะเป็นเจ้าหน้าที่ต่างชาติซึ่งจะสัมภาษณ์เรา อารมณ์แบบตู้กระจกเป็นคอกๆให้เรายืนตอบด้านนอก วันที่เราไปมีเจ้าหน้าที่อยู่ 4-5 คนได้ นี่รอไปก็แอบดูคนอื่นไปด้วย มีผ่านบ้างตกบ้างบางคนโดนถามนี่เราได้ยินแบบโหดมาก เป็นกุจะตอบไงวะนี่ก็ตื่นเต้นหัวใจจะวาย พอถึงคิวเราได้สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ผู้ชายหน้าตา Asian ดูขรึมๆนิด บทสนทนาอันของเราคือจะได้แม่นมากเพราะมันสั้น 555
เรา: Good morning sir (ยิ้มหวานนนนนนนน)
เจ้าหน้าที่: Good morning. Can I see you passport?
เราก็ยืนไปพร้อมเอกสารที่โดนพับๆไว้
เจ้าหน้าที่: So you're going to study at xxx university?
เรา: Yes for my master degree
เจ้าหน้าที่: Do you know how much the tuition fee cost?
เรา: About $60,000 (พยายามจะพูดต่อแต่เหมือนเค้าพิมพ์ๆไม่ฟังเลยจบแค่นั้น)
เจ้าหน้าที่: Who will pay for your school?
เรา: My parents will support me.
เจ้าหน้าที่: What's their jobs?
เรา: My dad is a secretary of CEO at a local company and my mom is a housewife.
(เงียบและพิมพ์ๆซักพักนึง กุเริ่มเครียดจ้า)
เจ้าหน้าที่: So your dad is kinda executive of the company?
เรา: Yes, he has been working there for almost 30 years. He got this position since the company has becomed listed co. (พยายามจะพูดต่อแต่เค้าไม่สบตาแล้วพิมพ์อย่างเดียวเลยเงียบไป) 
เจ้าหน้าที่: Ok we will send the passport back to you soon.
เรา: Thank you so much
แล้วเราก็เดินออกไปแบบงงๆเพราะมันเร็วมากเอกสารยังไม่ได้หยิบอะไรให้ดูซักใบเลย สุดท้ายก็ออกมาแบบงงๆเออนี่เรียบร้อยแล้วป่ะ? 555

สุดท้ายอยากบอกว่าการเลือกที่ๆเราจะไปเรียนก็มีส่วนสำคัญ หลายๆคนที่ไม่ผ่านอาจจะเป็นเพราะสถาบันที่ไปไม่น่าเชื่อถือพอไม่ว่าจะไปเรียนภาษาหรือปริญญาก็ตาม อยากจะแนะนำให้คนที่กำลังสนใจว่าหากจะไปเรียนจริงๆลงทุนเลือกที่ๆดีมีมาตรฐานหน่อยเพราะมันจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณเองด้วย และพยายามเตรียม study plan ไปให้ดี สำหรับใครหลายๆคนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์วีซ่าขอให้ทุกคนทำใจให้สบายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหากเราทำการบ้านไปดี และขอให้ทุกคนสมปรารถนาค่า
เพี้ยนเฮงเฮง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่