สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน ผมชื่อมาร์ทนะครับ ขอออกตัวก่อนเลยว่า นี่เป็นกระทู้แรกในชีวิตครับที่
จะมารีวิวเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อาจจะเขียนวนไปวนมาบ้าง ขออภัยด้วยนะครับ ฮ่าๆๆ
แต่หลายคนคงสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมหันมาดูแลตัวเองใช่ไหมครับ เชิญอ่านต่อเลยครับ
ที่มาของการดูแลตัวเอง :
หลังจากผมเข้ารับราชการทหารเป้นเวลา 6 เดือน สภาพภายนอกผมคือเรียกได้ว่า เหมือนผ่านสงครามมาเลยครับ
(มีภาพประกอบเพื่อการตัดสินใจ ฮ่าๆๆ) ผมรู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะตอนนั้นคือ
ทั้งดำ สิวอุดตัน สิวผด ทุกสิวมาหมด หน้าโทรม รอยแผลเป็นทั้งดำ และแดง คือเรียกได้ว่า รับตัวเองไม่ได้

ช่วงศึกษาหาข้อมูล :
ตัวผมเองหลังจากออกจากกรมฯมา ก็เริ่มศึกษาจริงจัง เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ทั้งคลินิคที่จะรักษา รวมไปถึง skin care
ที่จะใช้ ว่าจะเป็นตัวไหนบ้าง และใช้อย่างไรทำให้ช่วงนั้น ค่อนข้างอินกับการดูแลตัวเอง และพร้อมจะทำตามในทุกๆคำแนะนำ
โดยผมหาข้อมูลทั้งจาก Pantip เอง หรือแม้แต่ Blogger ต่างๆใน Youtube นี่แหละครับ

จุดเปลี่ยน :
หลังกจากออกมา สิวก็หนักขึ้น อาการแย่ขึ้นมากๆ เครียดมานานมากก จึงตัดสินใจทำการรักษากับคลินิคนึง
(ขอไม่บอกชื่อนะครับ inbox มาได้ครับ) ผมโชคดีมากๆๆๆๆๆๆ ที่เจอคุณหมอที่ดี ไม่ยัดเยียดคอร์ส ไม่ขายเลเซอร์
คือทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไป แต่ตรงนี้ต้องบอกเลยว่า ใช้ความอดทนมากๆๆๆๆๆๆ เช่นกัน เพราะต้องเคร่งครัด
กับสิ่งที่หมอห้าม และคำแนะนำของหมอในทุกๆอย่าง
1. หยุดทุกอย่างที่ใช้อยู่ให้อยู่แต่ยาที่แพทย์จ่ายให้เท่านั้น
2. ยาสระผมก็ต้องใช้ของเด็ก เพราะอ่อนโยนมาก และเพื่อลดอาการแพ้
3. ยากินผมเริ่มกินแค่ช่วงแรกๆ พออาการดีขึ้นหมอก็ให้หยุดครับ
4. ผมไม่เคยทำเลเซอร์ใดๆทั้งสิ้นครับ (มันแพง! ฮ่าๆๆๆ)
**เรียกได้ว่าต้องใจเย็นมากกกกับการรักษาช่วงนี้ แต่ด้วยความหวังว่าวันนึงมันต้องหาย ผมยอมสู้ดูสักตั้งครับ
สกินแคร์หลังจากการรักษา :
ตรงนี้ต้องขอบอกว่า จริงๆ ผมแอบดื้อนิดนึง เพราะหลังจากรักษาได้ประมาณ 2-3 เดือน ผลมันก็ดีมากกก
แบบไม่คิดเลยว่ามันจะหายเลยแอบหมอค่อยๆลองใช้ skincare ทีละตัวๆ ที่คิดว่ามันจะช่วยกู้ผิวเราต่อไป
แล้วคอยมาหาหมอแค่ตอนที่มันวิกฤตจริงๆ โดยตัวที่ผมใช้มีตามด้านล่างนี้เลยครับ

ผมจะไล่ตาม steps ที่ใช้จริงเลยนะครับ (ขอไม่ลงราคานะครับ เนื่องจากแต่ละที่ราคาไม่เท่ากัน)
Step 1 – Cleanser
สำหรับโฟมล้างหน้าที่ผมใช้หลังจากที่เปลียน่จากของหมอ คือมาใช้ Kiehl’s Calendula Deep Cleansing Foaming Wash
ซึ่งตัวนี้ผมไปเจอมาว่ามันอ่อนโยน ธรรมชาติ และไม่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอร์ครับ

ข้อดี : ใช้แล้วรุ้สึกสะอาด ไม่แพ้ อ่อนโยน และไม่ทำให้ผิวแห้งตึงด้วย ยังคงความชุ่มชื้นไว้ ดีมากๆ (ตัวนี้ยังใช้ถึงปัจจุบันเลยครับ)
ข้อเสีย : ราคาแอบสูง แต่ถ้าเทียบกับปริมาณแล้วถือว่าคุ้มมาก
Step 2 – Toner
สำหรับโทนเนอร์ มันเป็น step ที่คนชอบคิดว่าไม่สำคัญ จริงๆแล้วมันสำคัญมากกกกกกก!! เพราะมันจะช่วยปรับสภาพผิว
หลังจากที่เราล้างหน้ามาให้หน้าพร้อมที่จะรับการดูแลมากขึ้น และประสิทธิภาพที่จะลงขั้นตอนต่อไปดีมากขึ้น ขาดไม่ได้จริงๆครับ
ตัวที่ผมใช้คือ Origins - Mega Mushroom Skin Relief Soothing Face Lotion หรือน้ำเห็ดตัวดังนี่เอง

ข้อดี : อ่อนโยนมากกกก และทุกครั้งที่ใช้จะรู้สึกได้เลยว่าปลอบประโลมผิวได้ดี รอยแดง หรือสิวที่กำลังจะขึ้น
จะไม่ระเบิดขึ้นมาแบบรุนแรง และกลิ่นดีมากกกกๆๆๆๆ
ข้อเสีย : แพงครับ ยิ่งใช้กับสำลี คือเปลืองมาก (ใช้ได้สองแบบ จะใช้สำลีหรือเทใส่ฝ่ามือแล้วตบๆก็ได้ครับ)
Step 3 – Essence
ทุกคนจะรู้จักกันในคำคุ้นหูว่าน้ำตบ ซึ่งจริงๆ ตอนนี้มีหลายแบรนด์มากที่ทำตัวนี้ แต่ตัวที่ผมใช้ช่วงที่กำลังรักษาคือ
TONY MOLY Galactomyces Lite Essence 96.5% (คนส่วนใหญ่จะเรียกว่า SK II เสิ่นเจินครับ ฮ่าๆๆ เนื่องจากส่วนผสมและคำเคลม)

ข้อดี : ชุ่มชื้นมาก แต่หน้าไม่มันเพิ่มเลยลดรอยดำได้ดีมากๆ และราคาไม่แพง
ข้อเสีย : ใสเหมือนน้ำเปล่าเลย แอบรู้สึกว่ากำลังใช้น้ำเปล่าอยู่ ฮ่าๆๆ
Step 4 – Serum
สำหรับขั้นตอนนี้ ผมคาดว่าเป็นขั้นตอนที่ช่วยมากกกที่สุด และเห็นความแตกต่างสุดๆเลย เพราะว่า Serum
เป็นสกินแคร์ที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งตัวนี้ตอบโจทย์ได้ดีมาก นั่นคือ Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum
สุดรักเลยครับ (ผมใช้มา 2 ขวดแล้ว ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ ANR ครับอยากลองเห็นเค้าว่ามันดี)

ข้อดี : ผิวแข็งแรงขึ้นมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก สิวขึ้นน้อยลงมากๆ แทบไม่ขึ้นเลยและชุ่มชื้นผิวมากครับ
ข้อเสีย : ค่อนข้างเหนอะหนะ ช่วงแรกผมใช้เช้าและกลางคืน แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นแค่กลางคืนครับ ราคาถือว่าคุ้มครับ
Step 5 – Moisturizer
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนนอนที่สำคัญเหมือนกันคือ Moisturizer ครับ ซึ่งตัวนี้จะทำการล็อคให้ความชุ่มชื้นอยู่บนหน้าเราจนถึงเช้า
การที่หน้าเราชุ่มชื้น หน้าเราก็จะสมดุล และไม่แห้ง พอหน้าไม่แห้ง หน้าก็จะไม่ผลิตน้ำมันเพิ่ม พอไม่มีน้ำมันเพิ่ม สิวก็จะไม่เพิ่มครับ!
โดยตัวที่ผมใช้คือ Belif - The True Cream Aqua Bomb

ข้อดี : ชุ่มชื้นมากกกกกกกกกกกกกกกก และไม่มันเลย สิวไม่ขึ้น ไม่แพ้ บางเบา โคตรรรรรรรดี ให้เลย 10 ดาว
ข้อเสีย : หาซื้อยากมากครับ ต้อง pre-order จากเกาหลี
และนี่คือความเปลี่ยนแปลงจากวันนั้น ถึง ช่วงที่ดีขึ้น (มันยังไม่ได้ดีที่สุดครับ เราต้องค่อยๆพัฒนากันไป 😊
สำหรับทุกขั้นตอนผมใช้เองจริงๆทั้งหมด และไม่มีการว่าจ้างใดๆเลยครับ ถ้าใครสนใจอยากดูเพิ่มเติม ตามไปดูช่อง Youtube
ของผมได้เลยนะครับ ในนั้นจะมีการดูแลตัวเอง และ อัพเดทสกินแคร์อยู่เรื่อยๆเลยครับ
v
v
v
https://bit.ly/2uVGA5l
**ใครมีคำถาม หรืออยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร พิมพ์ทิ้งไว้ได้เลย หรือจะ Comment ใน Youtube ได้เลยครับ
ผมตอบทุก Comments เองหมดครับ วันนี้ผมขอตัวไปก่อนครับ
แต่อย่าลืมครับ “สิวเป็นได้ ก็หายได้ครับ” 😊
[CR] (รีวิว) กู้หน้าพังจากการฝึกทหาร ภายในเวลา 6 เดือน อย่างกับปาฏิหารย์!
จะมารีวิวเกี่ยวกับการดูแลตัวเองในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อาจจะเขียนวนไปวนมาบ้าง ขออภัยด้วยนะครับ ฮ่าๆๆ
แต่หลายคนคงสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมหันมาดูแลตัวเองใช่ไหมครับ เชิญอ่านต่อเลยครับ
ที่มาของการดูแลตัวเอง :
หลังจากผมเข้ารับราชการทหารเป้นเวลา 6 เดือน สภาพภายนอกผมคือเรียกได้ว่า เหมือนผ่านสงครามมาเลยครับ
(มีภาพประกอบเพื่อการตัดสินใจ ฮ่าๆๆ) ผมรู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะตอนนั้นคือ
ทั้งดำ สิวอุดตัน สิวผด ทุกสิวมาหมด หน้าโทรม รอยแผลเป็นทั้งดำ และแดง คือเรียกได้ว่า รับตัวเองไม่ได้
ช่วงศึกษาหาข้อมูล :
ตัวผมเองหลังจากออกจากกรมฯมา ก็เริ่มศึกษาจริงจัง เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ทั้งคลินิคที่จะรักษา รวมไปถึง skin care
ที่จะใช้ ว่าจะเป็นตัวไหนบ้าง และใช้อย่างไรทำให้ช่วงนั้น ค่อนข้างอินกับการดูแลตัวเอง และพร้อมจะทำตามในทุกๆคำแนะนำ
โดยผมหาข้อมูลทั้งจาก Pantip เอง หรือแม้แต่ Blogger ต่างๆใน Youtube นี่แหละครับ
จุดเปลี่ยน :
หลังกจากออกมา สิวก็หนักขึ้น อาการแย่ขึ้นมากๆ เครียดมานานมากก จึงตัดสินใจทำการรักษากับคลินิคนึง
(ขอไม่บอกชื่อนะครับ inbox มาได้ครับ) ผมโชคดีมากๆๆๆๆๆๆ ที่เจอคุณหมอที่ดี ไม่ยัดเยียดคอร์ส ไม่ขายเลเซอร์
คือทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไป แต่ตรงนี้ต้องบอกเลยว่า ใช้ความอดทนมากๆๆๆๆๆๆ เช่นกัน เพราะต้องเคร่งครัด
กับสิ่งที่หมอห้าม และคำแนะนำของหมอในทุกๆอย่าง
1. หยุดทุกอย่างที่ใช้อยู่ให้อยู่แต่ยาที่แพทย์จ่ายให้เท่านั้น
2. ยาสระผมก็ต้องใช้ของเด็ก เพราะอ่อนโยนมาก และเพื่อลดอาการแพ้
3. ยากินผมเริ่มกินแค่ช่วงแรกๆ พออาการดีขึ้นหมอก็ให้หยุดครับ
4. ผมไม่เคยทำเลเซอร์ใดๆทั้งสิ้นครับ (มันแพง! ฮ่าๆๆๆ)
**เรียกได้ว่าต้องใจเย็นมากกกกับการรักษาช่วงนี้ แต่ด้วยความหวังว่าวันนึงมันต้องหาย ผมยอมสู้ดูสักตั้งครับ
สกินแคร์หลังจากการรักษา :
ตรงนี้ต้องขอบอกว่า จริงๆ ผมแอบดื้อนิดนึง เพราะหลังจากรักษาได้ประมาณ 2-3 เดือน ผลมันก็ดีมากกก
แบบไม่คิดเลยว่ามันจะหายเลยแอบหมอค่อยๆลองใช้ skincare ทีละตัวๆ ที่คิดว่ามันจะช่วยกู้ผิวเราต่อไป
แล้วคอยมาหาหมอแค่ตอนที่มันวิกฤตจริงๆ โดยตัวที่ผมใช้มีตามด้านล่างนี้เลยครับ
ผมจะไล่ตาม steps ที่ใช้จริงเลยนะครับ (ขอไม่ลงราคานะครับ เนื่องจากแต่ละที่ราคาไม่เท่ากัน)
Step 1 – Cleanser
สำหรับโฟมล้างหน้าที่ผมใช้หลังจากที่เปลียน่จากของหมอ คือมาใช้ Kiehl’s Calendula Deep Cleansing Foaming Wash
ซึ่งตัวนี้ผมไปเจอมาว่ามันอ่อนโยน ธรรมชาติ และไม่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอร์ครับ
ข้อดี : ใช้แล้วรุ้สึกสะอาด ไม่แพ้ อ่อนโยน และไม่ทำให้ผิวแห้งตึงด้วย ยังคงความชุ่มชื้นไว้ ดีมากๆ (ตัวนี้ยังใช้ถึงปัจจุบันเลยครับ)
ข้อเสีย : ราคาแอบสูง แต่ถ้าเทียบกับปริมาณแล้วถือว่าคุ้มมาก
Step 2 – Toner
สำหรับโทนเนอร์ มันเป็น step ที่คนชอบคิดว่าไม่สำคัญ จริงๆแล้วมันสำคัญมากกกกกกก!! เพราะมันจะช่วยปรับสภาพผิว
หลังจากที่เราล้างหน้ามาให้หน้าพร้อมที่จะรับการดูแลมากขึ้น และประสิทธิภาพที่จะลงขั้นตอนต่อไปดีมากขึ้น ขาดไม่ได้จริงๆครับ
ตัวที่ผมใช้คือ Origins - Mega Mushroom Skin Relief Soothing Face Lotion หรือน้ำเห็ดตัวดังนี่เอง
ข้อดี : อ่อนโยนมากกกก และทุกครั้งที่ใช้จะรู้สึกได้เลยว่าปลอบประโลมผิวได้ดี รอยแดง หรือสิวที่กำลังจะขึ้น
จะไม่ระเบิดขึ้นมาแบบรุนแรง และกลิ่นดีมากกกกๆๆๆๆ
ข้อเสีย : แพงครับ ยิ่งใช้กับสำลี คือเปลืองมาก (ใช้ได้สองแบบ จะใช้สำลีหรือเทใส่ฝ่ามือแล้วตบๆก็ได้ครับ)
Step 3 – Essence
ทุกคนจะรู้จักกันในคำคุ้นหูว่าน้ำตบ ซึ่งจริงๆ ตอนนี้มีหลายแบรนด์มากที่ทำตัวนี้ แต่ตัวที่ผมใช้ช่วงที่กำลังรักษาคือ
TONY MOLY Galactomyces Lite Essence 96.5% (คนส่วนใหญ่จะเรียกว่า SK II เสิ่นเจินครับ ฮ่าๆๆ เนื่องจากส่วนผสมและคำเคลม)
ข้อดี : ชุ่มชื้นมาก แต่หน้าไม่มันเพิ่มเลยลดรอยดำได้ดีมากๆ และราคาไม่แพง
ข้อเสีย : ใสเหมือนน้ำเปล่าเลย แอบรู้สึกว่ากำลังใช้น้ำเปล่าอยู่ ฮ่าๆๆ
Step 4 – Serum
สำหรับขั้นตอนนี้ ผมคาดว่าเป็นขั้นตอนที่ช่วยมากกกที่สุด และเห็นความแตกต่างสุดๆเลย เพราะว่า Serum
เป็นสกินแคร์ที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งตัวนี้ตอบโจทย์ได้ดีมาก นั่นคือ Aesop Parsley Seed Anti-Oxidant Serum
สุดรักเลยครับ (ผมใช้มา 2 ขวดแล้ว ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ ANR ครับอยากลองเห็นเค้าว่ามันดี)
ข้อดี : ผิวแข็งแรงขึ้นมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก สิวขึ้นน้อยลงมากๆ แทบไม่ขึ้นเลยและชุ่มชื้นผิวมากครับ
ข้อเสีย : ค่อนข้างเหนอะหนะ ช่วงแรกผมใช้เช้าและกลางคืน แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นแค่กลางคืนครับ ราคาถือว่าคุ้มครับ
Step 5 – Moisturizer
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนนอนที่สำคัญเหมือนกันคือ Moisturizer ครับ ซึ่งตัวนี้จะทำการล็อคให้ความชุ่มชื้นอยู่บนหน้าเราจนถึงเช้า
การที่หน้าเราชุ่มชื้น หน้าเราก็จะสมดุล และไม่แห้ง พอหน้าไม่แห้ง หน้าก็จะไม่ผลิตน้ำมันเพิ่ม พอไม่มีน้ำมันเพิ่ม สิวก็จะไม่เพิ่มครับ!
โดยตัวที่ผมใช้คือ Belif - The True Cream Aqua Bomb
ข้อเสีย : หาซื้อยากมากครับ ต้อง pre-order จากเกาหลี
และนี่คือความเปลี่ยนแปลงจากวันนั้น ถึง ช่วงที่ดีขึ้น (มันยังไม่ได้ดีที่สุดครับ เราต้องค่อยๆพัฒนากันไป 😊
สำหรับทุกขั้นตอนผมใช้เองจริงๆทั้งหมด และไม่มีการว่าจ้างใดๆเลยครับ ถ้าใครสนใจอยากดูเพิ่มเติม ตามไปดูช่อง Youtube
ของผมได้เลยนะครับ ในนั้นจะมีการดูแลตัวเอง และ อัพเดทสกินแคร์อยู่เรื่อยๆเลยครับ
v
v
v
https://bit.ly/2uVGA5l
**ใครมีคำถาม หรืออยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไร พิมพ์ทิ้งไว้ได้เลย หรือจะ Comment ใน Youtube ได้เลยครับ
ผมตอบทุก Comments เองหมดครับ วันนี้ผมขอตัวไปก่อนครับ
แต่อย่าลืมครับ “สิวเป็นได้ ก็หายได้ครับ” 😊
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้