5 ปี 200,000 กิโลเมตร ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ ไม่เคยซ่อม ทำอย่างไร

สวัสดีครับผมมีความคิดว่าจะเขียนบทความนี้หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาเรียบเรียง
ผมออกรถคันนี้ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 6 กับระยะทางบนเรือนไมล์ 200,670 km 
รถคันนี้เป็นรถคันแรกของผม แต่ก่อนหน้านั้นก็เคยขับรถอยู่บ่อยครั้ง ทั้งรถของที่ทำงานและรถของพี่ ตั้งแต่ออกรถคันนี้มาผมยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลยสักครั้งและรถคันนี้ก็ไม่เคยมีปัญหาจุกจิกให้กวนใจแต่อย่างใด แล้วทำอย่างไรผมจะขอแยกออกเป็น 2เรื่องนะครับ (1.รถ 2.การขับรถ)

1. รถ
      ผมได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับรถทางช่องทางต่างๆ เห็นข่าวรถมีปัญหาแล้วเหนื่อยใจแทนกับเจ้าของรถครับ บางคันออกรถวิ่งออกจากศูนย์ยังไม่ทันถึงไหนรถก็พังเสียก่อน บางคันยังไม่ทันพ้นป้ายแดงก็พังหรือต้องซ่อมทั้งที่เป็นรถใหม่ ทุกคนออกรถเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านที่ต่างกันบางคนใช้ค้าขาย บางคนใช้ขนของ บางคนเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ถ้าออกรถมาแล้วต้องนั่งผ่อนกุญแจแต่รถซ่อมอยู่ที่ศูนย์คงเป็นความรู้สึกที่เศร้าใจนัก
     ทุกวันนี้มีเครื่องยนต์และเทคโนโลยีใหม่ๆออกมาเสมอ เราก็ตามเทคโนโลยีเพื่อความทันสมัย บางเทคโนโลยีก็มีสเถียรภาพพร้อมใช้งาน แต่บางเทคโนโลยีก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางแต่ต้องทำออกมาขายก่อนสุดท้ายก็ต้องคอยแก้ปัญหาเป็นเคสๆไป ก่อนจะออกรถเราก็ควรศึกษาหาข้อมูลทั้งคนรอบข้างที่ใช้ สื่อออนไลน์ต่างๆ เพื่อพิจารณาก่อนซื้อทุกครั้ง อย่าไปเชื่อเซลล์ว่าปัญหานี้แก้ไขแล้ว เพราะเซลล์ทุกคนทุกค่ายต่างก็อยากขายรถของตนเพื่อค่าคอมมิชชั่น ทุกวันนี้สื่อออนไลน์เข้าถึงง่ายและมีเจ้าของรถที่มีปัญหาต่างพากันมาโพสเพื่อหาทางแก้ไขหรือโพสเพื่อเตือนหรือเป็นความรู้ในการแก้ไขปัญหา รถคันนี้ของผมเป็นโฉมใหม่แต่ใช้เครื่องยนต์ตัวเก่ากับรุ่นก่อนหน้านี้เทคโนโลยีใหม่ๆยังไม่เยอะ แต่รู้มั้ยครับผมใช้มา 200,000 km ยังไม่มีปัญหาใดๆเลย ผมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 km ทั้งๆที่น้ำมันเครื่องที่ผมเปลี่ยนบางครั้งมันระบุระยะทางที่ 5,000km, 8,000km แต่ผมก็ใช้มันจนถึงระยะทาง 10,000km ทุกครั้ง และสภาพเครื่องยังดีสตาร์ทติดง่ายทุกครั้งไม่งอแง
     ขับรถเป็นก็ต้องเช็คสภาพรถเบื้องต้นเป็น เช่น ระดับน้ำในหม้อน้ำ น้ำฉีดกระจก(บางครั้งจำเป็นต้องใช้) ความดันลมยาง ระบบเบรค(ยิ่งเราขับทุกวันเรายิ่งรู้ดีว่าเบรครถเราปกติไหม) สภาพยางและดอกยาง และอื่นๆที่เราพอจะสามารถตรวจสอบได้เบื้องต้น
     สรุปรถคันนี้นะครับ ถึงเทคโนโลยีจะยังไม่เยอะเหมือนรถทุกวันนี้แต่ก็ไม่มีปัญหาจุกจิกอะไรให้กวนใจ ระบบเครื่องยนต์กับเกียร์ยังทำงานปกติ แต่ระบบช่วงล่างอาจจะสู้รถค่ายอื่นไม่ได้(ความรู้สึกส่วนตัว)
     ***จุดสังเกตุอย่างหนึ่งที่ผมสงสัยมานานคือ รถพี่ผมยี่ห้อ H รู้สึกว่าจะประหยัดน้ำมันกว่ารถผมทั้งที่ CC เท่ากัน แต่ผมสังเกตุรถผมขับที่ความเร็ว 120 รอบเครื่องจะทำงานที่ 3,000 รอบ แต่รถพี่สาวขับที่ความเร็วเท่ากันแต่รอบทำงานที่ 2,500 รอบ มันมีผลกับการกินน้ำมันด้วยหรือป่าวผมไม่แน่ใจ

2. การขับรถ
      ตั้งแต่ผมขับรถเป็นเคยเกิดอุบัติเหตุอยู่ 2ครั้ง ครั้งแรกไปทำงานต่างจังหวัดกำลังนอนหลับในโรงแรม มีคนมาเคาะประตูบอกว่ามีรถถอยชนท้ายรถผม สรุปกันชนหลังยุบไฟท้ายแตกข้างนึง ครั้งที่ 2 จอดติดไฟแดง มีรถกระบะลืมเบรคไหลมาชนรถผมไม่แรงมากกันชนท้ายยุบนิดหน่อย
      วิธีขับรถของผมอาจจะแปลกแตกต่างจากคนอื่น
      1. ผมคิดเสมอว่าการขับรถคือเรากับรถต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราอยากให้รถไปไหน เลี้ยวตรงไหน เบรคตรงไหน รถต้องทำตามรถได้ทุกครั้ง อย่าให้รถควบคุมเรา เราต้องเป็นคนควบคุมรถ
      2. เราต้องรู้จักพละกำลังของเราที่เราขับ รู้จักแรงบิดของรถว่ามีขนาดไหน เพื่อใช้คำนวณระยะการแซงที่ปลอดภัย บางคนไม่ได้มองตรงนี้คิดแต่ว่าจะแซงพ้นแต่ก็เห็นชนประสานงากับรถที่สวนมา ซึ่งก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
      3. ผมเป็นคนที่ไม่ชอบขับรถจี้ตูดใคร เพราะเราไม่รู้ว่ารถคันข้างหน้าจะเบรคกระทันหันตอนไหน ซึ่งการขับเราต้องกะระยะห่างระหว่างเรากับคันหน้าในระยะที่เราคิดว่าปลอดภัย ยิ่งขับความเร็วสูงๆยิ่งต้องเว้นระยะห่างให้มากๆ
      4. เราต้องรู้จักช่วงล่างของรถที่เราขับว่าเป็นแบบไหน ในที่นี้ผมใช้ความรู้สึกเวลาเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เพื่อที่เราจะได้ประมาณความเร็วที่ใช้ในการเข้าโค้งแบบต่างๆได้
     5. เมื่อฝนตกผมจะลดความเร็วที่ใช้เหลือประมาณ 60-80km ขึ้นอยู่กับความแรงของฝนและสภาพถนน เพื่อที่เราจะสามารถควบคุมรถและเบรคได้เร็วขึ้นเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
     6. ต้องหมั่นมองกระจกหลัง กระจกข้าง คำนวณรถที่ขับตามมาถ้าเขาต้องการแซงเราก็ให้เค้าแซง ในหัวผมจะคิดเสมอว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันมีรถขับข้ามเกาะกลางถนนมาเราต้องทำอย่างไร ต้องเหยียบเบรคหรือหักเลี้ยวไปทางไหน โดยคำนวณกับรถที่ขับตามหลังเรามาเพื่อให้เราเจ็บตัวน้อยที่สุด (เรื่องนี้อาจจะยากกับคนบางคนแต่ผมจะคำนวณหรือคาดการณ์แบบนี้ทุกครั้งที่ขับรถ) ในข้อนี้ก็จะสัมพันกับข้อ 1 ครับ ถ้าเรากับเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเราก็จะสามารถควบคุมรถตอนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ดี
     7. ต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดแต่อยู่ภายใต้กฎจราจรนะครับ เช่น การขับออกจากปากซอย บางคนงึกๆงักๆ ไม่ยอมออก พอขับออกก็เกิดอุบัติเหตุ และเราต้องมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทางอยู่เสมอ
     8. สุดท้ายแล้วขับรถทุกครั้งเราต้องมีสติและสมาธิกับการขับและเคารพกฎจราจร ถ้าไม่มีสติและสมาธิ 7 ข้อที่กล่าวมาก็คงไม่สามารถทำได้
ผมเคยขับรถมาแล้วทั่วประเทศ(ยกเว้น 3จังหวัดชายแดนใต้) รวมรถที่ขับทุกคันก็คงหลายแสนกิโลเมตร และได้ประสบการณ์ความรู้และนำมาสรุปให้ทุกคนได้อ่านเพื่อเป็นประโยชน์ไม่ม่กก็น้อย ขอบคุณครับ

***เพิ่มเติมเทคนิคเล็กๆที่ผมใช้เป็นประจำสำหรับเกียร์ออโต้
      1. จอดติดไฟแดงผมแนะนำเข้าเกียร์ไว้ที่ N (ว่าง) เพราะถ้ามีรถขับมาชนท้ายเราเกียร์รถจะได้ไม่มีปัญหา
      2. การจอดผมจะเข้าเกียร์ N (ว่าง) แล้วดึงเบรคมือ จากนั้นค่อยเข้าเกียร์ P (จอด) เพื่ออายุการใช้งานของเกียร์ที่นานขึ้น
      3. ผมจะไม่ขับรถแบบกระชาก จะค่อยๆขับไปตามรอบเครื่องและความเร็วรถ จะขับแบบกระชากก็เฉพาะตอนที่แซงเท่านั้น 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่