5G โลกส่วนใหญ่เสร็จ “หัวเว่ย” “มะกัน” เร่งหาทางรับมือ

คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ต้องยอมรับว่าในโลกเทคโนโลยีปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาที่เคยเป็นผู้นำในด้านนี้ กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับจีนในบางด้าน ที่กล่าวถึงกันมากก็คือสหรัฐตามไม่ทันจีนในแง่ของเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายรุ่นที่ 5 (5G) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะมาทดแทน 4G อันจะช่วยให้การสื่อสารไร้สายรวดเร็วกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 100 เท่า
รัฐบาลทั่วโลกส่วนใหญ่กำลังปรับปรุงโครงข่ายโทรศัพท์มือถือหรือสื่อสารไร้สาย เพื่อให้รองรับเทคโนโลยี 5G แต่ประเด็นนี้ก่อให้เกิดความตึงเครียดในระดับโลก เมื่อสหรัฐอเมริกาออกมากดดันไม่ให้ชาติพันธมิตรใช้อุปกรณ์ของบริษัทหัวเว่ยซึ่งเป็นบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ของจีนในการวางโครงข่าย 5G โดยกล่าวหาว่าอุปกรณ์ของหัวเว่ยไม่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นมือไม้ให้กับรัฐบาลจีนเพื่อจารกรรมหรือสอดแนมความลับของสหรัฐ

มีหลายประเทศยอมตามแรงกดดันของอเมริกาไปแล้ว เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ส่วนซีกยุโรปนั้นเสียงแตก มีบางประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี ไม่ยอมทำตามคำร้องขอของสหรัฐ
ความรุดหน้า 5G ของหัวเว่ยเหนือบริษัทจากสหรัฐ ประกอบกับราคาอุปกรณ์ที่ต่ำ เป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกใช้อุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของสหรัฐยอมรับว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่หัวเว่ยจะมีส่วนแบ่งตลาด 5G มากที่สุดในโลก ด้วยเหตุนั้นจึงกำลังเร่งวางแผนรับมือสถานการณ์ดังกล่าว เพราะในเมื่อหลายประเทศใช้อุปกรณ์หัวเว่ยไปแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความเสี่ยงเมื่อสหรัฐต้องเชื่อมต่อกับโครงข่ายของประเทศเหล่านั้น
สำหรับหนทางป้องกันการจารกรรมและการโจมตีทางไซเบอร์นั้น บรรดาเจ้าหน้าที่สหรัฐกำลังหารือกัน ทั้งการใช้วิธีเข้ารหัส การใช้ส่วนประกอบ (components) ของเครือข่ายแบบแยกเซ็กเมนต์ ตลอดจนการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นเพื่อปกป้องระบบหลัก บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ 4 แห่งของสหรัฐ ได้แก่ AT&T, Verizon Wireless, Sprint และ T-Mobile รับปากกับรัฐบาลสหรัฐว่าพวกเขาจะไม่ให้บริษัทจีน คือ หัวเว่ย และ ZTE มีส่วนร่วมในการวางเครือข่าย 5G แต่ถึงอย่างไรพวกตนก็จำต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายของต่างประเทศ หากเครือข่าย 5G ของประเทศเหล่านั้นใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยอยู่แล้ว ในที่สุดวงจรสื่อสารของอเมริกันก็ต้องผ่านกล่องจราจรสื่อสารที่หัวเว่ยเป็นผู้ควบคุมอยู่ดี
ประเด็นนี้สร้างความกังวลให้กับ “ไมก์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งระบุ หากชาติพันธมิตรใช้อุปกรณ์หัวเว่ยก็คงสร้างความลำบากให้กับสหรัฐที่จะร่วมมือกับประเทศเหล่านั้น
โทมัส โดนาฮิว อดีตนักวิเคราะห์ของซีไอเอ และอดีตเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวซึ่งคลุกคลีกับเทคโนโลยีและงานความมั่นคงมา 30 ปี ชี้ว่าบริการ 5G จะเกิดขึ้นในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่การสร้างโครงข่ายให้เสร็จสมบูรณ์เต็มรูปแบบจะใช้เวลาประมาณ 10-20 ปี
ดังนั้นหากเริ่มลงมือเดี๋ยวนี้ รัฐบาลสหรัฐยังมีเวลาพอที่จะลงมือทางยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการสร้างนวัตกรรม 5G เพื่อดึงดูดให้มีผู้เล่นในตลาดมากขึ้นแข่งกับหัวเว่ย ทั้งนี้ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้งรัฐบาลและเอกชนจับมือกัน
ปัจจุบันหัวเว่ยเข้าครองตลาด 4G ทั้งในแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปใต้ และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปเรียบร้อยแล้ว และขั้นต่อไปมีความปรารถนาจะเป็นเจ้าตลาด 5G ซึ่งในทรรศนะของผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าไม่มีทางที่จะกีดกันหัวเว่ยออกไปจากตลาด
สิ่งที่บรรดาบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของสหรัฐกลัวก็คือ ถ้าหากหัวเว่ยยึดตลาดได้ และไล่คู่แข่งจากยุโรปซึ่งมีเพียงไม่กี่รายออกไปจากตลาดสำเร็จ ประเทศอื่น ๆ ก็ไม่มีทางเลือก จำต้องใช้หัวเว่ย อย่างไรก็ตาม เสียงเตือนเรื่องความเสี่ยงการใช้อุปกรณ์หัวเว่ยในยุโรปต้องพบกับอุปสรรค เมื่อหัวเว่ยตัดราคาอย่างรุนแรง
เหริน เจิงเฟ่ย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ย ยืนยันอีกครั้งว่า บริษัทไม่เคยส่งข้อมูลให้กับรัฐบาลจีน และไม่มีแผนที่จะทำเช่นนั้น โดยตลอด 30 ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำอย่างนั้น และอีก 30 ปีข้างหน้าก็ไม่คิดจะทำ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
EU ไม่แบน แต่ถ้าจะขาย ก็ต้องเผยพิมพ์เขียว แจงชิ้นส่วนทุกชิ้น ที่อยู่ในวงจร  ขณะที่รายอื่นไม่ต้อง แค่นี้ก็หืดขึ้นคอ ไหนจะโดนจ่อห้ามใช้เทคโนโลยีสหรัฐ งานนี้ตายอย่างเดียว ติ่งอย่าเพิ่งรีบมโนนะเจ้าคะ กลยุทธเจี๋ยน huawei ยังมีอีกเพียบ ตอนนี้ samsung ของเจ๊ ฟันตลาด hiend เกือบจะหมดล่ะ ส่วน huawei ขวัญใจตลาดล่าง ขรรมแพร๊พ โฮ๊ะๆๆๆๆๆๆ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Mobile OS
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่