
พระสูตร - ทรงคอยควบคุมวิตก ก่อนตรัสรู้ {๑}
> ตีความยังไง ? <
_____________
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า ๗๑
ภิกษุ ท. ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า เราพึงทำวิตกทั้งหลายให้เป็นสองส่วนเถิด. ภิกษุ ท. ! เราได้ทำ กามวิตก พ๎ยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก สามอย่างนี้ให้เป็นส่วนหนึ่ง, ได้ทำ เนกขัมมวิตก อัพ๎ยาปาทวิตก อวิหิงสาวิตก สามอย่างนี้ ให้เป็นอีกส่วนหนึ่งแล้ว.
> ตีความ <
พุทธะ ได้กล่าวว่า "ส่วนหนึ่ง.....อีกส่วนหนึ่งแล้ว"
นั่นก็คือ การเข้าถึงนิพพาน ต้องแยกแยะ วิตกทั้ง 2 ส่วนนี้ให้ขาด ให้แยกจากกันโดยเด็ดขาด ห้ามมีแม้แต่ข้ออ้างเพียงเล็กน้อยเพื่อกิเลสตน อย่าให้กิเลสมารกำเริบ แม้ตนเองจะเดือดร้อนเพียงไรก็อย่าทำ "การผิดศีล" ทุกชนิด การกระทำทุกชนิดต้องมุ่งสู่การไม่ "ผิดศีล" ถึงจะแยกธรรมทั้ง ๖ อย่างนี้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดเป็น ๒ ส่วน
การมองไม่ออก หรือคิดเข้าข้างตนเอง จนมองไม่ออก ต้องหาวิธีแก้ไขโดยด่วน นั่นคือ เริ่มต้นให้ถูก
"ศีล" มั่นคงถึงที่สุด
"สมาธิ" ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการตัดขาดความทุกข์ ต้องพยายามรักษาธรรม ประคองไว้ให้ดีในตลอดทั้งวัน
"ปัญญา" หมั่นขูดเกลาตนเอาความเท็จทั้งปวงออกไปให้สิ้น
เมื่อเท็จไป จริงจึงปรากฏ
-= คำศัพท์ =-
ตรัสรู้ = รู้แจ้ง (หมายถึง อริยสัจ ๔)
โพธิ = ความรู้, ความตรัสรู้
โพธิสัตว์ = สัตว์นั้นจะเป็นพุทธะ, สัตว์ที่พยายามเพื่อโพธิ, ผู้ที่กำลังพยายามเพื่อจะเป็นพุทธะ
โพธิสัตว์ (อีกหนึ่งความหมาย จะได้เข้าใจคำนี้ให้ครบถ้วน แต่ไม่เกี่ยวกับพระสูตรนี้) = ผู้ที่รับสนองพระพุทธประสงค์ในการรักษาศาสนาไว้ (ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะเป็น โพธิสัตว์/พระโพธิสัตว์ ได้)
วิตก = (ทางธรรม) ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น
กามวิตก = ความครุ่นคิดในกาม ความคิดคำนึงในทางกาม
พยาบาทวิตก = ความตริตรึกในทางคิดร้ายต่อผู้อื่น, ความคิดนึกในทางขัดเคืองชิงชัง ไม่ประกอบด้วยเมตตา
วิหิงสาวิตก = ความตรึกในทางเบียดเบียน, ความคิดในทางทำลายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เนกขัมมวิตก = ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น คือ ความนึกคิดที่จะออกจากกาม
อพยาบาทวิตก = ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น คือ ความนึกคิดในทางไม่ปองร้ายใคร
อวิหิงสาวิตก = ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น คือ ความนึกคิดในทางไม่เบียดเบียน
_____________________
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้กามวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า กามวิตกเกิดแก่เราแล้ว, กามวิตกนั้นย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย (คือทั้งตนและผู้อื่น) บ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่....ฯลฯ {๒} ... อย่างนี้ กามวิตกย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท. ! เราได้ละและบรรเทากามวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้วและบังเกิดแล้ว กระทำให้สิ้นสุดได้แล้ว.
> ตีความ <
ส่วนใหญ่ ผู้ปฏิบัติ มักตีความ
คำว่า "เบียดเบียนตน" ไม่ออก เพราะอำนาจของกิเลส
คำว่า "เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง" อันนี้ง่ายกว่าเยอะ
คำว่า "เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย (คือทั้งตนและผู้อื่น) บ้าง อันนี้ยากที่สุดเพราะ ตั้งแต่เริ่ม ไม่เข้าใจการกระทำอย่างไรบ้างโดยละเอียดว่า "เบียดเบียนตน"
"เบียดเบียนตน"
นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะหากทำได้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติให้อริยมรรคมีองค์ ๘ สมบูรณ์
ทำไมจึงยาก ?
เพราะติด "กับดักแห่งกิเลสในใจตน"
ท่องอยู่ในมหาสมุทรแห่งกิเลส วนอยู่อย่างนั้น ไหลไป ไหลมาเป็นน้ำวนอยู่แบบนั้น หาทางออกไม่ได้
กับดักมีอะไรบ้าง ?
- กำลังเจริญใน โลภะ แต่เข้าใจว่า กำลังละโลภะอยู่
เช่น กำลังกอบโกยความโลภ และการยึดติดที่มากขึ้น แต่มีข้ออ้างว่า เช่น ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อลูก ทำเพื่อหลาน ทำเพื่อทายาท แต่ตนเองนั้น ติด โลกธรรม ๘ อย่างลึกซึ้ง ยากจะถอนตัว กิเลสเลยหาข้ออ้างให้ว่า "นี้ฉันไม่ทุกข์"
อาการแบบนี้ ระวังไว้ให้มั่น ระวังไว้ให้ดีกันนะ !!!
[[[ กิเลสอิ่มดี นี้จึงสงบ ]]] เป็นต้น
- กำลังเจริญใน โทสะ แต่เข้าใจว่า กำลังละโทสะอยู่
เช่น เกิดความหงุดหงิด รำคาญใจ แต่ทิ้งอารมณ์นี้ไปได้ แล้วจึงคิดว่า "นี้ฉันไม่ทุกข์" เพราะไม่ได้โมโห โกรธใคร หรือเบียดเบียนใคร
"นี้แหละเรื่องใหญ่ในการละกิเลส" เป็นการเบียดเบียนตัวเองอย่างแท้จริง จนถึงขั้นหนึ่งในหนึ่งสิ่งที่ลึกที่สุด เพราะ --> ตามไม่เห็น โทสะ ในความคิด แถมในบางครั้ง จะเกิด ติดโมหะ ไปด้วยซ้ำว่า เช่น
"ดีจังเลย ครั้งนี้ฉันทำได้" จำไว้นะว่า การปฏิบัติให้เดินสุดทาง ความคิด ชื่นชมตนเอง จะต้องไม่มีเลย จะต้องเหลือเป็น 0
นี้คือตัวอย่างเพียงเล็กน้อย
- กำลังเจริญใน โมหะ แต่เข้าใจว่า กำลังละโมหะอยู่
ในเรื่องนี้ผมจะสอนให้ในแบบ "มุขปาฐะ" เท่านั้น
เพราะประสบการณ์ตั้งแต่การเกิด และได้มาพบ มาอ่านข้อความนี้ของแต่ละคนมีทั้งเหมือนกัน คล้ายกัน และต่างกัน
ต่างกันที่ไหน ?
ชาติกำเนิด
ถูกการเลี้ยงดูตั้งแต่เป็นทารก โดยใคร
ชีวิตในวัยเด็กมีทั้ง ปมดี ผมย้ำนะว่าปมดีที่ทำให้ยึดติด ปมไม่ดียังไง
ถูกให้การศึกษา และจงใจศึกษาใฝ่รู้ยังไง
ความรักที่มีมาทั้งหมด ทั้งชีวิต เป็นอย่างไร
การศึกษาทางโลก หลงในธรรมนี้แค่ไหน
พื้นฐานทางครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ การดูหมิ่นและไม่ดูหมิ่น เป็นอย่างไร
การเจริญในโภคะ เป็นเช่นไร
เพศ
อาชีพ รวมถึงประสบการณ์ในอาชีพ ว่าอาชีพที่ทำอยู่เกี่ยวเนื่องด้วยการเห็นกิเลสของมนุษย์เป็นเช่นไร
ความชื่นชอบ ความชอบ ความติดอกติดใจ ใน รูปและนาม เป็นเช่นไร
เคยนับถือศาสนาอะไรมาก่อน และรวมถึง นับถือพุทธ แต่ไม่ใช่พุทธ เข้าใจศาสนาพุทธในแบบของตน แต่มิได้เข้าใจในแบบครั้งพุทธกาล
การติดอกติดใจ ในคำว่า "เหล่ากอ" ทั้งในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตเป็นเช่นไร
เป็นผู้มีธรรมแต่ไม่มีธรรมรึเปล่า ?
เคยทำบาปกรรมใหญ่ ที่ตนนั้นคิดว่าไม่ใหญ่ หรือรู้ตัวแต่ก็ทำ ยังไงบ้าง ?
เคยทำบาปกรรมและบุญกรรม ที่ผ่านมาทั้งชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ตีความโดยละเอียดในพฤติกรรมตนอย่างไร
< โดยเฉพาะ มีข้ออ้างให้แก่กิเลสตน ในระดับขนาดไหน >
สิ่งเหล่านี้ใช้ประกอบกันทั้งหมด
ในการสอนแบบ มุขปาฐะ
มุขปาฐะ
ทำไมต้องมุขปาฐะ ?
https://web.facebook.com/photo.php?fbid=2800770073272933
การทำให้ชีวิต ความคิด กิเลสสงบลงในแต่ละช่วงเวลาในชีวิตในแต่ละวัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะใช้แต่ความคิด
จึงต้องอบรมบ่มจิตให้จงหนัก
บ่มจิต เพื่อพ้นจิต
-= คำศัพท์ =-
บรรเทา = ทุเลาหรือทําให้ทุเลา, ผ่อนคลายหรือทําให้ผ่อนคลายลง, เบาบางหรือทําให้เบาบางลง, สงบหรือทําให้สงบ
_____________________
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้ พ๎ยาปาทวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า พ๎ยาปาทวิตกเกิดแก่เราแล้ว, ก็พ๎ยาปาทวิตกนั้นย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่...ฯลฯ...อย่างนี้ พ๎ยาปาทวิตก ย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท. ! เราได้ละและบรรเทาพ๎ยาปาทวิตก อันบังเกิดขึ้นแล้วและบังเกิดแล้ว กระทำให้สิ้นสุดได้แล้ว.
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้วิหิงสาวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า วิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว, ก็วิหิงสาวิตกนั้นย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่....ฯลฯ....อย่างนี้ วิหิงสาวิตกย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท. ! เราได้ละและบรรเทาวิหิงสาวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้ว และบังเกิดแล้ว กระทำให้สิ้นสุดได้แล้ว.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใด ๆ มาก จิตย่อมน้อมไปโดยอาการอย่างนั้น ๆ : ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงกามวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละเนกขัมมวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งกามวิตก; จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในกาม. ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงพ๎ยาปาทวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละอัพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งพ๎ยาปาทวิตก, จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการพยาบาท. ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงวิหิงสาวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละอวิหิงสาวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งวิหิงสาวิตก; จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการทำสัตว์ให้ลำบาก.
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนในคราวฤดูสารท คือเดือนสุดท้ายแห่งฤดูฝนคนเลี้ยงโคต้องเลี้ยงฝูงโคในที่แคบเพราะเต็มไปด้วยข้าวกล้า, เขาต้องตีต้อนห้ามกันฝูงโคจากข้าวกล้านั้นด้วยท่อนไม้ เพราะเขาเห็นโทษคือการถูกประหาร การถูกจับกุม การถูกปรับไหม การติเตียน เพราะมีข้าวกล้านั้นเป็นเหตุ ข้อนี้ฉันใด, ภิกษุ ท. ! ถึงเราก็ฉันนั้น ได้เห็นแล้วซึ่งโทษความเลวทรามเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย, เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม ความเป็นฝักฝ่ายของความผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้เนกขัมมวิตกย่อมเกิดขึ้น....{๓} อัพ๎ยาปาทวิตกย่อมเกิดขึ้น.... อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดขึ้น. เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า อวิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว, ก็อวิหิงสาวิตกนั้นไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย, แต่เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้นตลอดคืน ก็มองไม่เห็นภัยที่จะเกิดขึ้นเพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ. แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้นตลอดวัน, หรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน ก็มองไม่เห็นภัย อันจะเกิดขึ้นเพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ.
> ตีความ <
พุทธะได้ทำเป็นตัวอย่าง
"ตลอดวัน, หรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน"
ท่านเล่าให้ฟังแล้ว แม้เป็นธรรมเหล่าใด ท่านก็ใช้เวลาพิจารณาในธรรมเหล่านั้น
-= ตีตน =-
ให้น้อมมาดูตน ว่า ทำ ปฏิบัติได้เท่าไหร่แล้ว 1
รู้ในธรรมที่รู้ได้โดยยาก ด้วยปัญญาตรัสรู้เฉพาะตน หรือเป็นปัญญาทางโลก เป็นปัญญาที่จำมา รึเปล่า ? 1
แยกแยะเวลาในการปฏิบัติธรรม เพื่อละธรรม ในชีวิตแต่ละวัน ได้จัดสรรเวลาดีพอแล้วหรือยัง แล้วหรือไม่ 1
สังเกตุตนว่า เป็นผู้ "รู้จำ แต่ไม่รู้จริง" หรือเปล่า กิเลส...กิเลส..และกิเลส 1
อยากเข้าถึงในธรรม อยากรู้ธรรม อยากลงสู่ธรรม ด้วยความเป็นธรรมะที่แท้จริง เดินตรง แล้วหรือยัง 1
หมั่นสำรวจใน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของตนเองแล้วอย่างดีหรือยัง ในตลอดวันทั้งวัน แล้ว 1
เอาคร่าว ๆ ใน -= ตีตน =- นี้ เท่านี้ก่อน เพราะเรื่องนี้ยาวมาก ในหัวข้อ
"สำรวจ ตน เพื่อ ละตน"
_____________________
ทางไปนิพพาน ทำอย่างไร ?
> ตีความยังไง ? <
_____________
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า ๗๑
ภิกษุ ท. ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า เราพึงทำวิตกทั้งหลายให้เป็นสองส่วนเถิด. ภิกษุ ท. ! เราได้ทำ กามวิตก พ๎ยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก สามอย่างนี้ให้เป็นส่วนหนึ่ง, ได้ทำ เนกขัมมวิตก อัพ๎ยาปาทวิตก อวิหิงสาวิตก สามอย่างนี้ ให้เป็นอีกส่วนหนึ่งแล้ว.
> ตีความ <
พุทธะ ได้กล่าวว่า "ส่วนหนึ่ง.....อีกส่วนหนึ่งแล้ว"
นั่นก็คือ การเข้าถึงนิพพาน ต้องแยกแยะ วิตกทั้ง 2 ส่วนนี้ให้ขาด ให้แยกจากกันโดยเด็ดขาด ห้ามมีแม้แต่ข้ออ้างเพียงเล็กน้อยเพื่อกิเลสตน อย่าให้กิเลสมารกำเริบ แม้ตนเองจะเดือดร้อนเพียงไรก็อย่าทำ "การผิดศีล" ทุกชนิด การกระทำทุกชนิดต้องมุ่งสู่การไม่ "ผิดศีล" ถึงจะแยกธรรมทั้ง ๖ อย่างนี้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดเป็น ๒ ส่วน
การมองไม่ออก หรือคิดเข้าข้างตนเอง จนมองไม่ออก ต้องหาวิธีแก้ไขโดยด่วน นั่นคือ เริ่มต้นให้ถูก
"ศีล" มั่นคงถึงที่สุด
"สมาธิ" ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการตัดขาดความทุกข์ ต้องพยายามรักษาธรรม ประคองไว้ให้ดีในตลอดทั้งวัน
"ปัญญา" หมั่นขูดเกลาตนเอาความเท็จทั้งปวงออกไปให้สิ้น
เมื่อเท็จไป จริงจึงปรากฏ
-= คำศัพท์ =-
ตรัสรู้ = รู้แจ้ง (หมายถึง อริยสัจ ๔)
โพธิ = ความรู้, ความตรัสรู้
โพธิสัตว์ = สัตว์นั้นจะเป็นพุทธะ, สัตว์ที่พยายามเพื่อโพธิ, ผู้ที่กำลังพยายามเพื่อจะเป็นพุทธะ
โพธิสัตว์ (อีกหนึ่งความหมาย จะได้เข้าใจคำนี้ให้ครบถ้วน แต่ไม่เกี่ยวกับพระสูตรนี้) = ผู้ที่รับสนองพระพุทธประสงค์ในการรักษาศาสนาไว้ (ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะเป็น โพธิสัตว์/พระโพธิสัตว์ ได้)
วิตก = (ทางธรรม) ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น
กามวิตก = ความครุ่นคิดในกาม ความคิดคำนึงในทางกาม
พยาบาทวิตก = ความตริตรึกในทางคิดร้ายต่อผู้อื่น, ความคิดนึกในทางขัดเคืองชิงชัง ไม่ประกอบด้วยเมตตา
วิหิงสาวิตก = ความตรึกในทางเบียดเบียน, ความคิดในทางทำลายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เนกขัมมวิตก = ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น คือ ความนึกคิดที่จะออกจากกาม
อพยาบาทวิตก = ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น คือ ความนึกคิดในทางไม่ปองร้ายใคร
อวิหิงสาวิตก = ความคิดที่เจาะจงไปที่สิ่งนั้น คือ ความนึกคิดในทางไม่เบียดเบียน
_____________________
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้กามวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า กามวิตกเกิดแก่เราแล้ว, กามวิตกนั้นย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย (คือทั้งตนและผู้อื่น) บ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่....ฯลฯ {๒} ... อย่างนี้ กามวิตกย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท. ! เราได้ละและบรรเทากามวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้วและบังเกิดแล้ว กระทำให้สิ้นสุดได้แล้ว.
> ตีความ <
ส่วนใหญ่ ผู้ปฏิบัติ มักตีความ
คำว่า "เบียดเบียนตน" ไม่ออก เพราะอำนาจของกิเลส
คำว่า "เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง" อันนี้ง่ายกว่าเยอะ
คำว่า "เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย (คือทั้งตนและผู้อื่น) บ้าง อันนี้ยากที่สุดเพราะ ตั้งแต่เริ่ม ไม่เข้าใจการกระทำอย่างไรบ้างโดยละเอียดว่า "เบียดเบียนตน"
"เบียดเบียนตน"
นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะหากทำได้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติให้อริยมรรคมีองค์ ๘ สมบูรณ์
ทำไมจึงยาก ?
เพราะติด "กับดักแห่งกิเลสในใจตน"
ท่องอยู่ในมหาสมุทรแห่งกิเลส วนอยู่อย่างนั้น ไหลไป ไหลมาเป็นน้ำวนอยู่แบบนั้น หาทางออกไม่ได้
กับดักมีอะไรบ้าง ?
- กำลังเจริญใน โลภะ แต่เข้าใจว่า กำลังละโลภะอยู่
เช่น กำลังกอบโกยความโลภ และการยึดติดที่มากขึ้น แต่มีข้ออ้างว่า เช่น ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อลูก ทำเพื่อหลาน ทำเพื่อทายาท แต่ตนเองนั้น ติด โลกธรรม ๘ อย่างลึกซึ้ง ยากจะถอนตัว กิเลสเลยหาข้ออ้างให้ว่า "นี้ฉันไม่ทุกข์"
อาการแบบนี้ ระวังไว้ให้มั่น ระวังไว้ให้ดีกันนะ !!!
[[[ กิเลสอิ่มดี นี้จึงสงบ ]]] เป็นต้น
- กำลังเจริญใน โทสะ แต่เข้าใจว่า กำลังละโทสะอยู่
เช่น เกิดความหงุดหงิด รำคาญใจ แต่ทิ้งอารมณ์นี้ไปได้ แล้วจึงคิดว่า "นี้ฉันไม่ทุกข์" เพราะไม่ได้โมโห โกรธใคร หรือเบียดเบียนใคร
"นี้แหละเรื่องใหญ่ในการละกิเลส" เป็นการเบียดเบียนตัวเองอย่างแท้จริง จนถึงขั้นหนึ่งในหนึ่งสิ่งที่ลึกที่สุด เพราะ --> ตามไม่เห็น โทสะ ในความคิด แถมในบางครั้ง จะเกิด ติดโมหะ ไปด้วยซ้ำว่า เช่น
"ดีจังเลย ครั้งนี้ฉันทำได้" จำไว้นะว่า การปฏิบัติให้เดินสุดทาง ความคิด ชื่นชมตนเอง จะต้องไม่มีเลย จะต้องเหลือเป็น 0
นี้คือตัวอย่างเพียงเล็กน้อย
- กำลังเจริญใน โมหะ แต่เข้าใจว่า กำลังละโมหะอยู่
ในเรื่องนี้ผมจะสอนให้ในแบบ "มุขปาฐะ" เท่านั้น
เพราะประสบการณ์ตั้งแต่การเกิด และได้มาพบ มาอ่านข้อความนี้ของแต่ละคนมีทั้งเหมือนกัน คล้ายกัน และต่างกัน
ต่างกันที่ไหน ?
ชาติกำเนิด
ถูกการเลี้ยงดูตั้งแต่เป็นทารก โดยใคร
ชีวิตในวัยเด็กมีทั้ง ปมดี ผมย้ำนะว่าปมดีที่ทำให้ยึดติด ปมไม่ดียังไง
ถูกให้การศึกษา และจงใจศึกษาใฝ่รู้ยังไง
ความรักที่มีมาทั้งหมด ทั้งชีวิต เป็นอย่างไร
การศึกษาทางโลก หลงในธรรมนี้แค่ไหน
พื้นฐานทางครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ การดูหมิ่นและไม่ดูหมิ่น เป็นอย่างไร
การเจริญในโภคะ เป็นเช่นไร
เพศ
อาชีพ รวมถึงประสบการณ์ในอาชีพ ว่าอาชีพที่ทำอยู่เกี่ยวเนื่องด้วยการเห็นกิเลสของมนุษย์เป็นเช่นไร
ความชื่นชอบ ความชอบ ความติดอกติดใจ ใน รูปและนาม เป็นเช่นไร
เคยนับถือศาสนาอะไรมาก่อน และรวมถึง นับถือพุทธ แต่ไม่ใช่พุทธ เข้าใจศาสนาพุทธในแบบของตน แต่มิได้เข้าใจในแบบครั้งพุทธกาล
การติดอกติดใจ ในคำว่า "เหล่ากอ" ทั้งในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตเป็นเช่นไร
เป็นผู้มีธรรมแต่ไม่มีธรรมรึเปล่า ?
เคยทำบาปกรรมใหญ่ ที่ตนนั้นคิดว่าไม่ใหญ่ หรือรู้ตัวแต่ก็ทำ ยังไงบ้าง ?
เคยทำบาปกรรมและบุญกรรม ที่ผ่านมาทั้งชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ตีความโดยละเอียดในพฤติกรรมตนอย่างไร
< โดยเฉพาะ มีข้ออ้างให้แก่กิเลสตน ในระดับขนาดไหน >
สิ่งเหล่านี้ใช้ประกอบกันทั้งหมด
ในการสอนแบบ มุขปาฐะ
มุขปาฐะ
ทำไมต้องมุขปาฐะ ?
https://web.facebook.com/photo.php?fbid=2800770073272933
การทำให้ชีวิต ความคิด กิเลสสงบลงในแต่ละช่วงเวลาในชีวิตในแต่ละวัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะใช้แต่ความคิด
จึงต้องอบรมบ่มจิตให้จงหนัก
บ่มจิต เพื่อพ้นจิต
-= คำศัพท์ =-
บรรเทา = ทุเลาหรือทําให้ทุเลา, ผ่อนคลายหรือทําให้ผ่อนคลายลง, เบาบางหรือทําให้เบาบางลง, สงบหรือทําให้สงบ
_____________________
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้ พ๎ยาปาทวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า พ๎ยาปาทวิตกเกิดแก่เราแล้ว, ก็พ๎ยาปาทวิตกนั้นย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่...ฯลฯ...อย่างนี้ พ๎ยาปาทวิตก ย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท. ! เราได้ละและบรรเทาพ๎ยาปาทวิตก อันบังเกิดขึ้นแล้วและบังเกิดแล้ว กระทำให้สิ้นสุดได้แล้ว.
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้วิหิงสาวิตกเกิดขึ้น เราก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า วิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว, ก็วิหิงสาวิตกนั้นย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง, เป็นไปเพื่อความดับแห่งปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. ภิกษุ ท. ! เมื่อเราพิจารณาเห็นอยู่....ฯลฯ....อย่างนี้ วิหิงสาวิตกย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้. ภิกษุ ท. ! เราได้ละและบรรเทาวิหิงสาวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้ว และบังเกิดแล้ว กระทำให้สิ้นสุดได้แล้ว.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใด ๆ มาก จิตย่อมน้อมไปโดยอาการอย่างนั้น ๆ : ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงกามวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละเนกขัมมวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งกามวิตก; จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในกาม. ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงพ๎ยาปาทวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละอัพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งพ๎ยาปาทวิตก, จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการพยาบาท. ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึงวิหิงสาวิตกมาก ก็เป็นอันว่าละอวิหิงสาวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งวิหิงสาวิตก; จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการทำสัตว์ให้ลำบาก.
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนในคราวฤดูสารท คือเดือนสุดท้ายแห่งฤดูฝนคนเลี้ยงโคต้องเลี้ยงฝูงโคในที่แคบเพราะเต็มไปด้วยข้าวกล้า, เขาต้องตีต้อนห้ามกันฝูงโคจากข้าวกล้านั้นด้วยท่อนไม้ เพราะเขาเห็นโทษคือการถูกประหาร การถูกจับกุม การถูกปรับไหม การติเตียน เพราะมีข้าวกล้านั้นเป็นเหตุ ข้อนี้ฉันใด, ภิกษุ ท. ! ถึงเราก็ฉันนั้น ได้เห็นแล้วซึ่งโทษความเลวทรามเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย, เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม ความเป็นฝักฝ่ายของความผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่อย่างนี้เนกขัมมวิตกย่อมเกิดขึ้น....{๓} อัพ๎ยาปาทวิตกย่อมเกิดขึ้น.... อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดขึ้น. เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า อวิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว, ก็อวิหิงสาวิตกนั้นไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย, แต่เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ไม่เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน. แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้นตลอดคืน ก็มองไม่เห็นภัยที่จะเกิดขึ้นเพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ. แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้นตลอดวัน, หรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน ก็มองไม่เห็นภัย อันจะเกิดขึ้นเพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ.
> ตีความ <
พุทธะได้ทำเป็นตัวอย่าง
"ตลอดวัน, หรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน"
ท่านเล่าให้ฟังแล้ว แม้เป็นธรรมเหล่าใด ท่านก็ใช้เวลาพิจารณาในธรรมเหล่านั้น
-= ตีตน =-
ให้น้อมมาดูตน ว่า ทำ ปฏิบัติได้เท่าไหร่แล้ว 1
รู้ในธรรมที่รู้ได้โดยยาก ด้วยปัญญาตรัสรู้เฉพาะตน หรือเป็นปัญญาทางโลก เป็นปัญญาที่จำมา รึเปล่า ? 1
แยกแยะเวลาในการปฏิบัติธรรม เพื่อละธรรม ในชีวิตแต่ละวัน ได้จัดสรรเวลาดีพอแล้วหรือยัง แล้วหรือไม่ 1
สังเกตุตนว่า เป็นผู้ "รู้จำ แต่ไม่รู้จริง" หรือเปล่า กิเลส...กิเลส..และกิเลส 1
อยากเข้าถึงในธรรม อยากรู้ธรรม อยากลงสู่ธรรม ด้วยความเป็นธรรมะที่แท้จริง เดินตรง แล้วหรือยัง 1
หมั่นสำรวจใน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของตนเองแล้วอย่างดีหรือยัง ในตลอดวันทั้งวัน แล้ว 1
เอาคร่าว ๆ ใน -= ตีตน =- นี้ เท่านี้ก่อน เพราะเรื่องนี้ยาวมาก ในหัวข้อ
"สำรวจ ตน เพื่อ ละตน"
_____________________