แสงเหนือ แสงเหนือ แสงเหนือ
มันสวยมากต้องไปเห็นให้ได้นะเว้ยบอกเลย
------
นี่คือคำพูดที่พร่ำกรอกหูพวกเรามาตลอดเวลาตั้งแต่เรารู้จักคำว่า แสงเหนือ ดังนั้นพวกเราจึงหาข้อมูลกันอย่างหนักหน่วงมากว่าเอาละถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องไปเห็นให้ได้ หลังจากหาข้อมูลเรียบร้อยแล้วพวกเราจึงเหลือแค่เลือกประเทศที่จะไปโดยเราตัดช้อยส์ทุกอย่างออกไปหมดเหลือแค่สองประเทศนั้นก็คือ ไอซ์แลนด์ และ Lofoten นอร์เวย์
แน่นอนเราต้องเลือกไอซ์แลนด์ เหตุผลที่เราเลือกไอซ์แลนด์เพราะเห็นว่าไอซ์แลนด์น่าจะมีธรรมชาติที่หลากหลายกว่า และช่วงที่ไปนั้นค่า KP ค่อนข้างแรงอากาศอุ่นขึ้นบ้างเล็กน้อย การกินการอยู่น่าจะง่ายกว่า (มั้งครับ) 55555
ขอคั่นเวลาเล็กน้อยสำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านยาวๆสามารถไปดู VLOG ของผมได้ที่ Ohm Channel ทาง youtube หรือลิงค์นี้ครับ
(ฝากกดไลค์ กด Subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ)
อะว่ากันต่อ...ทริปนี้เราวางแผนล่วงหน้าหลายเดือนอยู่ครับ แต่เราเริ่มโดยทำการจองตั๋วเครื่องบินและจองบ้านพักต่างๆนั้นประมาณสองเดือน ถามว่าทำไมต้องสองเดือนเพราะว่าเราไล่จองมาเรื่อยๆแต่ยังหาราคาที่ไม่ถูกใจไม่ได้ (เอาง่ายๆคืองกครับตั๋วเครื่องบินแพง 5555) จนมาถึงช่วงเวลาที่เราจองเราเจอกับราคาที่ปฎิเสธไม่ได้เลยครับด้วยตั๋วบินตรงจากประเทศไทยกับสายการบินไทยไปยังโคเปนเฮแกนด้วยราคาตั๋ว 26,600 บาทเหลือแค่สี่ที่นั่งเท่านั้นซึ่งมันตรงกับจำนวนผู้ร่วมทริปของเราในครั้งนี้เลย...จองสิครับรออะไร
โดยการจองของเราในครั้งนี้นั้นเรายังไม่ได้ทำการยื่นวีซ่านะครับ จองและจ่ายเงินไปก่อนไปลุ้นเอาวีซ่าข้างหน้าเพราะราคานี้คงรอไม่ไหวแล้ว
เราทำการจองผ่านเวปไซต์การบินไทยโดยตรง อันดับต่อมาคือเราต้องจองตั๋วจากโคเปนเฮแกนไปไอซ์แลนด์กัน เพราะว่าไอซ์แลนด์นั้นไม่มีบินตรงจากประเทศไทยไปยังไอซ์แลนด์ ดังนั้นมีสองตัวเลือก(อีกแล้ว)ให้เราได้เลือกกันครับคือ WOW Air และ ICELAND AIR
เราเลือก ICELAND AIR ถึงแม้ว่าจะแพงกว่า WOW Air เล็กน้อยเพราะว่า ICELAND AIR ให้น้ำหนักกระเป๋าโหลดมากกว่า WOW Air ครับ
ICELAND AIR ให้ โหลดกระเป๋าได้ นน. 23 กก. ส่วน WOW Air ให้ 20 กก.มากกว่าสามโล
ดังนั้นการจัดประเป๋าของพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้ไม่เกิน 23 โลถึงแม้ว่าต้นทางอย่างการบินไทยจะให้เราได้ถึง 30 โลก็ตามครับ
Tips
ตั๋วการบินไทย----> โคเปนเฮแกน ช่วโปรราคา 26,600 โหลด นน. ได้ 30 โล
ตํ๋วไอซ์แลนด์แอร์ ----> ไอซ์แลนด์ 10,xxx โหลด นน.ได้ 23 โล
ดังนั้นต้องจัดกระเป๋าให้ไม่เกิน 23 โล ที่โคเปนและไอซ์แลนด์นั้นจะทำการเช็คอินด้วยเครื่องดัวยเครื่องดังนั้นค่อนข้างเป๊ะมาก เราเกินมานิดหน่อย
เครื่องเด้งออกมาเลยครับ ต้องไปแก้กระเป๋าแล้วย้ายกันประเป๋ากันยกใหญ่แถมเจ้าหน้าที่เข้มจริงๆ
ตอนนี้ Wow Air ปิดสายการบินไปแล้วนะครับ (01/04/62)
-----
หลังจากได้ตั๋วเครื่องบินแล้วเราก็ทำการจองที่พักต่างๆครับ (ไว้ผมจะไล่เป็นรายวันให้ดูว่าเราพักที่ไหนกันบ้างในแต่ละวัน) พอเราทำการจองเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็นำข้อมูลทั้งหมดนั้นเพื่อไปยื่นขอวีซ่ากันครับ เรายื่นกับทางเดนมาร์กค เพราะว่าเราเข้าเดนมาร์กเป็นประเทศแรกดังนั้นต้องยื่นที่เดนมาร์กครับ เรายื่นวันศุกร์วันจันทร์เราได้แล้ว (เร็วสุดใชีวิตเลยครับขอบอก) เท่าที่ดูแล้วเค้าน่าจะทำเป็นรอบๆครับ เราดันโชคดีไปวันท้ายๆก่อนส่งไปทำ ผมกับสมาชิกในกลุ่มเลยได้เร็วมาก ส่วนข้อมูลการทำวีซ่านั้นสามารถค้าหาจากพี่ๆน้าๆในกลุ่มนี้ได้เลยครับมีข้อมูลครบถ้วนมากๆ
-----
วาร์ปเวลามาถึงการเดินทางของเรา เราเดินทางกันในช่วงต้นเดือนมีนาคมเป็นช่วงปลายหนาวแล้ว สาเหตุที่เราไปช่วงเดือนนี้เพราะว่าเป็นช่วงที่ฝรั่งเค้าบอกว่าเป็นช่วงที่สนามแม่เหล็กของโลกมีพลังงานแรงและส่งผลต่อพลังงานที่ดวงอาทิตย์ส่งมาทำให้สามารถมีโอกาสเห็นแสงเหนือได้มาก อีกอย่างเราอยากไปเห็น Crystal ice cave รวมไปถึง Glacier ขนาดมหึมาครับ เพราะถ้าไปหลังจากนี้เค้าจะปิดไม่ให้เข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Crystal Ice Cave ครับ เราเลยเลือกไปช่วงนี้ โดยเพื่อนๆสามารถเลือกไปตามช่วงได้ดังนี้เลยครับ
ฤดูหนาว --- (ธค - มีค)
ฤดูใบไม้ผลิ --- (เมษ - พค)
ฤดูร้อน --- (มิย -สค)
ฤดูใบไม้ร่วง --- (กย - พย)
-----
หลังจากเดินทางมาถึงเราก็มารับรถกันครับ โดยเราได้ทำการจองกับบริษัท Blue Car Rental อ่านมาจากรีวิวทั้งในพันทิปเองและของต่างชาติเองว่าทีนี่ดีเรื่องการบริการ และความซื่อสัตย์ครับ ไม่จู้จี้จุกจิกเลย เราก็เลยนี่แหละบริษัทเช่ารถที่เราต้องการ
ออกจากสนามบินมาก็เดินตรงออกมาได้เลยครับตามทางที่เป็นหลังคาๆได้เลย ตามป้ายนี้ไปโลด
หลังจากเดินมาประมาณ 300 ม. ก็มาหยุดรอตรงนี้ได้เลย จะมี shuttle bus ของสนามบินมารับเราตรงนี้ ให้ดูไว้ด้วยนะครับว่าบริษัทของเราลงป้ายไหน มีสามป้ายนะครับ โดยหนึ่งกับสองห่างกันนิดเดียวแต่สามนี่ผมไม่รู้ว่าไปถึงไหน ยังไงขึ้นรถแล้วดูด้วยนะครับว่าบริษัทของเราลงป้ายไหน ส่วนเราลงป้ายสอง
เมื่อมาถึงเราก็รับรถกันเรียบร้อยครับ เป็นอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆว่า เรียบง่ายๆจริงๆครับ ยื่นเอกสารมาปั๊ป นี่ๆนะ อันนี้ขอตกลงตามนี้นะ ขับไม่เกินนี้นะ อะเอากุญแจไป จบครับ ซึ่งแตกต่างจากหลายๆที่ที่ไปมามากมาย อ่อแล้วเค้าก็บอกว่าถ้ามีรอยเพิ่มตรงไหนถ่ายมาละกัน จบ นู่นรถคุณ เชิญ !!
เอาซะผมงงเลยครับ เออวุ้ย!! ง่ายจริงๆแฮะ
เอาละครับขออวดรถหน่อยรถของเราที่เราเลือกคือ Kia Sorento ครับ เป็นขับเคลือน 4x4 เผื่อไว้สำหรับกันลื่นหรือติดหล่มในหิมะ และเป็นSUV ทำให้เราสามารถยัดสัมภาระอันพะรุงพะรังได้หมดครับ ขออวดโฉมน้อง KIA Sorento หน่อยนะครับ
เท่อย่าบอกใครเลยละ แถมออฟชั่นภายในดีไม่แพ้รถยุโรปชั้นนำเลยครับ
สัมภาระที่น้อง KIA ต้องทำการแบบให้เราตลอดทั้งทริปครับ เยอะอย่าบอกใครเชียว ^^
หลังจากรับรถกันแล้วเราก็ขอเอาของเข้าที่พักก่อนครับ เพราะเราอยากเอาของไปเก็บบ้านก่อนจะได้มีพื้นที่ท้ายรถสำหรับใส่ของที่เราจะไปซื้อกันเช่น ของสด เนื้อ นมไข่ ต่างๆที่เราเอามาใช้ประกอบทำอาหารสำหรับคืนนี้และพรุ่งนี้เช้าครับ
โดยคืนนี้เราใช้บริการพักของ AirBnB โดยพักที่บ้านของป้า Maria ครับ ที่เมือง Reykjavik ครับ
(ขอบคุณภาพจาก Airbnb ครับ)
ที่เราเลือกที่นี่เพราะดูจากจุดที่จะไปในวันรุ่งขึ้นแล้วไม่ไกลมากครับเราเลยเลือกพักที่นี่ อีกอย่างใกล้พวกร้านค้าเช่น Bonus หรือ Kronan ครับ แต่ขอบอกว่าบ้านอยู่ชั้นบนสุดเล่นเดินกันเอาหอบแฮกๆเลย ต้องนั่งพักกันยกใหญ่ 555+
หลังจากเราเก็บของกันเรียบร้อยแล้วเราก็ไปซื้อของกันครับหลังจากซื้อของแล้วเรายังมีเวลาอีกเล็กน้อยเพราะกว่าจะซื้อเสร็จฟ้าก็จะมืดแล้วครับ เลยขอแวะไปยังโบสถ์ชื่อดังของเมืองนั่นก็คือ
Hallgrimskirkja ครับ มีลักษณะเป็เหมือนแท่งแหลมๆเรียงๆกัน สวยแปลกตาไปอีกแบบ
ก็ได้ท่าโพสกันแบบฮาๆไป
หลังจากถ่ายรูปและเก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับบ้านพักกันเพื่อไปทำอาหาร โดยอาหารสำหรับพรุ่งนี้นั้นเราจะเน้นไปทางแซนวิชครับเพราะสามารถกินได้ง่ายและกินบนรถได้เวลาเดินทาง โดยเราจะเริ่มเดินทางแบบโรดทริปจริงๆจังๆก็คือวันพรุ่งนี้ครับ เพราะวันนี้ยังแทบจะไม่ได้ขับไปไหนเลย วันแรกก็ขอพักผ่อนนอนหลับให้สบายก่อนแล้วกันเนอะ แถมยังต้องนั่งเครื่องนานกว่าเดิมเพราะช่วงที่พวกเราบินนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่ปากีสถานกับอินเดียเค้ายิงกัน เลยต้องทำให้เครื่องบินอ้อมเสียเวลาไปอีกพอสมควรครับ
-------
Day2
ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดใสครับ โดยในวันนี้เรามีแพลนจะเดินทางไปยัง
Bruarfoss ---> Geysir ---> Gullfoss
เราเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าๆ แต่ไม่ถึงกับเช้ามากเพราะว่าต้องการนอนเอาแรงให้พอจากอาการเหน็ดเหนื่อยของการนั่งเครื่องบินและอีกอย่างสถานที่ๆเราจะไปที่แรกนั้นใช้เวลาเดินทางเพียง1.30 ชม.เท่านั้นก็ถึงแล้วครับ การเดินทางในครั้งนี้เราใช้ GPS จาก Google Maps และ Maps.Me เป็นแอพที่ไว้ใช้สำหรับในกรณีที่ไม่มีสัญญานมือถือแอพตัวนี้จะทำงานได้ครับขอบอกว่าใช้ดีมากๆแนะนำให้มีติดเครื่องไว้เลยครับ อ่ออีกอย่าง google maps ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวนั้นก็ไม่ตรงเท่าไหร่นะครับ ไว้เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังอีกที
โดยการเดินทางของเรานั้นได้วางแผนการเดินทางแบบ ทวนเข็มนาฬิกา ของถนน Ring Road หมายเลข 1 ซึ่งเป็นถนนหลักของเมืองนี้ครับ ไล่ไปเรื่อยๆจนวนกลับมาบรรจบยังเมืองนี้อีกครั้ง เป้าหมายแรกของเราคือ Bruarfoss
การขับรถที่นี่ไม่ยากครับ แรกๆอาจจะไม่ชินทางสักเท่าไหร่เพราะพวงมาลับขับซ้าย(บ้านเราพวงมาลัยขวา) แต่พอไปสักพักก็จะชินเองครับ แต่ที่สำคัญคือ
ประเทศนี้รอบๆเมืองหลวงจะมีวงเวียนเยอะมากครับ กฎสำคัญเลยคือ "ต้องให้รถในวงเวียนไปก่อน"
ระหว่างที่ขับไปนั้นเราก็จะพบกับวิวแปลกตาตลอดข้างทางเลยครับ การจอดรถลงไปถ่ายรูปนั้นก็จะมีไหล่ถนนที่ไว้เป็นจุดพักรถให้เราลงไปได้เช่นกันครับ
วิวข้างทางนั้นมีแต่ภูเขาขนาดมหึมาทั้งนั้นเลยครับ เทียบกับตู้คอนเทนนอร์ด้านล่างแล้ว คนละไซส์
สมาชิกในทีม หรือก็คือครอบครัวผมเองครับ 555
ระหว่างทางที่เรากำลังขับไป Bruarfoss นั้นก็จะเจอกับทะเลสาบเล็กๆที่กลายเป็นน้ำแข็ง เราก็ไม่พลาดที่จะลงไปเก็บภาพแน่นอนครับ
ตามไปอ่านตอน 2 ได้ที่นี่ครับ
[CR] ตามล่าฝันกับแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์ (Iceland)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้