เที่ยวทะลุแผนไอซ์แลนด์...ดินแดนลาวา

มีโอกาสดีครับ.  น้องๆที่น่ารักจัดทริปกันไปล่าแสงเหนือไอซ์แลนด์ ก็เลยได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย


         ผมไปช่วงปลายมีนาคมถึงต้นเมษายน อากาศไม่หนาวมากต่ำสุดบางวันก็อาจจะเป็น -4 Cแต่ส่วนใหญ่ จะเป็นเลขตัวเดียวครับ
ความหนาวไม่ค่อยเป็นอุปสรรค ลมล่ะครับ มาเสริมให้ความหนาวมันเพิ่มขึ้นที่นี่ลมแรงเสียด้วยสิ!!

          ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่เที่ยวด้วยตัวเองไม่ค่อยสะดวกนะครับถ้าไม่เช่ารถขับ ...การขนส่งสาธารณะไม่ค่อยจะสะดวกและจุดท่องเที่ยวก็อยู่ห่างกันมากๆด้วย การมาในทริปนี้พวกผมไปกัน 7 คนใช้บริการprivate tour ของน้องคนไทยครับโดยน้องเป็นทั้งคนขับรถและทัวร์ไกด์ให้เลยครับ น้องเขาจะรอรับเราที่สนามบินKeflavikกรุง Reykjavik และส่งเราที่สนามบินเช่นกัน

         รถที่ใช้ในทริปก็เป็น van 12 ที่นั่ง สำหรับ 8 คน รวมคนขับก็นับว่ากำลังพอดีเพราะต้องเว้นที่ให้กระเป๋าอีกคนละใบ...เส้นทางที่เราจะไปเที่ยวคือตามรูปครับ


         ผมเดินทางด้วยป้าม่วงไปต่อเครื่องที่ สนามบิน Arlanda Stockholm ใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง  แล้วเดินทางต่อไปสนามบินKeflavik กรุงReykjavik โดยสารการบิน SASใช้เวลาอีก3 ชั่วโมงกว่าๆ เวลาในไอซ์แลนด์จะตรงกับ UTC + 0 คือช้ากว่าเรา 7 ชั่วโมงและจะไม่มี Day light saving time คือใช้เวลานี้ตลอดทั้งปีครับ ลงเครื่องแล้วเราเที่ยวกันเลย แวะ ชมกรุง Reykjavik เดินเล่นย่านการค้า(ที่จริงคือไปร้านเช่าชุดครับ กระเป๋าของน้องคนหนึ่งค้างอยู่สนามบินArlandaทางสายการบินจึงออก voucher ให้มาเช่าชุด)และเยี่ยมชม Hallgrimskirka


ก่อนจะมุ่งหน้าไปเข้าที่พัก Farmhouse lodge ที่เมือง Vik
ชอบที่พักที่นี่ตรงที่มีห้องครัวรวมกว้างขวาง ถ้ามีคนเข้าพักหลายๆห้องก็น่าจะเป็นที่ที่ได้ใช้สันทนาการหรือทำความรู้จักกันอย่างดี มีจุดเล่นลูกดอกปาเป้า,หมากกระดาน และมีล้อบบี้รวมอยู่ในที่เดียวกัน   



ที่เมืองVikตื่นเช้าไปวิ่งออกกำลังกายเพราะเห็นจุดท่องเที่ยวห่างออกไป 3 กิโลเมตรกว่าๆ อุณหภูมิ 4 องศา ทั้งถนน ทั้งภูมิประเทศโล่งสุดลูกหูลูกตา

  หลังรับประทานอาหารเช้า (ทริปนี้เราทำอาหารกินกันเองเป็นส่วนใหญ่โดยซื้อวัตถุดิบจากซุปเปอร์มาร์เก็ต จึงทำให้ประหยัดไปได้เยอะที่สำคัญถูกปากซะด้วยครับ)





    ออกเดินทางกันต่อเอาบรรยากาศข้างทางตอนนั่งรถมาฝากนะครับ 
https://youtu.be/i2-znKRiy1s?si=33h1VWZyf_5BZ4WQ
   ที่เราไปกันในวันนี้คือ skogafoss เป็นน้ำตกที่ทิ้งดิ่งลงมาอย่างแรงดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่จริงๆ ,หาดทรายดำและสะพานหินโค้งกลางทะเลDyrholaey






   เนื่องจากอากาศวันนี้อากาศไม่ค่อยดีครับมีฝนปรอยๆเป็นช่วงๆ เราเลย ตัดสินใจเข้าที่พักที่
Fosshotel Graceir lagoon โดยจะมาเก็บสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆทีนี่หลังช่วงขาวนกลับมาครับ
ที่Fosshotel Graceir lagoon จะมีjacuzziและsaunaให้ใช้บริการด้วย ที่นี่ถือเป็นห้องพักราคาแพงที่สุดของเราในทริปนี้เลยครับก็เรียกว่าดีเหมือนกันที่ได้มาพักยาวหน่อย..นอนไปยาวๆไม่ต้องลุ้นแสงเหนือเลยครับเมฆเต็มฟ้า


ที่พักตั้งอยู่ข้างๆภูเขาหิมะสวยงาม ตอนเช้าลองออกวิ่งดูอุณหภูมิประมาณ - 2C แต่ไปได้แค่ 1 กิโลเมตรกว่าๆก็ต้องกลับครับมีน้ำแข็งเกาะบนพื้นถนนลื่นมากกลัวจะหกล้มคางแตกซะก่อน 


   ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม
นับว่ามีครบถ้วน ทุกคนก็ได้อิ่มอร่อยกันอย่างเต็มที่ทานตุนเผื่อมื้อเที่ยงกันไปเลยครับ หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปทัวร์ถ้ำน้ำแข็งกันก่อนที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของถ้ำน้ำแข็ง ก็ต้องตื่นหูกับเพลงเซิ้งหมอลำในห้อง lobby ของบริษัท local tour ที่จัดดูถ้ำน้ำแข็งจนต้องแอบกระดิกเท้าโยกตัวไปด้วยนิดๆครับ 555 พนักงานต้อนรับหนุ่มเคยไปประเทศไทยมาแล้วและก็ชอบไทยมากครับ...ก็คงชอบเพลงเซิ้งนี่แหละครับ 555




ทัวร์น้ำแข็งก็จะเริ่มด้วยการแจกหมวกและแจกไฟฉายคาดศีรษะ แล้วก็พาเราขึ้นรถเล็กเพื่อไปยังจุดที่เป็นปากถ้ำ จะเป็นการจอยทริปกับนักท่องเที่ยวยุโรปเช่นสเปน เยอรมันและก็มีจากเอเซียบ้างน่าจะเป็นจีนหรือเกาหลีนี่แหละครับ ช่วงนี้ก็เดินทางเกือบ 30 นาที ทัศนียภาพก่อนจะถึงทางเข้าถ้ำก็แปลกตาดีครับ บางช่วงจะเป็นพื้นที่ที่มีแต่มอสขึ้นอยู่ แต่พอยิ่งใกล้ไปถึงถ้ำก็จะกลายเป็นพื้นที่เรียบๆเห็นบอกว่าเนื่องจากน้ำแข็งขึ้นมาถึงทำให้มอสขึ้นไม่ได้ ก่อนจะเข้าถ้ำเราก็จะได้เห็นธารน้ำแข็งมหึมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธารน้ำแข็ง Vatnajokul



   ถ้ำน้ำแข็งคือถ้ำที่มีผนังเป็นน้ำแข็งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทำให้มีน้ำเซาะธารน้ำแข็งจนเกิดเป็นโพรงถ้ำ ฟังลักษณะการเกิดแล้วก็ถือว่าการมาเดินในถ้ำนี้ก็เป็น adventure นะครับ ไกด์ทัวร์เล่าว่าก็เคยมีนะครับที่ถ้ำถล่ม ...อื๋อ
แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์ ที่คุ้มค่าสวยงามมากครับ ที่สำคัญพวกเราก็ปลอดภัยดีกันทุกคน 




       ออกจากธารน้ำแข็งเราก็มุ่งไปยัง Jokulsarlon ทะเลสาบที่เกิดจากธารน้ำแข็งมีIceberg ลอยเคว้งคว้างชวนมองอยู่เต็ม ตอนที่Jokulsarlon จะไหลลงทะเล iceberg เหล่านี้ก็จะถูกคลื่นซัดไปเคยอยู่ตามชายหาด กลายเป็น Diamond beach สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งที่จริงเราจะเดินจากจุดที่แวะชมJokulsarlonไปก็คงได้








ความงามก็ตามที่เห็นครับแต่ที่แน่ๆคือแปลกตาสุดๆ  นับว่าเราโชคดีมากๆแดดเป็นใจให้กับเราได้ภาพสวยๆจากตรงนี้ พอเราจะออกจาก Diamond beach นั่นแหละครับเมฆและฝนก็มา  เดินทางกันต่อไปที่เมือง Hofn กินอาหารบ่ายและชมเมืองกัน






    แล้วเช่นเคยช่วงบ่ายเมฆครึ้มและฝนเริ่มปรอยๆ ก็เลยตัดสินใจเข้าที่พักที่ Milk factory เอาแรงกันดีกว่าไว้ค่อยไปลุ้นแสงเช้ากันนะ Vestrahorn
     เช้ามาก็ได้ลุ้นกันจริงๆครับ ฟ้าก็ยังครึ้มฝนก็ปรอยๆ Vestrahorn ช่วงเช้าของเราก็ได้ประมาณนี้ครับ






       ออกจาก Vestrahorn  ฝนก็ลงปรอยๆอีกละครับช่วงที่ปรอยเล็กน้อยระหว่างทางย้อนกลับมาเมืองVik เราก็ได้ลงไปถ่ายรูปกับทุ่งมอส ยังไม่ทันจะเสร็จสำเร็จดีฝนก็ลงมาอีกเช่นเคย  


   พักที่Farmhouse lodge กันอีกคืน ได้มีโอกาสออกมาลองกล้อง เล็งดาว และควานหาแสงเหนือกันนิดหน่อย ครับดูเหมือนฝ้าเริ่มเปิด แต่ก็ไม่ได้เจอกับแสงเหนือครับ...

      ตื่นเช้าที่Vik ก็ได้Morning run อีกครั้ง เลือกไปด้านภูเขาครับ วันนี้ฟ้าเปิดครับได้ออกไปชมเมืองVik ชมจุดชมวิวโบสถ์แดง,แวะไปดู ซุ้มประตูหินโค้งและ Black sand beach กันแบบเต็มๆครับ









      เก็บภาพกันพอสมควรแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อไปเก็บตกน้ำตกSeljalanfoss น้ำตกที่เราสามารถเดินอ้อมไปทางด้านหลังของน้ำตกได้ ถ้ากลัวเปียกก็ต้องสวมเสื้อฝนไปนะครับถึงแม้จะเป็นการเดินอ้อมไปด้านหลังของน้ำตกแต่เนื่องจากน้ำและลมแรง จึงขอรับประกันความเปียก!!!




     
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่