ทำงานกับ Start up ญี่ปุ่น ธุรกิจนี้ ควรอยู่หรือควรไป?

เราขอความคิดเห็นของทุกคน เพราะเราเองก็ถามตัวเองคำถามนี้มา หลายครั้งเหมือนกัน เลยอยากรู้ว่าใครเคยประสบ เหตุการณ์ลักษณะเเบบนี้มาบ้าง?
.
เรามีประสบการณ์ด้านการตลาด มากว่า 4 ปี งานก่อนหน้าที่นี้ที่เราทำอยู่ถามว่าชอบไหมเราชอบ เราได้รับงานเสนอมาจากบริษัทจัดหางานชื่อดังของญี่ปุ่น เสนองานในตำเเหน่งการตลาด ในบริษัท start up ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ในไทยเเละต้องการคนที่รู้เรื่องการตลาดเข้าไปชี้ทางเเละหาเเนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจ ตอนเเรกเรากังวลนะ  เพราะ 4 ปีที่ผ่านมาเราทำงานกับบริษัทต่างชาติ (ฝั่งยุโรป) ซึ่งสไตล์การทำงานเรียกได้ว่าสุดขั้วเลย เขาบอกว่าไม่นะบ.นี้เป็นญี่ปุ่นโมเดิล เปิดรับทุออย่าง ไม่ใช่ญี่ปุ่น (จ๋า)
.
เราก็โอเครรับพิจารณาลองไปคุยหน่อยละกัน สรุปสัมภาษณ์ 3 ครั้ง รอบเเรก รีครูทสกีนคน รอบสอง HR จากฟิลิปปินส์ รอบ 3 กับคนญี่ปุ่น 2 คน คนไทย 1 คน (เรียกได้ว่ามาราธอนมาก) เนื้อหางานที่คุยตอนสัมภาษณ์คือการเข้ามาทำงาน Marketing เเละหา Leads ซัพพอต ทีมเซลล์ ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เราสนใจนะเพราะถือเป็นธุรกิจใหม่ ที่ผ่านมาเราทำเกี่ยวกับบริษัท post production, Recruit, retail, ecommerce เรามองว่าธุรกิจน่าสนใจคู่เเข่งเยอะ เเละเรายังมีโอกาสพัฒนาทักษะเเละศักยภาพกับธุรจกิจใหม่ๆ
.
เราตอบโอเคร ก่อนที่เราจะเเจ้งออก ปกติเเล้วเราเป็นคนชอบขอเซ็นสัญญาก่อนเพื่อเป็น หลักประกันว่าเราได้งานเเล้วจริงๆ เเล้ว Job des ตรงตามที่คุยกัน บริษัทรีครูทตามเรื่องให้เเต่ บ.ญี่ปุ่นให้ใบตอบรับเป็น agreement ว่าเรารับเเล้วนะในตำเเหน่งงานด้านการตลาด เขาไม่สามารถทำสัญญาได้ทันให้มาเซ็นวันเริ่มงานได้เลย ตอนเเรกเอะใจนะ เเต่ก็เอาวะลองเชื่อใจบริษัทรีครูทดู เเล้วเราก็เเจ้งออก
.
วันเริ่มงาน เมื่อเราเห็นสัญญา เขาระบุเนื้อหางานการตลาดกับเซลล์ เราก็ลงทำไม Marketing under sales เเล้วให้เราทำ Marketing กับ Sale ณ ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้ สํญญาก็เพิ่งเห็น งานที่เก่าก็ลาออกมาเเล้ว ครั้นจะไปหาใหม่ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน เราก็เลยเซ็น เเละเเจ้งบริษัทรีครูทว่า สัญญาไม่ตรงกับที่เเจ้งไว้ สวัสดิการก็ไม่มีเเบบที่เเจ้ง บริษัทรีครูทเองก็เพิ่งรู้เช่นกัน เพราะไม่เหมือนกับที่คุยไว้
.
เราก็ ลองทำก่อนละกัน ขณะที่รอบ.รีครูท เคลียร์กับบริษัทนี้ 
เอาหล่ะ เริ่มประเด็นเลย เพราะนอกจากสัญญาที่กำกวมเเล้ว งานที่ได้รับมอบหมายก็กำกวมเช่นเดียวกัน พอเริ่มงานเจอ บอสที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งคนนี้เรียกได้ว่าญี่ปุ่น จ๋ามาก Bossy สุดๆ ถามว่าสตั้นไหม จะเหลือเหรอ.... คนนี้ไม่เคยเห็น เขาถูกส่งมาดูสาขาที่ไทยเพราะผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด (บริษัทเปิดตัวได้ 3 เดือน ณ ตอนนั้น เเต่ต้องการ ROI สูงเท่าทุน ) จะเรียกว่ามากดดันยอดขายก็ว่าได้ 
.
ขออธิบายโครงสร้างธุรกิจก่อนว่า เราอยู่ position ตรงไหน เรา under sale เราว่าโครงสร้างไม่ถูกเท่าไหร่
                                              บอสญี่ปุ่น              บอสญี่ปุ่น                บอสญี่ปุ่น              บอสญี่ปุ่น

                                            Sale Manager (คนญี่ปุ่น)                         Operation Manager (คนไทย) 

            Marketing (เราเอง)                                           Sale (คนไทย)                              Account (คนไทย)

Role เเรก  บอสญี่ปุ่น > Sale Manager > Marketing / Sale
Role สอง  บอสญี่ปุ่น > Operation Manager > Account / Sale
Role สาม  บอสญี่ปุ่น > Sale Manager > Operation Manager / Marketing / Sale ( Role นี้เราประสบอยู่) 
Operation Manager ไม่สามารถตัดสินใจได้ ต้องกลับไปถาม ญี่ปุ่น Sale Manager ทุกครั้ง ทุกอย่าง เช่นเดียวกันกับเรา เราเข้าใจนะว่าญี่ปุ่นคือชาตินิยมการสั่งงานบางครั้งมาที่ญี่ปุ่นโดยตรงไม่สนว่าตำเเเหน่งนั้นเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม อึดอัดไหม? อึดอัดสิ มันเหมือน คอขวด ทุกอย่างรวมที่คนเดียว เเล้วคนเดียวก็เอาไปเสนอบอสทั้งหลาย บางเเคมเปญที่มาร์เกตติ้งจะจัดก็ไม่ผ่านเพราะโครงสร้าง Marketing under sale (บอกเลยว่า เขาไม่ได้มีความเข้าใจด้านการตลาดเลย) ฉะนั้น เเคมเปญทั้งหลายก็ถูกเบรกโดยเธอผู้นี้นี่เอง เเละบางอย่ากว่าจะได้อนุมัติบางเรื่องก็สายไปเสียเเล้ว......
.
อีกเรื่อง เเม้บริษัทนี้จะเพิ่งก่อตั้งสาขาในไทย เพียง 3 เดือน เเต่อัตราการ Turnover สูงมาก เเละส่วนใหญ่คือคนไทย เเละออกกระทันหันมาก คือลาออกเอง ตอนเราเข้ามาตอนเเรก เราเคยโดยเตือนจากคนก่อนว่า ที่นี่ต้องเคลียร์ Job des ให้ชัดเจน เพราะทุกอย่างตอนเเรกดูสวยงามเเต่เอาจริงๆเเล้วไม่ใช่ ด้วยความที่ว่า Positive ใส่ๆมากในตอนเเรก เราก็ไม่ได้ฟังความข้างเขามาก เราเข้าใจนะ เรื่องเนื้อหางาน (ตอนนี้ตอบได้ว่า เขาพูดถูกจริงๆ) เคยถามเหตุผลที่เขาออก เขาบอกด้วยเนื้อหางาน เเละ คนญี่ปุ่น.... 
.
โอเครเราเข้าใจในความเป็นจริงเเล้ว Marketing นั้น คือสิ่งที่เราทำเพื่อนำไปสู่กับสร้าง sales lead หรือ prospects หรือที่หมายถึง ผู้ที่มีโอกาสซื้อ ส่วน Sales นั้นคือสิ่งที่เราทำเพื่อ close the sale หรือ ปิดการขาย ทั้งสองสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกธุรกิจจะต้องมีและเข้าใจถึงความสำคัญของการมองสองสิ่งนี้แยกจากกัน แต่ต้องให้ทำงานร่วมกันได้ เพราะการมีกิจกรรมการตลาดที่ชัดเจน เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การสร้างแบรนด์ การส่งอีเมลล์หรือจดหมายนั้น จะเป็นการสร้างจำนวนผู้สนใจซื้อ ซึ่งนำไปสู่การทำกิจกรรมการขาย ซึ่งประกอบไปด้วยการติดต่อกับผู้คน เช่น การสุ่มโทรศัพท์ cold call การนัดคุยกับผู้มีโอกาสซื้อ หรือแม้กระทั่งการเข้าสังคม networking นั้นก็จะทำให้เราสามารถมีอัตราผู้ซื้อต่อผู้สนใจซื้อที่สูงขึ้นไปด้วย 
.
เราทำงานร่วมกันได้เเต่เราอยู่คนละส่วน (Marketing ไม่ใช่ Sale ค่ะ เป้าหมายก็ไม่เหมือนกันเเล้ว)  เเต่ก็เอาเถอะพูดถึงเรื่องโครงสร้างเราลงรายละเอียดไม่ได้ เป็นพนักงานก็ก้มหน้าทำงานไปจ่ะ ....
.
ต่อเลย เดือนเเรกเราต้อง rebrand ใหม่หมด สร้าง กลุ่มเป้าหมายทั้งหมด เพราะเขาไม่มีการทำ Market reserch เลยยยยยย ไม่เหมือนที่คุยกับเราไว้เลย ว่าเขาศึกษาการตลาดมาอย่างดีก่อนเปิดตัวสาขาที่กรุงเทพ ศึกษาคู่เเข่งเรียบร้อยเเล้ว เเต่พอเรามาทำกลับไม่เป็นอย่างที่เเจ้งไว้เขาไม่มี reserch ใดๆเลย เขาเพียงเเค่ ค้นราคาคู่เเข่งจากอินเตอร์เน็ต เเละก็ก่อตั้งบริษัทเลย ฮัลโหลลลล ยาวมากกกก Business plan ไม่มี Company Passion ไม่มี เราก็โอเคร เริ่มใหม่จ้า
.
Passion ด้านการตลาดเราเเรงเเต่ถูกเบรกด้วย การที่เขาให้เราทำ เซลล์ สารภาพเลยว่า เราไม่ถนัดเซลล์เลย เขาให้เราทำเซลล์ถึง 60- 70% ในเเต่ละวัน จนทำให้ performance การตลาดเราลดลงมาก ประเด็น!!! พอเราโฟกัสเซลล์ เขาถามว่าทำไมไม่ดู มารเกตติ้ง พอเรากลับมาดูด้านมาร์เกตติ้ง เขาถามเราว่า ทำไม ยูไม่ follow up Sale ? เฮ้ออออ ทุกครั้งมันทำให้เรารู้สึกว่าเรายังทำงานได้ไม่ดีพอ 
.
เราปรึกษาบริษัทรีครูทหลายครั้งถึงกับถอดใจ เเต่ด้วยความที่เรายังรู้สึกท้าทายในธุรกิจนี้อยู่เราจึงเอาวะ ลองดูอีกครั้งละกัน คิดบวก
.
เราเริ่มจัดตารางการทำงานของเราใหม่ เเบ่งสัดส่วนชัดเจน  ลองปรับให้เข้ากับ ญี่ปุ่นสไตล์  ด้วยความที่ว่าบริษัทเพิ่งเปิดตัว ROI จึงยังไม่มี เขาจึงประหยัดงบทุกอย่าง ย้ำว่า ทุกอย่างงงง งบที่เราได้ในการทำการตลาดคือ 25K - 30K ต่อเดือน เรามองว่ามันน้อยยยมากกกในการสร้าง Brand สร้างการรับรู้เเละการหาหลีด เเต่ก็นะฐานะนักการตลาดเราก็ต้องหาลูกค้าให้ได้ในงบประมาณที่จำกัด เราบอกเลยว่าหาลูกค้ายากมาก เครื่องมือเราไม่พร้อม Website ยังไม่มี มีเเต่เว็ปกลางที่ใช้ร่วมกับสาขาอื่นในต่างประเทศ ซึ่ง Backend Track ยากมาก บอกเลยว่าหาลูกค้าไม่ง่ายเลยทีเดียวสำหรับธุรกิจนี้
.
เเละเเล้ว โจทย์ใหม่ก็มา เมื่อเราหาลูกค้าให้เขาได้ พอลูกค้าเข้ามาดูผลิตภัณฑ์เรา กลับมีอัตรา Bounce Rate สูงมาก คือเข้ามพื้นที่เเล้วกลับไม่สนใจ
.
คำถามจากBossesทั้งหลายคือทำไมลูกค้าจึงไม่สนใจ?
กลุ่มเป้าหมายคุณถูกหรือเปล่า?

โอเครย้อนกลับไปที่conceptสไตล์คือญี่ปุ่นเเต่มันไม่ตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยFunctionไม่ได้ไม่ตอบโจทย์ความต้องการเเละลูกค้าที่ มีอัตรา Bounce Rateสูงคือกลุ่มคนไทยฉะนั้นปัญหาที่เราเจอคือผลิตภัณฑ์เราไม่ได้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้มากเเต่บอสสสสต้องการให้เราหากลุ่มลูกค้าคนไทยให้ได้เราก็โอเครได้จ้าาาา
.
เข้าไปทำความเข้าใจกระบวนการขั้นตอนที่ฝ่ายขายจะต้องเผชิญในการทำการขาย เพื่อที่จะสามารถพัฒนาสื่อมาสนองขั้นตอนที่เกิดขึ้นแต่ละขั้น เเละตอบคำถามบอส ทั้งหลาย สรุปได้ว่า ลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นคนไทย 80% อัตรา Bounce Rate สูงถึง 50% เเละเป็นกลุ่มลูกค้าไทยส่วนใหญ่ ฟีดเเบ็คที่เราได้คือ ราคาเเพง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะได้รับ ยังไม่ตอบโจทย์ เราจึงนำเสนอเรื่องนี้ขึ้นที่ประชุม เพราะเราไม่ควรมองข้ามสิ่งเหล่า เนื่องด้วยเราคือธุรกิจบริการเราควรปรับปรุง ถ้าคู่เเข่งมีมากกว่า เราเสียเปรียบเเน่นอน เเละลูกค้าก็เลือกไปหาคู่เเข่งเราจริงๆด้วย เขายอมจ่ายเเพงกว่าเพื่อเเลกกับสิ่งอำนวยความสะดวกข้างใน
.
(เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยและเทคโนโลยี สิ่งที่เคยเข้าใจอย่าง Marketing และ Sales ก็ต้องผ่านการมองแบบมิติใหม่ โดยที่ไม่ลืมที่จะมองให้เป็นเรื่องต่างกัน จริงๆนะ)
.
สิ่งที่เราได้รับ บอสเเจ้งว่าคุณจะเอาฟีดเเบ็คจากกลุ่มลูกค้ากลุ่มเล็กๆ มาตัดสินว่าผลิตภัณฑ์เราไม่ดี คุณอย่าเอาความคิดลบของคุณเองมาทำให้เราไม่สามารถขายสินค้าได้ ฮัลโหลลลยาวมาก เราเพียงนำเสนอจุดอ่อนของเราที่ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะมีลูกค้าเท่านั้น เรากลับถูกมองว่าเราคิดลบกับผลิตภัณฑ์ เราก็โอเคร ลองวิธีนี้ เราถามเขาว่า ถ้าเรายังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์เราดีพอเราจะหาจุดเเข็งเพื่อให้เรา โดดเด่นจากคู่เเจ่งได้อย่างไร เรามาลองทำ SWOT กันไหม เเบบไม่หลอกตัวเองนะ สรุป Denied! งืออออยากร้องไห้  ปัญหาหลักคือเราไม่บอมรับความจริง ว่าเรามีข้อบกพร่อง เราเลือกที่จะมองข้ามจุดอ่อนเหล่านั้นไป จนเขาลืมคำนึงว่าจุดอ่อนเหล่านี้มันกระทบ จุดอ่อนในอีกหลายๆจุด เเละมันจะส่งผลกระทบระยะยาวมาก
.
เเละ Loop นี้ก็วน มาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา ที่เราทำงานที่นี่มา จนทำให้เรารู้สึกกดดัน เเละอึดอัด ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
.
หนักสุด!!! เขากำลังหาธุรกิจมา Takeover เเล้วพนักงานคนไทยล่ะ? เราไม่รู้เรื่องเลย ความรู้สึกเหมือนกำลังจะโดนเท... 
.
เรากลับมานั่งคิดว่า งานนี้ตอบโจทย์ Career Goal ของเราเเล้วหรือยัง หรือว่าเราอยู่ผิดที่จริงๆ หรือว่าเรายังไม่มีศักยภาพที่ดีพอ 
.
พี่ๆทุกคน คิดเห็นเป็นประการใดบ้าง เเชร์ได้เลยนะคะ 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่