ระหว่างที่การเมืองกำลังเข้มข้น ผมขอขัดจังหวะด้วยเรื่องย่อจากการตูนแนวการเมืองเรื่องหนึ่งแล้วกัน
ช่วงหนึ่งในเรื่องจะเล่าถึงการขับเคี่ยวกันในการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลของกลุ่มพรรคการเมืองของญี่ปุ่น
4 กลุ่มเพื่อตัดสินทิศทางของวิกฤตการเมืองระหว่างประเทศกับกลุ่มมหาอำนาจโดยเฉพาะอเมริกาว่าจะไปทิศทางใด
พรรคที่สมัครลงเลือกตั้งทั้งหมดมี 4 พรรค
ขอเรียกว่าพรรค A, B, C และ D แล้วกัน
โดยพรรค A และ B เคยเป็นพรรคเดียวกันมาก่อนแต่เกิดข้อขัดแย้งทางการเมืองจึงแตกออกมาเป็นสองพรรค
พรรค C เองก็ไม่ใช่พรรคเดียวกันแต่เป็นการเกาะกลุ่มกันของพรรคเล็กเป็นแนวร่วมสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้
ข้อน่าสังเกตคือพรรค C และ D มีผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่อายุน้อยแต่ต่างขั้ว
ผู้นำ C จะไปแนวสังคมนิยมส่วน D จะเป็นหัวก้าวหน้า
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่า พรรค A และ B ได้คะแนนมากเป็นอันดับ1 ร่วมกัน พรรค C ได้ที่สองและ D ที่สาม
แต่หัวหน้าพรรค D สังเกตจุดสำคัญได้ว่าคือทั้งสามพรรคไม่มีใครที่ได้คะแนนเกินครึ่งและทั้งสามพรรคนี้ไม่มีทางที่จะร่วมรัฐบาลกันได้
จึงไปออกรายการโทรทัศน์ประกาศจุดยืนว่าจะร่วมเป็นรัฐบาลด้วยเงื่อนไขข้อเดียวคือการยอมดำเนินนโยบายหาเสียงของพรรค D
ซึ่งก่อนหน้าการเลือกตั้ง นโยบายนี้ได้ถูกยกขึ้นมาถกในรายการดีเบตระหว่างพรรคทั้ง 4 และพรรค
A, B และ C ไม่มีใครเห็นด้วยด้วยแต่พอถึงจุดนี้ถ้าอยากเป็นรัฐบาลก็ต้องยอมตามพรรค D
วันต่อมาหลังประกาศจุดยืน พรรค C ติดต่อทางโทรศัพท์ยอมรับขอเสนอแต่ที่ปรึกษาพรรค D
อดีตหัวหน้าพรรคได้แนะนำหัวหน้าพรรค D ว่าสถานการณ์แบบนี้พรรค C มีโอกาสแนวร่วมวงแตกสูงมาก หัวหน้าพรรค
D จึงขอให้หัวหน้าพรรค C ไปยันยืนในแนวร่วมของตัวเองก่อนว่าวงจะไม่แตก
แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ที่ปรึกษาพรรค D ได้คิดไว้จริง ๆ
พรรค B ใช้วิธีติดต่อพรรคแนวร่วมของพรรค C แต่ละพรรคเพื่อดึงตัวมาอยู่กับพรรค B ด้วยกระสุนดินดำ
เป็นฉากที่ savage มากฉากหนึ่งเจรจาไปก็เอากระสุนดินดำเป็นปึก ๆ มากองต่อหน้า ยังไม่ยอมก็กองไปอีก กองไปเรื่อย ๆ
ส่วนพรรค A ก็ส่งคนไปเจรจากับหัวหน้าพรรค D ขอให้มาร่วมรัฐบาลด้วยเงื่อนไขอื่น
แต่เจอหัวหน้าพรรค D กล่อมกลับและปิดด้วยประโยคสุดเท่ว่า
“สำหรับนายมีแค่ญี่ปุ่น แต่ฉันแบกโลกไว้”
สุดท้ายพรรค A ก็ยอม
หลังพรรค A ยอมตามเงื่อนไขของพรรค D และข่าวเรื่องพรรค C วงแตกรู้ถึงหูพรรค A และ D แล้ว
หัวหน้าพรรค D จึงเป็นคนไปติดต่อหัวหน้าพรรค C เพื่อดูว่า สส. แปรพรรคไปกี่คนและเหลือกี่คน
ผลคือพรรค C ยังเหลือจำนวน สส. ที่พอคำนวณแล้วมากพอที่จะชนะการโหวตนายกได้หากร่วมกับพรรคA และ D จะจึงชวนพรรค
C ให้มาร่วมรัฐบาล
หัวหน้าพรรค C ปฏิเสธเพราะมองว่าการเมืองจะมีเพียงสองฝากไม่ได้จำเป็นต้องมีฝากความเห็นที่สามคอยถ่วงดุน
แต่ก็โดนหัวหน้าพรรค D ด่ากลับไปประมาณว่าเล่นการเมืองเป็นเด็กอมมือ การเมืองความจริงแล้วมันก็แค่ขาวหรือดำ Yes or No เท่านั้นเพียงแต่มันมีปัจจัยอื่นที่ทำให้มันดูซับซ้อนขึ้น ประเด็นคือเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจ Yes or No แค่นั้นการไม่ตัดสินใจโดยอ้างว่าจะเป็นความเห็นที่สามไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเป็นการเล่นการเมืองแบบเด็กอมมือที่ไม่อยากตัดสินใจและไม่รู้จักรับผิดชอบ ตัดสินใจซะ มาช่วยฉันเถอะ
หัวหน้าพรรค C เข้าใจแต่ก็ไม่ต้องการทิ้งแนวทางของตนเช่นกัน ตอนลงคะแนนเลือกนายกจึงลงสมัครนายกด้วยแต่ก็สั่งให้ลูกพรรคที่เหลือลงคะแนนให้หัวหน้าพรรค A ให้หมด ส่วนตัวเองยอมได้ 1 คะแนนและทำให้พรรค A ได้เป็นรัฐบาลในที่สุด
ถือว่าเป็นเรื่องเล่าไว้อ่านขั้นเวลาระหว่างที่การเมืองกำลังเข็มข้นแล้วกันครับ
ส่วนว่ามันจะไปคล้ายหรือชวนให้คิดแบบไหนก็แล้วแต่วิจารณญาณครับ
เรื่องเล่าขั้นเวลาระหว่างการเมืองกำลังเข้มข้น
ช่วงหนึ่งในเรื่องจะเล่าถึงการขับเคี่ยวกันในการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลของกลุ่มพรรคการเมืองของญี่ปุ่น
4 กลุ่มเพื่อตัดสินทิศทางของวิกฤตการเมืองระหว่างประเทศกับกลุ่มมหาอำนาจโดยเฉพาะอเมริกาว่าจะไปทิศทางใด
พรรคที่สมัครลงเลือกตั้งทั้งหมดมี 4 พรรค
ขอเรียกว่าพรรค A, B, C และ D แล้วกัน
โดยพรรค A และ B เคยเป็นพรรคเดียวกันมาก่อนแต่เกิดข้อขัดแย้งทางการเมืองจึงแตกออกมาเป็นสองพรรค
พรรค C เองก็ไม่ใช่พรรคเดียวกันแต่เป็นการเกาะกลุ่มกันของพรรคเล็กเป็นแนวร่วมสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้
ข้อน่าสังเกตคือพรรค C และ D มีผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่อายุน้อยแต่ต่างขั้ว
ผู้นำ C จะไปแนวสังคมนิยมส่วน D จะเป็นหัวก้าวหน้า
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่า พรรค A และ B ได้คะแนนมากเป็นอันดับ1 ร่วมกัน พรรค C ได้ที่สองและ D ที่สาม
แต่หัวหน้าพรรค D สังเกตจุดสำคัญได้ว่าคือทั้งสามพรรคไม่มีใครที่ได้คะแนนเกินครึ่งและทั้งสามพรรคนี้ไม่มีทางที่จะร่วมรัฐบาลกันได้
จึงไปออกรายการโทรทัศน์ประกาศจุดยืนว่าจะร่วมเป็นรัฐบาลด้วยเงื่อนไขข้อเดียวคือการยอมดำเนินนโยบายหาเสียงของพรรค D
ซึ่งก่อนหน้าการเลือกตั้ง นโยบายนี้ได้ถูกยกขึ้นมาถกในรายการดีเบตระหว่างพรรคทั้ง 4 และพรรค
A, B และ C ไม่มีใครเห็นด้วยด้วยแต่พอถึงจุดนี้ถ้าอยากเป็นรัฐบาลก็ต้องยอมตามพรรค D
วันต่อมาหลังประกาศจุดยืน พรรค C ติดต่อทางโทรศัพท์ยอมรับขอเสนอแต่ที่ปรึกษาพรรค D
อดีตหัวหน้าพรรคได้แนะนำหัวหน้าพรรค D ว่าสถานการณ์แบบนี้พรรค C มีโอกาสแนวร่วมวงแตกสูงมาก หัวหน้าพรรค
D จึงขอให้หัวหน้าพรรค C ไปยันยืนในแนวร่วมของตัวเองก่อนว่าวงจะไม่แตก
แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ที่ปรึกษาพรรค D ได้คิดไว้จริง ๆ
พรรค B ใช้วิธีติดต่อพรรคแนวร่วมของพรรค C แต่ละพรรคเพื่อดึงตัวมาอยู่กับพรรค B ด้วยกระสุนดินดำ
เป็นฉากที่ savage มากฉากหนึ่งเจรจาไปก็เอากระสุนดินดำเป็นปึก ๆ มากองต่อหน้า ยังไม่ยอมก็กองไปอีก กองไปเรื่อย ๆ
ส่วนพรรค A ก็ส่งคนไปเจรจากับหัวหน้าพรรค D ขอให้มาร่วมรัฐบาลด้วยเงื่อนไขอื่น
แต่เจอหัวหน้าพรรค D กล่อมกลับและปิดด้วยประโยคสุดเท่ว่า
“สำหรับนายมีแค่ญี่ปุ่น แต่ฉันแบกโลกไว้”
สุดท้ายพรรค A ก็ยอม
หลังพรรค A ยอมตามเงื่อนไขของพรรค D และข่าวเรื่องพรรค C วงแตกรู้ถึงหูพรรค A และ D แล้ว
หัวหน้าพรรค D จึงเป็นคนไปติดต่อหัวหน้าพรรค C เพื่อดูว่า สส. แปรพรรคไปกี่คนและเหลือกี่คน
ผลคือพรรค C ยังเหลือจำนวน สส. ที่พอคำนวณแล้วมากพอที่จะชนะการโหวตนายกได้หากร่วมกับพรรคA และ D จะจึงชวนพรรค
C ให้มาร่วมรัฐบาล
หัวหน้าพรรค C ปฏิเสธเพราะมองว่าการเมืองจะมีเพียงสองฝากไม่ได้จำเป็นต้องมีฝากความเห็นที่สามคอยถ่วงดุน
แต่ก็โดนหัวหน้าพรรค D ด่ากลับไปประมาณว่าเล่นการเมืองเป็นเด็กอมมือ การเมืองความจริงแล้วมันก็แค่ขาวหรือดำ Yes or No เท่านั้นเพียงแต่มันมีปัจจัยอื่นที่ทำให้มันดูซับซ้อนขึ้น ประเด็นคือเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจ Yes or No แค่นั้นการไม่ตัดสินใจโดยอ้างว่าจะเป็นความเห็นที่สามไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเป็นการเล่นการเมืองแบบเด็กอมมือที่ไม่อยากตัดสินใจและไม่รู้จักรับผิดชอบ ตัดสินใจซะ มาช่วยฉันเถอะ
หัวหน้าพรรค C เข้าใจแต่ก็ไม่ต้องการทิ้งแนวทางของตนเช่นกัน ตอนลงคะแนนเลือกนายกจึงลงสมัครนายกด้วยแต่ก็สั่งให้ลูกพรรคที่เหลือลงคะแนนให้หัวหน้าพรรค A ให้หมด ส่วนตัวเองยอมได้ 1 คะแนนและทำให้พรรค A ได้เป็นรัฐบาลในที่สุด
ถือว่าเป็นเรื่องเล่าไว้อ่านขั้นเวลาระหว่างที่การเมืองกำลังเข็มข้นแล้วกันครับ
ส่วนว่ามันจะไปคล้ายหรือชวนให้คิดแบบไหนก็แล้วแต่วิจารณญาณครับ