สถานการณ์เปลี่ยน วงค์ ตาวัน ข่าวสดออนไลน์
ท่า ทีใหม่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น มีการมองในหลายแง่มุม ไม่เชื่อถือบ้าง หวาดระแวง
บ้าง แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหนก็ตาม อย่าไปยึดติดแค่ชื่อเสียง หรือยึดถือแค่การตี
ยี่ห้อว่าเป็นคนดีคนเลว
ต้องมุ่งเน้นสาระว่า เขากำลังเสนออะไร ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยและกรอบรัฐธรรมนูญหรือไม่
การที่นายอภิสิทธิ์เน้นการพูดคุยเจรจากับทุกฝ่าย
รวม ทั้งเริ่มยอมรับว่า ต้องยึดหลักการเลือกตั้งเป็นทางออกที่ดีที่สุด ประชาชนได้ใช้อำนาจมือ
ของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่หัวหน้าม็อบคนเดียวมาอ้างแทนคนอื่นๆ
เมื่อนายอภิสิทธิ์ใช้คำว่า การเลือกตั้งและการปฏิรูป ไปพร้อมๆ กันได้ อย่างนี้บ้านเมืองมีทางออก
ได้แน่!
เพราะท่าทีของนายกฯยิ่งลักษณ์ นำเสนอมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ต้องเลือกตั้ง เพราะตอนนี้รัฐบาลยุบ
สภาคืนอำนาจให้ประชาชนไปแล้ว
เลือกตั้งเสร็จ จะได้รัฐบาลที่ชอบธรรม มาโดยอำนาจในมือประชาชนอันพิสูจน์ได้มีตัวเลขคน
เข้าคูหาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
แล้วรัฐบาลใหม่กับสภาใหม่ จะเดินหน้าปฏิรูปการเมือง
ปฏิรูปเสร็จก็ยุบสภา แล้วมาเลือกกันใหม่ ให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองใหม่อีกรอบ
ถ้านายอภิสิทธิ์เดินตามแนวทางนี้ ไม่เดินไปพลิ้วไปอีก!?
เชื่อว่าไปได้แน่ เพราะสอดรับกับท่าทีของฝ่ายรัฐบาล และพลังประชาธิปไตย
บ้านเมืองเราจะได้พ้นวิกฤตรอบนี้ไปเสียที แล้วหลังจากนั้นมากำหนดโฉมหน้าการเมืองที่ดีกว่านี้
ด้วยรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
เพื่อจะได้แก้วิกฤตการเมืองไทยให้ลงลึก
มี การวิเคราะห์ว่า เหตุที่นายอภิสิทธิ์พลิกท่าที สอดรับกับกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังม็อบ ที่เริ่มยอมรับ
แล้วว่า ถ้า 5-6 เดือนแล้ว ไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ต้องยอมรับความจริงว่า
สิ่งที่คิด สิ่งที่ฝันนั้น มันเป็นไปไม่ได้
นายกฯ มาตรา 7 ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
กล่าวกันว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเริ่มเห็นแล้วว่า ต้องกลับมาหาการเลือกตั้งและเดินหน้าปฏิรูป
การเมืองไปพร้อมกัน
ครั้นจะหวังพึ่งองค์กรอิสระ ก็เริ่มพบความจริงว่า โดยข้อมูลข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ได้มี
บรรทัดฐานการวินิจฉัยคดีมาก่อนหน้านี้แล้ว
เป็นไปได้ยากที่จะใช้กระบวนการตุลาการภายใต้ธงการเมือง
แถมกระบวนการป.ป.ช.นั้น พบว่า เมื่อเปิดช่องให้พยานฝ่ายนายกฯ เข้าเบิกความ
การจะใช้เหตุผลการเมืองอยู่เหนือข้อมูลการสอบสวน ก็เป็นไปได้ยาก
วันนี้จึงยอมรับทางออกไปสู่การเลือกตั้งเท่านั้น!
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU9EWTVOalE0Tmc9PQ==§ionid=
แยกบทเล่นตอนใกล้จบโดย ทีมข่าวการเมือง ไทยรัฐออนไลน์
แข่งกันเดินสายขาขวิดเลยก็แล้วกัน
ทางหนึ่ง “กำนันเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ก็นำมวลชนแห่ไปชักชวน
แนวร่วมเพื่อปิดเกมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ตีธงต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเท่านั้น
อีกทางหนึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็แวบเข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์
ปฏิมาประกร ผบ.ทหารสูงสุด หลังจากก่อนหน้าเพิ่งเข้าพบปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อหา
แนวร่วมสนับสนุนโรดแม็ปทางออกวิกฤติ ด้วยการเดินหน้าเลือกตั้งไปพร้อมๆกับการปฏิรูป
ประเทศ
ไม่สนุกด้วยแล้วกับมุก “บอยคอต”
“สุเทพ-อภิสิทธิ์” คนกันเองแย่งซีน ตัดกระแสกันเองซะอย่างนั้น
ในจังหวะหักมุม จะมองว่าตีสองหน้าหลอกตบตาคนดู เหยียบเท้ากันเล่นหรืออะไรก็มองกันไป
แต่ที่แน่ๆประเมินกันตามเงื่อนไขไฟต์บังคับ สถานการณ์มาถึงตรงนี้
“อภิสิทธิ์” จำเป็นต้องชิ่งออกจากมวลชน กปปส. หลังม็อบเริ่มซา
เพราะถ้ารอให้หมดกระแสม็อบกำนันเมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะยิ่งหาทางกลับสู่สนาม
เลือกตั้งลำบาก หาคำตอบยากในการกลับมาเดินการเมืองในระบบสภา
ในขณะที่นายสุเทพประกาศเลิกเล่นการเมืองไปแล้ว ขอทิ้งทวนนำม็อบเป็นครั้งสุดท้าย แต่คน
ของพรรคประชาธิปัตย์ยังต้องยึดสถานภาพนักการเมืองอาชีพต่อไป
“อภิสิทธิ์” จำเป็นต้องสละเรือจากม็อบ กปปส.
และก็เงื่อนไขเดียวกัน “กำนันเทพ” ก็ต้องสับคัตเอาต์ชัตดาวน์ “อภิสิทธิ์” เพื่อเคลียร์กระแส
ความสับสนในหมู่แนวร่วมม็อบ กปปส.ที่กำลังอยู่ในโหมดเตรียมประจัญบาน
งานนี้เลยได้ยินผรุสวาทแบบว่า “อย่ามาสะเออะ”
ใช้คำแรงๆในการตอบข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่เสนอตัวเป็นคนกลางในการเจรจาหาทางออก
ร่วมกัน โดยนัยบ่งบอกให้กองเชียร์เร่งเครื่องเดินหน้าเต็มตัว
“กำนันเทพ” ออกอาการห้าวเป้ง มั่นใจในสัญญาณ “หักดิบ” ที่ได้รับมา
แม้ในสถานการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เลื่อนเวลาให้นายกฯยิ่งลักษณ์ชี้แจงกรณีการโยกย้าย
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกไปจนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม
พร้อมกับนัดสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปากในวันที่ 6 พฤษภาคม
ในอารมณ์ที่เหมือนจะผ่อนอาการตึงเครียด ลดโทนขึงพืดลงไป
แต่ตามโปรแกรมก็ยังอยู่ในห้วงดีเดย์ ตามที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หัวขบวนกลุ่ม
40 ส.ว.ส่งสัญญาณนำร่อง ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการตัดสินคดีสำคัญในวันที่ 7 พฤษภาคม
ปมชนวนเผชิญหน้ายังจ่ออยู่ใกล้ๆ
ที่แน่ๆจับอาการจากคิวที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ระบุศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)ได้เสนอต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงต่อที่
ประชุม ครม.ออกไปอีก 61 วันจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครและ
ปริมณฑล
เพราะห่วงม็อบชนม็อบ กปปส.ตีกับ นปช.เสื้อแดง
ขณะที่ พล.อ.ท.อารมย์ ปัถวี เจ้ากรมกำลังพลทหาร ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อเสนอขอให้กำลังพล ของกองบัญชาการทหารสูงสุด
แต่งชุดพลเรือนมาทำงาน ด้วยเหตุที่อ้างว่า เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอย่างมาก อุณหภูมิ
37–40 องศาเซลเซียส
โดยคำสั่งดังกล่าวถูกมองว่า เพื่อความปลอดภัยของกำลังพล ไม่ให้ทหารตกเป็นเป้าของกลุ่ม
มวลชนต่างๆที่ไม่พอใจบทบาททหารในทางการเมือง
ทั้งนี้ให้ติดบัตรแสดงตน และพกบัตรประจำตัวติดตัวไว้เสมอ และจะทดลองสวมชุดพลเรือนแทน
เครื่องแบบทหาร ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน
หน่วยความมั่นคงของรัฐบาล ทหาร ต่างอยู่ในโหมดเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
ตามท้องเรื่องที่ระบุเงื่อนเวลาใกล้เคียงกัน และสอดคล้องกับกระแสข่าววงในฝ่ายคุมเกมอำนาจ
เมืองไทย
ทุกอย่างจะต้องจบภายในเดือนมิถุนายน.
ทีมข่าวการเมือง
http://www.thairath.co.th/content/419464
ข่าวสด vs ไทยรัฐ สถานการณ์แยกบทกันเล่น
ท่า ทีใหม่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น มีการมองในหลายแง่มุม ไม่เชื่อถือบ้าง หวาดระแวง
บ้าง แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหนก็ตาม อย่าไปยึดติดแค่ชื่อเสียง หรือยึดถือแค่การตี
ยี่ห้อว่าเป็นคนดีคนเลว
ต้องมุ่งเน้นสาระว่า เขากำลังเสนออะไร ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยและกรอบรัฐธรรมนูญหรือไม่
การที่นายอภิสิทธิ์เน้นการพูดคุยเจรจากับทุกฝ่าย
รวม ทั้งเริ่มยอมรับว่า ต้องยึดหลักการเลือกตั้งเป็นทางออกที่ดีที่สุด ประชาชนได้ใช้อำนาจมือ
ของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่หัวหน้าม็อบคนเดียวมาอ้างแทนคนอื่นๆ
เมื่อนายอภิสิทธิ์ใช้คำว่า การเลือกตั้งและการปฏิรูป ไปพร้อมๆ กันได้ อย่างนี้บ้านเมืองมีทางออก
ได้แน่!
เพราะท่าทีของนายกฯยิ่งลักษณ์ นำเสนอมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ต้องเลือกตั้ง เพราะตอนนี้รัฐบาลยุบ
สภาคืนอำนาจให้ประชาชนไปแล้ว
เลือกตั้งเสร็จ จะได้รัฐบาลที่ชอบธรรม มาโดยอำนาจในมือประชาชนอันพิสูจน์ได้มีตัวเลขคน
เข้าคูหาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
แล้วรัฐบาลใหม่กับสภาใหม่ จะเดินหน้าปฏิรูปการเมือง
ปฏิรูปเสร็จก็ยุบสภา แล้วมาเลือกกันใหม่ ให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองใหม่อีกรอบ
ถ้านายอภิสิทธิ์เดินตามแนวทางนี้ ไม่เดินไปพลิ้วไปอีก!?
เชื่อว่าไปได้แน่ เพราะสอดรับกับท่าทีของฝ่ายรัฐบาล และพลังประชาธิปไตย
บ้านเมืองเราจะได้พ้นวิกฤตรอบนี้ไปเสียที แล้วหลังจากนั้นมากำหนดโฉมหน้าการเมืองที่ดีกว่านี้
ด้วยรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
เพื่อจะได้แก้วิกฤตการเมืองไทยให้ลงลึก
มี การวิเคราะห์ว่า เหตุที่นายอภิสิทธิ์พลิกท่าที สอดรับกับกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังม็อบ ที่เริ่มยอมรับ
แล้วว่า ถ้า 5-6 เดือนแล้ว ไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ต้องยอมรับความจริงว่า
สิ่งที่คิด สิ่งที่ฝันนั้น มันเป็นไปไม่ได้
นายกฯ มาตรา 7 ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
กล่าวกันว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเริ่มเห็นแล้วว่า ต้องกลับมาหาการเลือกตั้งและเดินหน้าปฏิรูป
การเมืองไปพร้อมกัน
ครั้นจะหวังพึ่งองค์กรอิสระ ก็เริ่มพบความจริงว่า โดยข้อมูลข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ได้มี
บรรทัดฐานการวินิจฉัยคดีมาก่อนหน้านี้แล้ว
เป็นไปได้ยากที่จะใช้กระบวนการตุลาการภายใต้ธงการเมือง
แถมกระบวนการป.ป.ช.นั้น พบว่า เมื่อเปิดช่องให้พยานฝ่ายนายกฯ เข้าเบิกความ
การจะใช้เหตุผลการเมืองอยู่เหนือข้อมูลการสอบสวน ก็เป็นไปได้ยาก
วันนี้จึงยอมรับทางออกไปสู่การเลือกตั้งเท่านั้น!
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU9EWTVOalE0Tmc9PQ==§ionid=
แยกบทเล่นตอนใกล้จบโดย ทีมข่าวการเมือง ไทยรัฐออนไลน์
แข่งกันเดินสายขาขวิดเลยก็แล้วกัน
ทางหนึ่ง “กำนันเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ก็นำมวลชนแห่ไปชักชวน
แนวร่วมเพื่อปิดเกมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ตีธงต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเท่านั้น
อีกทางหนึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็แวบเข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์
ปฏิมาประกร ผบ.ทหารสูงสุด หลังจากก่อนหน้าเพิ่งเข้าพบปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อหา
แนวร่วมสนับสนุนโรดแม็ปทางออกวิกฤติ ด้วยการเดินหน้าเลือกตั้งไปพร้อมๆกับการปฏิรูป
ประเทศ
ไม่สนุกด้วยแล้วกับมุก “บอยคอต”
“สุเทพ-อภิสิทธิ์” คนกันเองแย่งซีน ตัดกระแสกันเองซะอย่างนั้น
ในจังหวะหักมุม จะมองว่าตีสองหน้าหลอกตบตาคนดู เหยียบเท้ากันเล่นหรืออะไรก็มองกันไป
แต่ที่แน่ๆประเมินกันตามเงื่อนไขไฟต์บังคับ สถานการณ์มาถึงตรงนี้
“อภิสิทธิ์” จำเป็นต้องชิ่งออกจากมวลชน กปปส. หลังม็อบเริ่มซา
เพราะถ้ารอให้หมดกระแสม็อบกำนันเมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะยิ่งหาทางกลับสู่สนาม
เลือกตั้งลำบาก หาคำตอบยากในการกลับมาเดินการเมืองในระบบสภา
ในขณะที่นายสุเทพประกาศเลิกเล่นการเมืองไปแล้ว ขอทิ้งทวนนำม็อบเป็นครั้งสุดท้าย แต่คน
ของพรรคประชาธิปัตย์ยังต้องยึดสถานภาพนักการเมืองอาชีพต่อไป
“อภิสิทธิ์” จำเป็นต้องสละเรือจากม็อบ กปปส.
และก็เงื่อนไขเดียวกัน “กำนันเทพ” ก็ต้องสับคัตเอาต์ชัตดาวน์ “อภิสิทธิ์” เพื่อเคลียร์กระแส
ความสับสนในหมู่แนวร่วมม็อบ กปปส.ที่กำลังอยู่ในโหมดเตรียมประจัญบาน
งานนี้เลยได้ยินผรุสวาทแบบว่า “อย่ามาสะเออะ”
ใช้คำแรงๆในการตอบข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่เสนอตัวเป็นคนกลางในการเจรจาหาทางออก
ร่วมกัน โดยนัยบ่งบอกให้กองเชียร์เร่งเครื่องเดินหน้าเต็มตัว
“กำนันเทพ” ออกอาการห้าวเป้ง มั่นใจในสัญญาณ “หักดิบ” ที่ได้รับมา
แม้ในสถานการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เลื่อนเวลาให้นายกฯยิ่งลักษณ์ชี้แจงกรณีการโยกย้าย
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกไปจนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม
พร้อมกับนัดสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปากในวันที่ 6 พฤษภาคม
ในอารมณ์ที่เหมือนจะผ่อนอาการตึงเครียด ลดโทนขึงพืดลงไป
แต่ตามโปรแกรมก็ยังอยู่ในห้วงดีเดย์ ตามที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หัวขบวนกลุ่ม
40 ส.ว.ส่งสัญญาณนำร่อง ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการตัดสินคดีสำคัญในวันที่ 7 พฤษภาคม
ปมชนวนเผชิญหน้ายังจ่ออยู่ใกล้ๆ
ที่แน่ๆจับอาการจากคิวที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ระบุศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)ได้เสนอต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงต่อที่
ประชุม ครม.ออกไปอีก 61 วันจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครและ
ปริมณฑล
เพราะห่วงม็อบชนม็อบ กปปส.ตีกับ นปช.เสื้อแดง
ขณะที่ พล.อ.ท.อารมย์ ปัถวี เจ้ากรมกำลังพลทหาร ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อเสนอขอให้กำลังพล ของกองบัญชาการทหารสูงสุด
แต่งชุดพลเรือนมาทำงาน ด้วยเหตุที่อ้างว่า เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอย่างมาก อุณหภูมิ
37–40 องศาเซลเซียส
โดยคำสั่งดังกล่าวถูกมองว่า เพื่อความปลอดภัยของกำลังพล ไม่ให้ทหารตกเป็นเป้าของกลุ่ม
มวลชนต่างๆที่ไม่พอใจบทบาททหารในทางการเมือง
ทั้งนี้ให้ติดบัตรแสดงตน และพกบัตรประจำตัวติดตัวไว้เสมอ และจะทดลองสวมชุดพลเรือนแทน
เครื่องแบบทหาร ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน
หน่วยความมั่นคงของรัฐบาล ทหาร ต่างอยู่ในโหมดเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
ตามท้องเรื่องที่ระบุเงื่อนเวลาใกล้เคียงกัน และสอดคล้องกับกระแสข่าววงในฝ่ายคุมเกมอำนาจ
เมืองไทย
ทุกอย่างจะต้องจบภายในเดือนมิถุนายน.
ทีมข่าวการเมือง
http://www.thairath.co.th/content/419464