คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 83
ขออภัยสำหรับการตอบที่ล่าช้าค่ะ เพราะเพิ่งหลบไปรักษาสภาพจิตใจตัวเองมา และด้วยภาระงานต่างๆ ด้วย
ยอมรับว่าเพิ่งกลับมาอ่านกระทู้วันนี้ และตกใจมากที่มีการตอบรับเกินความคาดหมายไปมาก
เราอ่านทุกคอมเมนต์ ทุกการตอบกลับ น้อมรับไปพิจารณา และปรับปรุงชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นค่ะ
ก่อนอื่น ขอเรียนว่า เราไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายพ่อแม่แต่อย่างใด จนถึงตอนนี้ เราไม่ได้ทะเลาะกับพ่อแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อแม่ยังแน่นแฟ้นดี และเรายอมรับว่า เรายังรับการสนับสนุนจากพ่อแม่ในทุกๆ ด้าน
ครอบครัวของเรายังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่เราไม่ได้นำมากล่าวในกระทู้นี้ ปัญหาที่ทำให้เรารู้สึกว่าพวกท่านมีเหตุผลอันสมควรที่จะตีกรอบชีวิตเรา คาดหวังกับเรา เรารู้ว่าพวกท่านก็คือคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีขาวดำปะปนกัน ไม่ต่างจากเรา
ที่เรายอมเดินตามกรอบของพวกท่าน เพราะเราอยากเป็นความสบายใจของพวกท่าน เวลาที่พวกท่านมีปัญหา เราอยากเป็นคนที่ช่วยต่อชีวิต ต่อลมหายใจให้พวกท่านบ้าง แม้จะแค่เล็กน้อย
แต่สุดท้าย เราเองก็เพิ่งมาระลึกได้ตอนหลัง ว่าการต่อลมหายใจให้พวกท่าน หมายถึงการตัดลมหายใจของตัวเอง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเริ่มอึดอัด และตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อระบายค่ะ
กระทู้นี้เราขอยอมรับตรงๆ ค่ะ ว่ารู้สึกผิดนิดๆ ในตอนแรกที่ตัดสินใจโพสต์ลงไป เพราะมันเกิดจากความขาดสติของเรา ณ วินาทีนั้น
แต่ก็ได้รับคำแนะนำต่างๆ มากมาย ขอบคุณนะคะ
เหมือนเราได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ตอนนี้เราได้ข้อคิดหลายๆ อย่างค่ะ เรายอมรับว่าการพยายามเรียนเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทับถมเรา การเรียนในคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราพยายามอย่างถึงที่สุดยังไง เกรดที่ออกมาก็ไม่เคยอยู่ในระดับที่เราสามารถพิสูจน์กับพวกท่านได้ว่าเราเรียนเก่ง
เราอาจจะเป็นเด็กเก่ง แต่ก็เป็นเด็กเก่งที่แวดล้อมไปด้วยคนเก่งกว่า ยังมีการแข่งขันที่สูงมากๆ ให้ต้องสู้ และศักยภาพของเราในตอนนี้ ยังต้องพัฒนาในอีกหลายๆ ด้าน
เรื่องหอ เราได้อยู่หอตอนปี 1 นะคะ ยอมรับว่ารู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก มีอิสระหลายอย่าง บางอย่างเราก็แอบทำกิจกรรมตามที่บางคอมเมนต์แนะนำค่ะ จนถึงตอนนี้ก็มีหลายอย่างที่เราตัดสินใจทำ โดยไม่ได้ขออนุญาตจากทางบ้าน โดนว่าบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่ตอนปี 2 เราต้องอยู่บ้านค่ะ เพราะเราต้องย้ายวิทยาเขตที่เรียน จากที่เคยเรียนต่างจังหวัด ต้องมาเรียนที่ กทม ซึ่งระยะห่างระหว่างบ้านกับคณะก็ไกลนะคะ แต่ไกลในระดับที่พ่อแม่บอกว่าไปกลับได้ บวกกับกำลังทรัพย์ที่อาจจะไม่มากพอให้อยู่ในใจกลางกรุงเทพ บวกกับค่ากินอยู่ต่างๆ (บ้านเราไม่ได้มีฐานะยากจนนะคะ แค่มีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งอีกใจของเราก็ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากไปกว่านี้)
ตอนนี้ เลยสรุปได้คร่าวๆ ว่า เรายินดีที่จะอยู่ในกรอบนี้ต่อไป แต่ก็ในลิมิตที่เราอยู่ได้ เราจะออกมาโลกภายนอกบ้าง แต่จะไม่เตลิด หลายๆ ท่านคอมเมนต์ถูกค่ะ ว่าถ้าเรายังรับการสนับสนุนจากพ่อแม่ เราเองก็มีหน้าที่ลูกที่ดีที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งเราก็จะพยายามเป็นลูกที่ดีต่อไป แต่ก็จะพยายามเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
ถึงเราจะไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างจังหวัดได้ แต่ถ้าภายภาคหน้ามีโอกาสได้ฝึกงาน หรือทำงานต่างจังหวัด เราไม่พลาดแน่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความคิดเห็นอีกครั้งนะคะ
ยอมรับว่าเพิ่งกลับมาอ่านกระทู้วันนี้ และตกใจมากที่มีการตอบรับเกินความคาดหมายไปมาก
เราอ่านทุกคอมเมนต์ ทุกการตอบกลับ น้อมรับไปพิจารณา และปรับปรุงชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นค่ะ
ก่อนอื่น ขอเรียนว่า เราไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายพ่อแม่แต่อย่างใด จนถึงตอนนี้ เราไม่ได้ทะเลาะกับพ่อแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อแม่ยังแน่นแฟ้นดี และเรายอมรับว่า เรายังรับการสนับสนุนจากพ่อแม่ในทุกๆ ด้าน
ครอบครัวของเรายังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่เราไม่ได้นำมากล่าวในกระทู้นี้ ปัญหาที่ทำให้เรารู้สึกว่าพวกท่านมีเหตุผลอันสมควรที่จะตีกรอบชีวิตเรา คาดหวังกับเรา เรารู้ว่าพวกท่านก็คือคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีขาวดำปะปนกัน ไม่ต่างจากเรา
ที่เรายอมเดินตามกรอบของพวกท่าน เพราะเราอยากเป็นความสบายใจของพวกท่าน เวลาที่พวกท่านมีปัญหา เราอยากเป็นคนที่ช่วยต่อชีวิต ต่อลมหายใจให้พวกท่านบ้าง แม้จะแค่เล็กน้อย
แต่สุดท้าย เราเองก็เพิ่งมาระลึกได้ตอนหลัง ว่าการต่อลมหายใจให้พวกท่าน หมายถึงการตัดลมหายใจของตัวเอง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเริ่มอึดอัด และตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อระบายค่ะ
กระทู้นี้เราขอยอมรับตรงๆ ค่ะ ว่ารู้สึกผิดนิดๆ ในตอนแรกที่ตัดสินใจโพสต์ลงไป เพราะมันเกิดจากความขาดสติของเรา ณ วินาทีนั้น
แต่ก็ได้รับคำแนะนำต่างๆ มากมาย ขอบคุณนะคะ
เหมือนเราได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ตอนนี้เราได้ข้อคิดหลายๆ อย่างค่ะ เรายอมรับว่าการพยายามเรียนเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทับถมเรา การเรียนในคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราพยายามอย่างถึงที่สุดยังไง เกรดที่ออกมาก็ไม่เคยอยู่ในระดับที่เราสามารถพิสูจน์กับพวกท่านได้ว่าเราเรียนเก่ง
เราอาจจะเป็นเด็กเก่ง แต่ก็เป็นเด็กเก่งที่แวดล้อมไปด้วยคนเก่งกว่า ยังมีการแข่งขันที่สูงมากๆ ให้ต้องสู้ และศักยภาพของเราในตอนนี้ ยังต้องพัฒนาในอีกหลายๆ ด้าน
เรื่องหอ เราได้อยู่หอตอนปี 1 นะคะ ยอมรับว่ารู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก มีอิสระหลายอย่าง บางอย่างเราก็แอบทำกิจกรรมตามที่บางคอมเมนต์แนะนำค่ะ จนถึงตอนนี้ก็มีหลายอย่างที่เราตัดสินใจทำ โดยไม่ได้ขออนุญาตจากทางบ้าน โดนว่าบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่ตอนปี 2 เราต้องอยู่บ้านค่ะ เพราะเราต้องย้ายวิทยาเขตที่เรียน จากที่เคยเรียนต่างจังหวัด ต้องมาเรียนที่ กทม ซึ่งระยะห่างระหว่างบ้านกับคณะก็ไกลนะคะ แต่ไกลในระดับที่พ่อแม่บอกว่าไปกลับได้ บวกกับกำลังทรัพย์ที่อาจจะไม่มากพอให้อยู่ในใจกลางกรุงเทพ บวกกับค่ากินอยู่ต่างๆ (บ้านเราไม่ได้มีฐานะยากจนนะคะ แค่มีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งอีกใจของเราก็ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากไปกว่านี้)
ตอนนี้ เลยสรุปได้คร่าวๆ ว่า เรายินดีที่จะอยู่ในกรอบนี้ต่อไป แต่ก็ในลิมิตที่เราอยู่ได้ เราจะออกมาโลกภายนอกบ้าง แต่จะไม่เตลิด หลายๆ ท่านคอมเมนต์ถูกค่ะ ว่าถ้าเรายังรับการสนับสนุนจากพ่อแม่ เราเองก็มีหน้าที่ลูกที่ดีที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งเราก็จะพยายามเป็นลูกที่ดีต่อไป แต่ก็จะพยายามเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
ถึงเราจะไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างจังหวัดได้ แต่ถ้าภายภาคหน้ามีโอกาสได้ฝึกงาน หรือทำงานต่างจังหวัด เราไม่พลาดแน่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความคิดเห็นอีกครั้งนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 37
ไม่รู้นะ ขอเห็นต่างจากคนอื่น พ่อแม่ทำเพราะเป็นห่วงก็ใช่ แต่เราว่า จขกท เองก็ไม่กล้าเป็นกบฏเองด้วยแหล่ะ แล้วก็เอาแต่โทษพ่อแม่ ว่าตีกรอบ คนที่ตีกรอบจริงๆ อาจจะเป็น จขกท งด้วยซ้ำ
อยากหลุดจากกรอบ ตอนเข้ามหาลัยก็เลือก อยู่มหาลัยไกลๆ ต้องนอนหอพักสิ อย่าบอกว่าไม่กล้า เราไง ทำมาแล้ว บ้านใกล้จุฬา พ่อแม่อยากให้เข้าจุฬา บอกพ่อแม่ว่าเลือกจุฬา ประกาศผลคะแนนเราก็ได้จุฬา พ่อประกาศไป 3 บ้าน 8 บ้าน แต่เลือกจริงเราเลือกลาดกระบัง ได้ไปอยู่หอสมใจ 555 พร้อมคำด่าตามมากมาย จนแทบจะโดนไล่ออกจากบ้าน 555 ขนาดค่าหอพัก เรายังต้องไปสอนพิเศษหาค่าน้ำค่าไฟมาจ่ายเลย
พ่อแม่อยากให้ตั้งใจเรียน เราก็ตั้งใจเรียน แล้วก็แอบไปขายของ ในวันสอบกับเพื่อน พ่อแม่บอกห้ามกินเหล้า ก็จัดไปค่ะ ไม่กินให้เห็นเค้าจะไปรู้ได้ไง จนปัจจุบัน เค้าก็ยังไม่รู้ ยังคิดว่าเราใสๆอยู่เลย ขนาดอยากรู้ว่าอาบอบนวดเป็นยังไงก็ให้เพื่อน ผช พาไปดู แอบเข้าไป กลับบ้าน ย่องเข้าบ้านตี 4 เจอแม่ไล่ตีก็โดนมาแล้ว เข็ดไหมก็ไม่ แอบย่องออกจากบ้าน 4 ทุ่ม แทน ไปผับกับเพื่อน กลับตี 4 เข้านอนนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำไงก็ได้ไม่ให้เค้ารู้ จับได้ก็โดนตี โดนด่า แต่เข็ดไหม ก็ไม่ไง ตราบที่การเรียนไม่เสีย เค้าก็ไม่ไล่เราออกจากบ้านหรอกค่ะ
ทุกวันนี้ แต่งงานแล้ว มีความสุขดี มองย้อนกลับไป ยังคิดเลยว่า ดีนะที่ชีวิตรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ไม่โดนลาก โดนหลอกไปโดนมิดีมิร้ายซะก่อน ตอนนี้เข้าใจว่า เราเป็นผู้หญิง พ่อแม่เค้ายิ่งห่วง ยิ่งหวง ที่เข้มงวดกับเรา เราไม่เคยมองว่าเป็นความผิดพวกท่าน ที่เรามีทุกอย่างได้ทุกวันนี้ ก็เพราะพวกท่านทั้งนั้น และก็ต้องบอกว่า ที่ปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะมีสติที่ดี ต้องดิ้นรนเป็น ได้เพื่อนดี คอยดูแลดี คอยปลอบใจ (โดนด่า โดนตีเยอะมากเถอะ) และนั่นแหล่ะ เพื่อนกลุ่มนี้ พ่อแม่รุ้จักซะที่ไหน ถ้ารู้ คงโดนไล่ออกไปอยู่กะอิพวกนี้ไปแล้ว
ถ้าคุณ จขกท กล้าเป็นกบฏ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาด้วยนะ ค่อยๆคิด ตัดสินใจดีๆ แล้วเลือกตามที่ตัวเองตัดสินใจเลยค่ะ ชีวิตเป็นของเราเอง เลือกเอง และต้องพร้อมรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเองด้วยล่ะ อย่าไปโทษพ่อแม่ เค้าทำเพราะห่วง มีแต่ตัวเองนี่แหล่ะ ที่ตีกรอบตัวเอง
อยากหลุดจากกรอบ ตอนเข้ามหาลัยก็เลือก อยู่มหาลัยไกลๆ ต้องนอนหอพักสิ อย่าบอกว่าไม่กล้า เราไง ทำมาแล้ว บ้านใกล้จุฬา พ่อแม่อยากให้เข้าจุฬา บอกพ่อแม่ว่าเลือกจุฬา ประกาศผลคะแนนเราก็ได้จุฬา พ่อประกาศไป 3 บ้าน 8 บ้าน แต่เลือกจริงเราเลือกลาดกระบัง ได้ไปอยู่หอสมใจ 555 พร้อมคำด่าตามมากมาย จนแทบจะโดนไล่ออกจากบ้าน 555 ขนาดค่าหอพัก เรายังต้องไปสอนพิเศษหาค่าน้ำค่าไฟมาจ่ายเลย
พ่อแม่อยากให้ตั้งใจเรียน เราก็ตั้งใจเรียน แล้วก็แอบไปขายของ ในวันสอบกับเพื่อน พ่อแม่บอกห้ามกินเหล้า ก็จัดไปค่ะ ไม่กินให้เห็นเค้าจะไปรู้ได้ไง จนปัจจุบัน เค้าก็ยังไม่รู้ ยังคิดว่าเราใสๆอยู่เลย ขนาดอยากรู้ว่าอาบอบนวดเป็นยังไงก็ให้เพื่อน ผช พาไปดู แอบเข้าไป กลับบ้าน ย่องเข้าบ้านตี 4 เจอแม่ไล่ตีก็โดนมาแล้ว เข็ดไหมก็ไม่ แอบย่องออกจากบ้าน 4 ทุ่ม แทน ไปผับกับเพื่อน กลับตี 4 เข้านอนนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำไงก็ได้ไม่ให้เค้ารู้ จับได้ก็โดนตี โดนด่า แต่เข็ดไหม ก็ไม่ไง ตราบที่การเรียนไม่เสีย เค้าก็ไม่ไล่เราออกจากบ้านหรอกค่ะ
ทุกวันนี้ แต่งงานแล้ว มีความสุขดี มองย้อนกลับไป ยังคิดเลยว่า ดีนะที่ชีวิตรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ไม่โดนลาก โดนหลอกไปโดนมิดีมิร้ายซะก่อน ตอนนี้เข้าใจว่า เราเป็นผู้หญิง พ่อแม่เค้ายิ่งห่วง ยิ่งหวง ที่เข้มงวดกับเรา เราไม่เคยมองว่าเป็นความผิดพวกท่าน ที่เรามีทุกอย่างได้ทุกวันนี้ ก็เพราะพวกท่านทั้งนั้น และก็ต้องบอกว่า ที่ปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะมีสติที่ดี ต้องดิ้นรนเป็น ได้เพื่อนดี คอยดูแลดี คอยปลอบใจ (โดนด่า โดนตีเยอะมากเถอะ) และนั่นแหล่ะ เพื่อนกลุ่มนี้ พ่อแม่รุ้จักซะที่ไหน ถ้ารู้ คงโดนไล่ออกไปอยู่กะอิพวกนี้ไปแล้ว
ถ้าคุณ จขกท กล้าเป็นกบฏ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาด้วยนะ ค่อยๆคิด ตัดสินใจดีๆ แล้วเลือกตามที่ตัวเองตัดสินใจเลยค่ะ ชีวิตเป็นของเราเอง เลือกเอง และต้องพร้อมรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเองด้วยล่ะ อย่าไปโทษพ่อแม่ เค้าทำเพราะห่วง มีแต่ตัวเองนี่แหล่ะ ที่ตีกรอบตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 31
เหตุการนี้เคยเกิดขึ้นกับผม เมื่อประมาณ10กว่าปีที่แล้ว เหมือนกันครับ
ผมตั้งเป้าหมายตั้งแต่เจอเหตุการณ์นั้น ว่า เราจะไม่อยู่บ้าน ให้บ้านเป็นแค่บ้าน แค่นั้น..
เริ่มตั้งแต่ประถม ชีวิตวนเวียนกับการเรียน เช้าเรียน เลิกเรียนก็เรียนพิเศษต่อ
เสาร์ อาทิตย์ ก็เรียนพิเศษภาษาช่วงเช้า บ่ายเรียนว่ายน้ำ มีเวลาว่างจริงๆ แต่ช่วงบ่ายวันอาทิตย์แค่นั้น
ต่อมา เข้ามัธยม ไม้ผลัด ส่งต่อให้ป้า ผู้อยากปั้นเด็กกะโหลก กะลา เกรด2.3 แบบเราให้เป็นทนาย ทุ่มเงินมหาศาลเรียนแพง เรียนพิเศษทุกวัน ยัน3ทุ่ม ไม่มีกิจกรรม ไม่มีเพื่อน เรียนเสร็จกลับบ้าน เพื่อนในหมู่บ้านก็ห้ามไปเล่น ซ้ำร้าย เจอครูสอนพิเศษโรคจิต ชอบทำร้ายร่างกาย ทนแบบนี้มา2ปี ตะบะแตก ช็อตสุดท้าย เราระเบิดลง
ปล.เราเป็นคนนิ่งๆไม่พูด ไม่แสดงออกเท่าไร
นึกสภาพ เรานั่งเรียนพิเศษกับครูบ้าคนนั้น เขาตีเรา แล้วเอาปากกามาขีดหน้าเรา เราลุกขึ้นแล้วเตะเข้าที่หน้า จนครูนั้นหงายหลังไป เด็กทุกคนงง ครูก็งง 5555
วันนั้นเป็นวันประกาศจุดยืนของเรา เราโทรหาพี่ให้พี่มารับกลับบ้าน พอถึงบ้านเราเดินขึ้นบ้านไปร้องไห้อยู่พักใหญ่ ครูบ้านั่นก็โทรมาฟ้องป้าเรา ป้าเราก็เรียกไปคุย เราพูดความในใจทั้งหมดกับป้า (ไม่ได้ทะเลาะกันนะ) เราขอกลับบ้านมาอยู่กับแม่ ซึ่ง ก็จะเจอสิ่งที่ช่วงประถม และมัธยม คือเรียนพิเศษเหมือนเดิมทุกๆวัน
"หลังจากวันนั้นเราเป็นเด็กที่ถือว่าความคิดแปลกแยกจากคนในบ้านไปเลย"
ช่วงมัธยมปลาย เราคุยกับที่บ้านว่าอยากไปเรียนที่เทคนิค ที่สัตหีบซึ่งไกลจากบ้านมาก เพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่ และ จะได้เป็นตัวของตัวเอง
ตลอดระยะเวลา10กว่าปี ที่ต้องทน เราได้เผชิญโลกกว้าง ที่เรียนใหม่ เราอยู่หอพัก ได้สัมผัส เรียนรู้ชีวิตทั้งดี และแย่ เท่าที่ผู้ชายคนนึงจะเรียนรู้ได้ "สุดท้าย ชีวิตเราพัง" โดนรีทาย
โดนดึงตัวกลับมาบ้าน เราใช้เวลา5เดือนเพื่อบำบัด และ ทบทวนตัวเอง โดยไม่ทำอะไรเลย เป็นภาระของพ่อแม่ไปวันๆ จนวันที่เพื่อนเรียบจบ ปวช. เห็นเพราะเพื่อนโพสผ่าน HI5
เราเลยหาวิธี ที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อจะเอาวุฒิม.6 จะได้ทำงาน มีชีวิตเป็นของตัวเอง เราเห็นประกาศรับนักเรียน กศน. เรียนวันอาทิตย์ครึ่งวัน 2ปีจบ พอเริ่มเรียนก็สบายๆ เป็นภาระพ่อแม่ไปยาวๆ ช่วยทำงานร้านอาหารที่บ้านไป เรียนไป
ที่กศน. เราได้เรียนรู้ชีวิต คนหลายรูปแบบ มีทั้งหัวหน้าพนักงาน เจ้าของธุรกิจ ที่มาเรียนเอาวุฒิไปจนถึงเด็กติดยา เด็กใจแตก ยากดีมีจน ปนกันมาก
นี่คือสังคมเล็กๆ ที่เราสามารถเอามาเป็นScaleในการใช้ชีวิต ว่าเราต้องการเป็นแบบไหน เราเริ่มวางแผนชีวิต เพราะอายุเรายิ่งเดินหน้าไปเรื่อยๆ เราไม่อยากเอาแค่วุฒิม.6แล้ว
พอเรียนจบ เราไปเที่ยวกับพี่สาว เราได้เจอกับเพื่อนพี่สาวเรา คุยกันไปคุยกับมา เขาเรียนวิทยาลัยเกี่ยวกับอาหาร และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนของเรา พอกลับมาบ้าน เราเดินไปหาแม่ บอกว่าจะเรียนมหาลัยที่กรุงเทพนะ แม่ก็ตอบมาสั้นๆว่า แล้วแต่...
ช่วงนี้ที่บ้านเราคงตัดหางเราไปละ ไปเอาใจพี่สาวแบบอกหน้าออกตา ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว นี่ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรา ไม่อยากอยู่บ้าน เพราะความลำเอียงแบบ โคตรเอียง
เราเลยเดินหน้าเต็มที่ สมัคร สอบ สัมภาษณ์ ด้วยตัวเอง สุดท้ายสอบติด วันที่ประกาศผล เรากำลังนั่งกินข้าวกับครอบครัว พี่ ป้า น้า พ่อ แม่ อยู่หมด เราพูดลอยๆมากลางโต้ะกินข้าวว่า สอบติดมหาลัยแล้วนะ ที่กรุงเทพ ทุกคนเงียบ และ งง....
ไม่มีใครรู้ว่าเราเรียนกศน ไม่มีใครคิดว่าเราจะเรียนต่อ เราเรียนจนจบด้วยเกรด3กว่าๆ และทำงานในโรงแรมตามที่เราวางแผนไว้
นี่คือจุดที่เราสามารถทำตาม ปณิธานที่ตัวเราตั้งไว้ ว่าทำอย่างไรก็ได้ ที่จะไม่อยู่บ้าน แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดครอบครัวก็คือครอบครัว เราไม่เคยทิ้งกัน ต่างคนต่างความคิดได้
"ช่วงชีวิตนึงเรามีหน้าที่ฟัง เราควรฟัง
วันนึงเราพร้อมที่จะทำเราค่อยทำ
เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ตัวเรา"
ตอนนี้เราซื้อบ้านที่กทม. กำลังจะแต่งงานมีครอบครัว มีหน้าที่การงานที่ดีทำ และกำลังจะเริ่มธุรกิจกับครอบครัวแฟน
ที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดท้อแท้เลย เอาสิ่งที่เราเจอที่ผ่านมา มาเป็นเขื้อเพลิง ในการใช้ชีวิต เอามาเป็นภูมิต้านทาน
หลังจากเราร้องไห้ตอนอายุ14 ตอนนี้เราอายุ27 เราไม่เคยร้องไห้อีกเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
สู้ๆครับ ผมเชื่อว่าเมื่อคุณผ่านไปได้ คุณจะมีความคิดที่แข็งแกร่ง เรื่องต่างๆที่เข้ามาในชีวิตจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ชีวิตยังอีกยาวไกล มีอะไรให้ฝ่าฟันอีกเยอะ
ผมตั้งเป้าหมายตั้งแต่เจอเหตุการณ์นั้น ว่า เราจะไม่อยู่บ้าน ให้บ้านเป็นแค่บ้าน แค่นั้น..
เริ่มตั้งแต่ประถม ชีวิตวนเวียนกับการเรียน เช้าเรียน เลิกเรียนก็เรียนพิเศษต่อ
เสาร์ อาทิตย์ ก็เรียนพิเศษภาษาช่วงเช้า บ่ายเรียนว่ายน้ำ มีเวลาว่างจริงๆ แต่ช่วงบ่ายวันอาทิตย์แค่นั้น
ต่อมา เข้ามัธยม ไม้ผลัด ส่งต่อให้ป้า ผู้อยากปั้นเด็กกะโหลก กะลา เกรด2.3 แบบเราให้เป็นทนาย ทุ่มเงินมหาศาลเรียนแพง เรียนพิเศษทุกวัน ยัน3ทุ่ม ไม่มีกิจกรรม ไม่มีเพื่อน เรียนเสร็จกลับบ้าน เพื่อนในหมู่บ้านก็ห้ามไปเล่น ซ้ำร้าย เจอครูสอนพิเศษโรคจิต ชอบทำร้ายร่างกาย ทนแบบนี้มา2ปี ตะบะแตก ช็อตสุดท้าย เราระเบิดลง
ปล.เราเป็นคนนิ่งๆไม่พูด ไม่แสดงออกเท่าไร
นึกสภาพ เรานั่งเรียนพิเศษกับครูบ้าคนนั้น เขาตีเรา แล้วเอาปากกามาขีดหน้าเรา เราลุกขึ้นแล้วเตะเข้าที่หน้า จนครูนั้นหงายหลังไป เด็กทุกคนงง ครูก็งง 5555
วันนั้นเป็นวันประกาศจุดยืนของเรา เราโทรหาพี่ให้พี่มารับกลับบ้าน พอถึงบ้านเราเดินขึ้นบ้านไปร้องไห้อยู่พักใหญ่ ครูบ้านั่นก็โทรมาฟ้องป้าเรา ป้าเราก็เรียกไปคุย เราพูดความในใจทั้งหมดกับป้า (ไม่ได้ทะเลาะกันนะ) เราขอกลับบ้านมาอยู่กับแม่ ซึ่ง ก็จะเจอสิ่งที่ช่วงประถม และมัธยม คือเรียนพิเศษเหมือนเดิมทุกๆวัน
"หลังจากวันนั้นเราเป็นเด็กที่ถือว่าความคิดแปลกแยกจากคนในบ้านไปเลย"
ช่วงมัธยมปลาย เราคุยกับที่บ้านว่าอยากไปเรียนที่เทคนิค ที่สัตหีบซึ่งไกลจากบ้านมาก เพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่ และ จะได้เป็นตัวของตัวเอง
ตลอดระยะเวลา10กว่าปี ที่ต้องทน เราได้เผชิญโลกกว้าง ที่เรียนใหม่ เราอยู่หอพัก ได้สัมผัส เรียนรู้ชีวิตทั้งดี และแย่ เท่าที่ผู้ชายคนนึงจะเรียนรู้ได้ "สุดท้าย ชีวิตเราพัง" โดนรีทาย
โดนดึงตัวกลับมาบ้าน เราใช้เวลา5เดือนเพื่อบำบัด และ ทบทวนตัวเอง โดยไม่ทำอะไรเลย เป็นภาระของพ่อแม่ไปวันๆ จนวันที่เพื่อนเรียบจบ ปวช. เห็นเพราะเพื่อนโพสผ่าน HI5
เราเลยหาวิธี ที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อจะเอาวุฒิม.6 จะได้ทำงาน มีชีวิตเป็นของตัวเอง เราเห็นประกาศรับนักเรียน กศน. เรียนวันอาทิตย์ครึ่งวัน 2ปีจบ พอเริ่มเรียนก็สบายๆ เป็นภาระพ่อแม่ไปยาวๆ ช่วยทำงานร้านอาหารที่บ้านไป เรียนไป
ที่กศน. เราได้เรียนรู้ชีวิต คนหลายรูปแบบ มีทั้งหัวหน้าพนักงาน เจ้าของธุรกิจ ที่มาเรียนเอาวุฒิไปจนถึงเด็กติดยา เด็กใจแตก ยากดีมีจน ปนกันมาก
นี่คือสังคมเล็กๆ ที่เราสามารถเอามาเป็นScaleในการใช้ชีวิต ว่าเราต้องการเป็นแบบไหน เราเริ่มวางแผนชีวิต เพราะอายุเรายิ่งเดินหน้าไปเรื่อยๆ เราไม่อยากเอาแค่วุฒิม.6แล้ว
พอเรียนจบ เราไปเที่ยวกับพี่สาว เราได้เจอกับเพื่อนพี่สาวเรา คุยกันไปคุยกับมา เขาเรียนวิทยาลัยเกี่ยวกับอาหาร และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนของเรา พอกลับมาบ้าน เราเดินไปหาแม่ บอกว่าจะเรียนมหาลัยที่กรุงเทพนะ แม่ก็ตอบมาสั้นๆว่า แล้วแต่...
ช่วงนี้ที่บ้านเราคงตัดหางเราไปละ ไปเอาใจพี่สาวแบบอกหน้าออกตา ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว นี่ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรา ไม่อยากอยู่บ้าน เพราะความลำเอียงแบบ โคตรเอียง
เราเลยเดินหน้าเต็มที่ สมัคร สอบ สัมภาษณ์ ด้วยตัวเอง สุดท้ายสอบติด วันที่ประกาศผล เรากำลังนั่งกินข้าวกับครอบครัว พี่ ป้า น้า พ่อ แม่ อยู่หมด เราพูดลอยๆมากลางโต้ะกินข้าวว่า สอบติดมหาลัยแล้วนะ ที่กรุงเทพ ทุกคนเงียบ และ งง....
ไม่มีใครรู้ว่าเราเรียนกศน ไม่มีใครคิดว่าเราจะเรียนต่อ เราเรียนจนจบด้วยเกรด3กว่าๆ และทำงานในโรงแรมตามที่เราวางแผนไว้
นี่คือจุดที่เราสามารถทำตาม ปณิธานที่ตัวเราตั้งไว้ ว่าทำอย่างไรก็ได้ ที่จะไม่อยู่บ้าน แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดครอบครัวก็คือครอบครัว เราไม่เคยทิ้งกัน ต่างคนต่างความคิดได้
"ช่วงชีวิตนึงเรามีหน้าที่ฟัง เราควรฟัง
วันนึงเราพร้อมที่จะทำเราค่อยทำ
เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ตัวเรา"
ตอนนี้เราซื้อบ้านที่กทม. กำลังจะแต่งงานมีครอบครัว มีหน้าที่การงานที่ดีทำ และกำลังจะเริ่มธุรกิจกับครอบครัวแฟน
ที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดท้อแท้เลย เอาสิ่งที่เราเจอที่ผ่านมา มาเป็นเขื้อเพลิง ในการใช้ชีวิต เอามาเป็นภูมิต้านทาน
หลังจากเราร้องไห้ตอนอายุ14 ตอนนี้เราอายุ27 เราไม่เคยร้องไห้อีกเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
สู้ๆครับ ผมเชื่อว่าเมื่อคุณผ่านไปได้ คุณจะมีความคิดที่แข็งแกร่ง เรื่องต่างๆที่เข้ามาในชีวิตจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ชีวิตยังอีกยาวไกล มีอะไรให้ฝ่าฟันอีกเยอะ
แสดงความคิดเห็น
ความอัดอั้นของเด็กคนหนึ่งที่ถูกตีกรอบชีวิตทุกอย่าง และครอบครัวไม่เคยยอมรับการตัดสินใจต่างๆ ในชีวิตเลย
อึดอัดกับการที่พ่อแม่ไม่เคยคิดว่าเราควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง อึดอัดกับการที่พ่อแม่มองว่าเราเป็นเด็กเสมอ อึดอัดกับการที่ต้องยอมพวกท่านทุกอย่าง แม้หลายครั้งเราจะมีเหตุผลที่ดีกว่าแต่พวกเท่านก็ไม่ยอมฟัง สุดท้าย ไม่ก็คือไม่
ปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา พ่อแม่มักวาดกรอบไว้ว่าเราควรตั้งใจเรียน ตั้งใจเรียนแบบเรียนอย่างเดียวกิจกรรมห้ามยุ่ง ซึ่งขัดกับมุมมองของเรา การเรียนคือหน้าที่ และเป็นหน้าที่อันดับหนึ่งที่เราเลือกทำ อันนี้เรายังคงบอกและย้ำกับพวกท่านเสมอ แต่ชีวิตของคนเรามันจะเรียนอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องการการฝึกทักษะชีวิต ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งทักษะการสื่อสาร การเข้าสังคม คอนเนคชัน การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งเราคิดว่าเรายังขาดอยู่ในตอนนี้
คำพูดที่เรามักจะได้ยินอยู่เสมอคือทุกสิ่งที่ไม่ใช่การเรียนคือ "เรื่องไร้สาระ" เสียเวลา เสียโอกาส ทักษะบ้าบออะไรนั่นไม่จำเป็นหรอก สิ่งที่สำคัญคือเกรด เกรด แล้วก็เกรด แม้เราจะพยายามอธิบายแล้วว่าเกรดไม่ใช่ทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตของเราในตอนนี้ เกรดสมัยมัธยมก็แทบไม่ส่งผลต่อชีวิตของเราเลย สิ่งที่ส่งเรามาตอนนี้ คือทักษะต่างๆ ที่อยู่นอกห้องเรียน
แต่ถามว่ามีอะไรดีขึ้นมั้ย ก็ไม่ 5555 ไม่ก็คือไม่ สุดท้ายแล้วเราก็ทะเลาะกับพ่อแม่ด้วยปัญหาเดิมๆ ต่อเนื่องกันมาหลายปี เราอึดอัดกับการที่ต้องเป็นเด็กในกรอบ เนิร์ดๆ กิจกรรมไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน เราเป็นแค่เด็กธรรมดาสีเทาๆ คนหนึ่งที่อยากเรียนรู้โลก ชีวิตของเราไม่ได้อยู่ในห้องเรียน สิ่งที่สำคัญเทียบเท่าหรือแม้กระทั่งสำคัญยิ่งกว่าตัวเลขบนทรานสคริปต์มีมากมายหลายอย่าง
ตอนนี้พิมพ์ไปก็จะร้องไห้ไป มันอึดอัด อัดอั้น และเสียใจมากค่ะ จริงๆ ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเรียนหรือเรื่องกิจกรรมหรอก มันแทบจะทุกอย่างในชีวิตของเราเลยที่เราแทบไม่ได้เลือกเอง เราแค่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะผิด จะถูก ยังไงก็ชีวิตของเรา ขอให้เราเลือกเองได้ไหม
ความหวังและความฝันของเราแทบถูกอย่างพังทลาย เพราะกรอบความคิดที่ว่าเด็กดีต้องตั้งใจเรียน
ความฝันที่ว่า อยากทำกิจกรรมจิตอาสา อยากทำเพื่อสังคม ไม่เคยได้ทำ เพราะเสียเวลาเรียน
เรายอมพ่อแม่ทุกอย่าง ยอมเพราะไม่มีทางเลือก ยอมจนพวกท่านคิดว่าการที่เรายอมเป็นเรื่องปกติ เรายอมเพราะเราโอเค แต่ความจริงคือไม่ เราไม่เคยขัดอะไรพวกท่านได้เลย แม้ว่านั่นจะเป็นชีวิตเราก็ตาม จนสุดท้าย ก็ต้องยอมต่อไป แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นในชีวิตเลย
ขอร้องเถอะนะคะ ตอนนี้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว 5555 ขอความกรุณาอย่าคอมเมนต์ว่า "พ่อแม่รักลูก แต่ลูกไม่เคยเห็นความรักของพ่อแม่" หรือ "พ่อแม่เลือกทางที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอนั่นแหละ"
เรารู้ค่ะว่าพ่อแม่รัก เรารู้ค่ะว่าพ่อแม่เลือกทางเลือกที่ (พวกท่านคิดว่า) ดีที่สุดให้กับเรา พวกท่านเลือกเพราะคิดว่าพวกท่านรู้จักเราดีที่สุด ดีที่สุดถึงขั้นที่ว่ารู้จักเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเองซะอีก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
บางที เราก็ไม่ได้ต้องการทางเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตหรอกค่ะ เราแค่ต้องการทางเลือกที่เราเลือกเอง ไม่ว่ามันจะดีหรือจะแย่ ขอแค่ให้เราได้ตัดสินใจ
เมื่อไหร่คะ ถึงจะหลุดออกจากกรงขังที่เรียกว่า "ความรักของพ่อแม่" สักที
ความรักที่มาพร้อมกับความหวัง สิ่งที่ทุกคนคิดว่าดีกำลังกลายมาเป็นกรงขังทำร้ายเราและเด็กอีกหลายคน เมื่อไหร่สิ่งเหล่านี้จะหายไปกันคะ เมื่อไหร่ความรักจะกลายเป็นความรักที่ส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ไม่ใช่มาทำร้ายกันอย่างนี้
พิมพ์ไปก็คิดไป จะได้กลับไปหาหมออีกมั้ยน้อ ยอมรับว่าเคยเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาปัญหาทางจิตที่เกิดจากครอบครัวมาแล้วช่วงหนึ่งค่ะ อาการดีขึ้นจนเลิกยาได้แล้วสักพัก แต่ถ้าทุกอย่างยังย่ำแย่ต่อไป เราก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีครั้งที่สอง
ไปหาหมอ รับยา อาการหาย แต่สาเหตุที่เป็นปัจจัยก่อเกิดปัญหาจริงๆ ยังคงอยู่ และมันคงไม่มีวันหายตลอดชีวิตของเรา สิ้นหวังแล้วค่ะ จริงๆ
เราให้ความสำคัญกับครอบครัวมากที่สุดในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวก็ทำร้ายเรามากที่สุดในชีวิตเช่นกัน
ท้ายที่สุดนี้ ก็อยากฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก หรือกำลังจะมีลูก หรือวางแผนว่าจะมีลูก ช่วยฟังความคิดเห็นและเคารพการตัดสินใจในชีวิตของลูกหน่อยได้มั้ยคะ เราไม่อยากให้มีใครต้องมาเสียใจเหมือนกับเราอีกแล้วจริงๆ
ฝากไว้เท่านี้ค่ะ