ก่อนอื่น จขกท ตั้งใจมาเล่าประสบการณ์ของตัวเอง ในช่วงชีวิตที่ทำงานมาตอนนี้ก็เกือบ 20 ปีได้ละ หากใครมีข้อแนะนำ เสนอความคิดเห็นในเชิงบวก แนะนำ จขกท. ได้เลยนะคะ 😁
*ตัวหนังสือเยอะ ยาวไปหน่อย ต้องขออภัยนะคะ*
เราเริ่มทำงานจริงจังอยู่ในระบบ ก็เมื่อตอนเรียนใกล้จบเมื่อประมาณปี 2542-2543 (เดาอายุกันได้เนอะ | มนุษย์ยุค 90s ฮับ) เราเป็นคนไม่เลือกงานทำทุกอย่างที่มีญาติหรือเพื่อนๆ แนะนำ เพราะเราเสียแม่ที่เลี้ยงเราคนเดียวไปตอนอายุ 13 ขวบ หลังจากนั้นญาติพี่น้องต่างๆ ซึ่งก็ปากกัดตีนทีบ ก็พยายามช่วยเหลือส่งเสียเราจนเรียนจบ งานที่แรกก็ทำในห้าง supermarket แห่งหนึ่ง เราเริ่มทำจากพาร์ทไทม์จนใกล้เรียนจบ เขาก็บรรจุเราเป็นพนักงานประจำ เริ่มต้นเงินเดือนอยู่ที่ 4,090 บาท timeline การทำงานก็เริ่มต้นตรงนี้
ปี 2543 Supermarket ได้เงินเดือน 4,090 บาท
ปี 2545 Supermarket ได้เงินเดือน 5,300 บาท
หลังจากนั้นทำงานก็ได้เลื่อนตำแหน่งมาเรื่อยๆ จนได้เป็นผู้จัดการแผนก เงินเดือนสุดท้ายที่ทำงานอยู่ supermarket ได้อยู่ 12,450 เมื่อปี 2549
ก็ตัดสินใจหางานทำใหม่เนื่องจากโดนปัญหาการเมืองภายใน มีพรรค มีพวก เลยตัดสินใจไปดีกว่า ยังไม่รู้ว่าชะตาชีวิตจะทำอะไรต่อดี แต่โชคดีที่มีเพื่อนเยอะ และหนึ่งในนั้นก็ทำงาน "โรงแรม" เลยแนะนำให้เราไปสมัครงานโรงแรมทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย
เราได้เริ่มทำงานโรงแรม แห่งหนึ่งเมื่อปี 2550 ในตำแหน่ง admin ทำงานอยู่แผนกหลังบ้าน ประสานงานต่างๆ เอกสารมากมายก่ายกอง ใช้เวลาเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่อยู่สักพัก ยอมรับว่าช่วงแรกท้อแท้มาก

เพราะไม่รู้อะไรเลย งงไปหมด แต่ดีที่ชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เอ่อถึงตอนนี้ลืมบอกไปว่าเริ่มต้นทำงานที่โรงแรมได้เงินเดือน start ที่ 9,500 บาทอันนี้ยังไม่รวมเงินที่เขาเรียกว่า "เซอร์วิสชาร์จ" อีกเดือนละประมาณ 10,000 รวมๆ แล้วรายได้เดือนหนึ่งหลังจากหัก นู่น นี่ ก็เหลือประมาณ 17,000 บาท

แอบคิดหลายครั้งว่ารู้งี้ออกมาจากการทำงานห้างนานละ 5555 สวัสดิการก็ดีกว่า มีข้าวกินฟรี และมีวันหยุดมากกว่าด้วย
จขกท. ทำงานที่โรงแรมแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน (2562 Siri รวมอายุงานก็ 12 ปีละ) อัตราการเติบโตก้าวหน้าถือว่าดี แต่........
สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการ คิดและอ่านอย่างเข้าใจนะฮับ
ช่วงเข้างานใหม่ๆ ก็มีพลังงานบวกมากมายในการทำงาน ทำได้ทุกอย่างแบบ super ไซย่า หัวหน้าเห็นผลงานก็อวยตำแหน่งให้ปกติ แต่สัจธรรมคือตามสุภาษิตทีบอก "ยิ่งสูง ยิ่งหนาว" ความรับผิดชอบมากมายขึ้น งานที่ได้รับมอบหมาย มีทั้งงานราษฎร์ งานหลวง งานแทรก งานด่วน และงานด่วนที่สุด ถึงตอนนี้อยากร้องไห้มาก

อีกทั้ง 5 ปีหลังมานี่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในองค์กร มีหลายครั้งที่คิดเหมือนตอนที่ทำงานที่ supermarket ว่าจะทนอยู่ได้อีกนานไหม แต่อันที่จริงก็ทำงานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ถึงอาจจะเหนื่อยและปวดหัวหน่อย 😢
อีกทั้งเรื่องที่บั่นทอนความคิดมากที่สุดในช่วงนี้คือเรื่องเงินเดือน ตอนนี้เรามีฐานเงินเดือนอยู่ที่ 48,450 บาท มีการปรับประจำปีมาเรื่อยๆ อยู่ทุกปี ไม่เคยมีการปรับพิเศษใดๆ คนหลังๆ ที่เข้ามาใหม่ๆ ในระดับ level เดียวกันเริ่ม start ที่ 60,000 บาท (แอบรู้มา อย่าไปบอก HR นะ 😉) เพราะคิดว่าช่วงหลังๆ มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ฐานเงินเดือนก็เลยมีการปรับตามเป็นแบบขั้นบันได เราก็สงสัย แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะหัวหน้างานเราโดยตรงเขาก็บอกว่าเราเงินเดือนเยอะแล้ว อีกอย่างตั้งแต่เริ่มงานมาเราเหมือนเป็นพนักงาน fast track ถูกเลื่อนขั้นปีเว้นปี จนมาถึงตำแหน่งสูงสุดของ section นี้โดยแรงผลักดันจากหัวหน้าคนนี้ เลยไม่กล้าถามหรือขออะไรมากนัก
แต่ที่มาตั้งกระทู้นี้ เพราะความคิดเรื่องนี้มันวนอยู่ในหัวเราตลอด ประกอบกับงานที่รับผิดชอบอยู่ ไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันที่มาทีหลังแล้วได้เงินเดือนเยอะกว่าเรา บางครั้งงานที่เรารับผิดชอบอยู่มากกว่าเขาด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
จะออกไปหางานทำใหม่ ก็เป็นคนยุค 90s คงไม่มีที่ไหนรับละมั้ง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีวิธีแนะนำ ช่วยบอก จขกท หน่อยนะคะ ตอนนี้พยายามปลงอยู่ คิดซะว่าเราคงมีความสามารถแค่นี้
สุดท้ายขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณจริงๆ คะ
ชีวิตมนุษย์เงินเดือน และเริ่มหมดพลัง
*ตัวหนังสือเยอะ ยาวไปหน่อย ต้องขออภัยนะคะ*
เราเริ่มทำงานจริงจังอยู่ในระบบ ก็เมื่อตอนเรียนใกล้จบเมื่อประมาณปี 2542-2543 (เดาอายุกันได้เนอะ | มนุษย์ยุค 90s ฮับ) เราเป็นคนไม่เลือกงานทำทุกอย่างที่มีญาติหรือเพื่อนๆ แนะนำ เพราะเราเสียแม่ที่เลี้ยงเราคนเดียวไปตอนอายุ 13 ขวบ หลังจากนั้นญาติพี่น้องต่างๆ ซึ่งก็ปากกัดตีนทีบ ก็พยายามช่วยเหลือส่งเสียเราจนเรียนจบ งานที่แรกก็ทำในห้าง supermarket แห่งหนึ่ง เราเริ่มทำจากพาร์ทไทม์จนใกล้เรียนจบ เขาก็บรรจุเราเป็นพนักงานประจำ เริ่มต้นเงินเดือนอยู่ที่ 4,090 บาท timeline การทำงานก็เริ่มต้นตรงนี้
ปี 2543 Supermarket ได้เงินเดือน 4,090 บาท
ปี 2545 Supermarket ได้เงินเดือน 5,300 บาท
หลังจากนั้นทำงานก็ได้เลื่อนตำแหน่งมาเรื่อยๆ จนได้เป็นผู้จัดการแผนก เงินเดือนสุดท้ายที่ทำงานอยู่ supermarket ได้อยู่ 12,450 เมื่อปี 2549
ก็ตัดสินใจหางานทำใหม่เนื่องจากโดนปัญหาการเมืองภายใน มีพรรค มีพวก เลยตัดสินใจไปดีกว่า ยังไม่รู้ว่าชะตาชีวิตจะทำอะไรต่อดี แต่โชคดีที่มีเพื่อนเยอะ และหนึ่งในนั้นก็ทำงาน "โรงแรม" เลยแนะนำให้เราไปสมัครงานโรงแรมทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย
เราได้เริ่มทำงานโรงแรม แห่งหนึ่งเมื่อปี 2550 ในตำแหน่ง admin ทำงานอยู่แผนกหลังบ้าน ประสานงานต่างๆ เอกสารมากมายก่ายกอง ใช้เวลาเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่อยู่สักพัก ยอมรับว่าช่วงแรกท้อแท้มาก
จขกท. ทำงานที่โรงแรมแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน (2562 Siri รวมอายุงานก็ 12 ปีละ) อัตราการเติบโตก้าวหน้าถือว่าดี แต่........
สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการ คิดและอ่านอย่างเข้าใจนะฮับ
ช่วงเข้างานใหม่ๆ ก็มีพลังงานบวกมากมายในการทำงาน ทำได้ทุกอย่างแบบ super ไซย่า หัวหน้าเห็นผลงานก็อวยตำแหน่งให้ปกติ แต่สัจธรรมคือตามสุภาษิตทีบอก "ยิ่งสูง ยิ่งหนาว" ความรับผิดชอบมากมายขึ้น งานที่ได้รับมอบหมาย มีทั้งงานราษฎร์ งานหลวง งานแทรก งานด่วน และงานด่วนที่สุด ถึงตอนนี้อยากร้องไห้มาก
อีกทั้งเรื่องที่บั่นทอนความคิดมากที่สุดในช่วงนี้คือเรื่องเงินเดือน ตอนนี้เรามีฐานเงินเดือนอยู่ที่ 48,450 บาท มีการปรับประจำปีมาเรื่อยๆ อยู่ทุกปี ไม่เคยมีการปรับพิเศษใดๆ คนหลังๆ ที่เข้ามาใหม่ๆ ในระดับ level เดียวกันเริ่ม start ที่ 60,000 บาท (แอบรู้มา อย่าไปบอก HR นะ 😉) เพราะคิดว่าช่วงหลังๆ มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ฐานเงินเดือนก็เลยมีการปรับตามเป็นแบบขั้นบันได เราก็สงสัย แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะหัวหน้างานเราโดยตรงเขาก็บอกว่าเราเงินเดือนเยอะแล้ว อีกอย่างตั้งแต่เริ่มงานมาเราเหมือนเป็นพนักงาน fast track ถูกเลื่อนขั้นปีเว้นปี จนมาถึงตำแหน่งสูงสุดของ section นี้โดยแรงผลักดันจากหัวหน้าคนนี้ เลยไม่กล้าถามหรือขออะไรมากนัก
แต่ที่มาตั้งกระทู้นี้ เพราะความคิดเรื่องนี้มันวนอยู่ในหัวเราตลอด ประกอบกับงานที่รับผิดชอบอยู่ ไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันที่มาทีหลังแล้วได้เงินเดือนเยอะกว่าเรา บางครั้งงานที่เรารับผิดชอบอยู่มากกว่าเขาด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
จะออกไปหางานทำใหม่ ก็เป็นคนยุค 90s คงไม่มีที่ไหนรับละมั้ง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีวิธีแนะนำ ช่วยบอก จขกท หน่อยนะคะ ตอนนี้พยายามปลงอยู่ คิดซะว่าเราคงมีความสามารถแค่นี้
สุดท้ายขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณจริงๆ คะ