บทความวันจันทร์ (25 มี.ค. 62)
วันเลือกตั้ง
โดย วรา วราภรณ์
ข้าพเจ้านั่งเขียนบทความนี้ตอนค่ำวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม หลังจากปิดหีบเลือกตั้งมาได้สองชั่วโมงครึ่ง การเลือกตั้งทั่วไปสำหรับชาวไทย ครั้งที่เท่าไรไม่ได้ค้นข้อมูล ระหว่างนี้ผู้คนมากมายต่างก็ติดตามข่าวสารเรื่องการนับคะแนนกันไปในแต่ละช่วงนาที
ก่อนสองทุ่ม หมู่บ้านของเราเข้าสู่ราตรีกาลอย่างสงบเช่นเคย หลังจากช่วงตะวันยังไม่ทันตกดิน มีเสียงเพลงจากเครื่องขยายเสียงบ้านใกล้เรือนเคียงที่เปิดเผื่อแผ่มาให้ผู้เขียนฟังเกือบจะเป็น “จัดเต็ม” โดยเฉพาะเพลงที่มีท่อนสร้อยเป็นเสียงร้องครวญครางจากฝ่ายหญิงขณะแสดงบทอัศจรรย์กับฝ่ายชาย จนมีนักแต่งเพลงชั้นครูท่านหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติออกมาตำหนิผ่านสื่ออย่างชัดเจน
สำหรับข้าพเจ้า แค่ประเด็นเปิดเสียงดังเผื่อแผ่มาให้ทั้งที่ไม่ได้จัดงาน นี่ก็คือประชาธิปไตยครัวเรือนที่สอบตก ส่วนประเด็นเนื้อหาเพลง
ต้องแยกไปอีกเรื่องหนึ่ง และขอเขียนถึงในโอกาสอื่น และพรรคไหนหรือที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ข้าพเจ้าเชิญชวนให้มาทดสอบ “แก้ปัญหา” หรือไม่ก็ “พัฒนา” คุณภาพชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้เสียก่อน
ช่วงบ่ายสามโมงเศษหลังหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว ข้าพเจ้าถีบรถจักรยานเลาะไปตามเส้นทางสัญจรภายในหมู่บ้าน เป้าหมายคือบ้านหลังหนึ่งที่มีเด็กผู้หญิงวัยแปดเก้าขวบ พ่อแม่แยกทางกัน เด็กมาอยู่กับพ่อ ซึ่งมีภรรยาใหม่และลูกใหม่อีกสองคน ชาย-หญิง มีเพื่อนบ้านเล่าว่า เด็กหญิงกำพร้าแม่คนนี้ไม่ได้รับความเมตตาจากแม่เลี้ยงคนสวยแต่อย่างไร มิหนำซ้ำ พ่อตัวก็ไม่สนใจลูก จะมีก็แต่ปู่ที่ช่วยทำหน้าที่ผู้ปกครองแทนให้บ้าง ทำให้เด็กหญิงตัวผอมบางคนนี้ชอบพาตัวออกนอกบ้านด้วยสองเท้า ไปที่โน่นที่นี่ ตามแต่จะไปได้ แม้แต่ในวันเรียน เธอก็เคยหนีโรงเรียน
เธอเป็นคนที่ข้าพเจ้าอยากชวนไปค่ายธรรมะร่วมกับเด็กอื่นๆ ในช่วงปิดเทอม เพราะอยากเติมโลกวัยเยาว์ของเธอให้มีสีสันและมีความหมายมากขึ้น น่าสะท้อนใจที่พ่อของเธอกลับหมกมุ่นสุราและยาเสพติดตามคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เขาเพียงแต่ยืนยิ้ม ตาหรี่ปรือเมื่อข้าพเจ้าถามหาลูกสาว พอดีภรรยาของเขากลับเข้าบ้านมาพร้อมกับเด็กหญิงคนนี้ เธอจึงแสดงอาการรับรู้คำชวนของข้าพเจ้าแต่ยังไม่ตอบรับ ส่วนลูกชายคนโตของเธอวัยห้าหกขวบที่เปลือยกายท่อนล่างอยู่ก็จ้องเขม็งมาที่ตะกร้าหน้ารถของข้าพเจ้าซึ่งมีขนมอยู่สองอย่าง เขาแสดงท่าทางและคำพูดว่าต้องการมัน ข้าพเจ้าจึงส่งให้ห่อหนึ่ง แต่เด็กชายไม่รับ ถลาเข้ามาคว้าเอาอีกห่อหนึ่งไปแทนโดยไม่มีคำขอบคุณอย่างที่ผู้เป็นแม่พยายามคะยั้นคะยอ
ผ่านบ้านนั้นมาถึงอีกบ้านหนึ่งที่รู้จักกันดี ลูกสาววัยสามสิบห้าของบ้านนี้ยังไม่มีงานทำ หลังจากลาออกมาจากโรงงานแห่งหนึ่งเพราะเจ็บข้อมือ ทำงานต่อไม่ไหว เธอไม่มีความเพียรมากพอ และติดบุหรี่มาตั้งแต่วัยประถม ขณะที่สามีของเธอก็ติดยาบ้า และไม่ยอมไปทำงานที่ไหน พึ่งพาแต่แม่ของตัวที่คอยส่งเงินให้ใช้เรื่อยไป เพราะเป็นเจ้าของที่นานับสิบไร่ในเขตดินดำน้ำชุ่ม
ข้าพเจ้าถามอ้อมๆ ว่า ไปสมัครงานที่แนะนำให้หรือยัง สาวเจ้าซึ่งกำลังกินอาหารมื้อเที่ยงตอบว่าไม่ได้สมัครเพราะติดปัญหาโน่นนี่ ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ ตัดบทแล้วจากมา ก่อนจะออกจากซอยมาขึ้นถนนใหญ่เพื่อข้ามไปยังฝั่งบ้านของตนเอง พลันก็แลเห็นลูกชายของบ้านที่อยู่ถัดไปอีกสองหลังกำลังเดินโซซัดโซเซในเสื้อผ้ามอมแมม เขาเป็นคนหนุ่มที่เสื่อมสภาพมนุษย์ลงไปทุกวัน และยังต้องเดินมาขอยืมของใช้บางสิ่งจากบ้านของผู้เขียนอยู่เนืองๆ พอถามก็บอกว่าไม่มีเงินซื้อ เพราะเอาไปซื้อเหล้ามาดื่มจนหมด
หนุ่มคนนี้เดิมเคยทำงานเป็นลูกจ้างที่กรุงเทพฯและมีภรรยา ต่อมาก็กลับมาอยู่บ้านด้วยสาเหตุทุจริตอะไรสักอย่างจึงถูกไล่ออก และในที่สุดภรรยาก็ทิ้งไป เขาจึงอาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นผู้หญิงที่มีร่างกายแข็งแรง ขยัน แต่ชอบหยิบฉวยข้าวของของครัวเรือนอื่น อาจด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครคบหากับนาง และล่าสุดนางก็กลับกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องถีบรถจักรยานผ่านบ้านข้าพเจ้าเพื่อไปซื้อที่ร้านค้าดื่มวันละหลายแก้ว ส่วนสามีของนางก็เอือมระอาจนต้องแยกไปอยู่กับลูกสาวอีกคน สรุปว่าแม่ลูกคู่นี้เป็นคนเมาทั้งคู่ กับมีเรื่องทุ่มเถียง ทำร้ายร่างกายกันเป็นประจำ และบ้านของผู้เขียนก็จะเป็นเสมือนที่พึ่งพิงทางใจแห่งแรกของคนทั้งคู่เสมอ (ไม่ว่าเราจะเต็มใจหรือไม่)
นี่แค่ปัญหาเบื้องต้น ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า “จิ๊บจิ๊บ” ยังมีอีกบางครอบครัวที่อยู่ถัดไปไม่ไกล ถัดจากแปลงดอกไม้สีสวยด้านหน้าเข้าไปภายในบ้าน ช่างว่ามีเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัว และน่าเศร้าในบ้านเพียงหลังเดียว หลานชายติดเกม ขโมยเงินแม่นับพันบาทจนแม่รู้สึกเกลียดชังลูก น้าชายที่เพิ่งปลดทหารออกมาเสพยาและขายยาบ้า น้าสาวเครียดกับหนี้สินจนป่วยซึมเศร้า เด็กสองสามคนในบ้านนั้นไม่ได้กินอาหารเช้ากันเลย พวกเขาซูบผอม และบางคนเริ่มป่วยด้วยโรคร้ายแรง...
พรรคไหนหรือที่จะมาบริหารบ้านนี้เมืองนี้ เชิญมาแก้ปัญหาที่หมู่บ้านของข้าพเจ้าก่อนเถิด
ที่แน่ๆ ก่อนหน้าเลือกตั้งสองวัน มีคนถือเงินสดเดินมาส่งให้ถึงบ้านคนละไม่ต่ำกว่าแปดร้อยบาท พรรคหนึ่งห้าร้อย พรรคหนึ่งสามร้อย และสองพรรคนี้ก็คือพรรคที่มีคะแนนไล่ตามกันในเวลาต่อมาเมื่อเปิดหีบนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งในหมู่บ้าน
ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า อันที่จริง เลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าเราไม่ไปก็ได้ เพราะถึงแม้จะได้พิจารณาอย่างรอบคอบและตัดสินใจแล้วว่าเราเลือกคนดี แต่ในที่สุด การเลือกคนดีในแบบของเราก็อาจไม่มีความหมายอะไรในระบอบประชาธิปไตย เพราะเราคือเสียงส่วนน้อย
และที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าน่าเสียใจยิ่งกว่าก็คือ การที่เรารับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้นทุกขณะว่า เรากำลังอยู่ในสังคมประชาธิปไตยที่ขาดปัญญา
.........................
(ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ)
บทความวันจันทร์ (25 มี.ค. 62) : วันเลือกตั้ง
วันเลือกตั้ง
โดย วรา วราภรณ์
ข้าพเจ้านั่งเขียนบทความนี้ตอนค่ำวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม หลังจากปิดหีบเลือกตั้งมาได้สองชั่วโมงครึ่ง การเลือกตั้งทั่วไปสำหรับชาวไทย ครั้งที่เท่าไรไม่ได้ค้นข้อมูล ระหว่างนี้ผู้คนมากมายต่างก็ติดตามข่าวสารเรื่องการนับคะแนนกันไปในแต่ละช่วงนาที
ก่อนสองทุ่ม หมู่บ้านของเราเข้าสู่ราตรีกาลอย่างสงบเช่นเคย หลังจากช่วงตะวันยังไม่ทันตกดิน มีเสียงเพลงจากเครื่องขยายเสียงบ้านใกล้เรือนเคียงที่เปิดเผื่อแผ่มาให้ผู้เขียนฟังเกือบจะเป็น “จัดเต็ม” โดยเฉพาะเพลงที่มีท่อนสร้อยเป็นเสียงร้องครวญครางจากฝ่ายหญิงขณะแสดงบทอัศจรรย์กับฝ่ายชาย จนมีนักแต่งเพลงชั้นครูท่านหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติออกมาตำหนิผ่านสื่ออย่างชัดเจน
สำหรับข้าพเจ้า แค่ประเด็นเปิดเสียงดังเผื่อแผ่มาให้ทั้งที่ไม่ได้จัดงาน นี่ก็คือประชาธิปไตยครัวเรือนที่สอบตก ส่วนประเด็นเนื้อหาเพลง
ต้องแยกไปอีกเรื่องหนึ่ง และขอเขียนถึงในโอกาสอื่น และพรรคไหนหรือที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ข้าพเจ้าเชิญชวนให้มาทดสอบ “แก้ปัญหา” หรือไม่ก็ “พัฒนา” คุณภาพชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้เสียก่อน
ช่วงบ่ายสามโมงเศษหลังหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว ข้าพเจ้าถีบรถจักรยานเลาะไปตามเส้นทางสัญจรภายในหมู่บ้าน เป้าหมายคือบ้านหลังหนึ่งที่มีเด็กผู้หญิงวัยแปดเก้าขวบ พ่อแม่แยกทางกัน เด็กมาอยู่กับพ่อ ซึ่งมีภรรยาใหม่และลูกใหม่อีกสองคน ชาย-หญิง มีเพื่อนบ้านเล่าว่า เด็กหญิงกำพร้าแม่คนนี้ไม่ได้รับความเมตตาจากแม่เลี้ยงคนสวยแต่อย่างไร มิหนำซ้ำ พ่อตัวก็ไม่สนใจลูก จะมีก็แต่ปู่ที่ช่วยทำหน้าที่ผู้ปกครองแทนให้บ้าง ทำให้เด็กหญิงตัวผอมบางคนนี้ชอบพาตัวออกนอกบ้านด้วยสองเท้า ไปที่โน่นที่นี่ ตามแต่จะไปได้ แม้แต่ในวันเรียน เธอก็เคยหนีโรงเรียน
เธอเป็นคนที่ข้าพเจ้าอยากชวนไปค่ายธรรมะร่วมกับเด็กอื่นๆ ในช่วงปิดเทอม เพราะอยากเติมโลกวัยเยาว์ของเธอให้มีสีสันและมีความหมายมากขึ้น น่าสะท้อนใจที่พ่อของเธอกลับหมกมุ่นสุราและยาเสพติดตามคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เขาเพียงแต่ยืนยิ้ม ตาหรี่ปรือเมื่อข้าพเจ้าถามหาลูกสาว พอดีภรรยาของเขากลับเข้าบ้านมาพร้อมกับเด็กหญิงคนนี้ เธอจึงแสดงอาการรับรู้คำชวนของข้าพเจ้าแต่ยังไม่ตอบรับ ส่วนลูกชายคนโตของเธอวัยห้าหกขวบที่เปลือยกายท่อนล่างอยู่ก็จ้องเขม็งมาที่ตะกร้าหน้ารถของข้าพเจ้าซึ่งมีขนมอยู่สองอย่าง เขาแสดงท่าทางและคำพูดว่าต้องการมัน ข้าพเจ้าจึงส่งให้ห่อหนึ่ง แต่เด็กชายไม่รับ ถลาเข้ามาคว้าเอาอีกห่อหนึ่งไปแทนโดยไม่มีคำขอบคุณอย่างที่ผู้เป็นแม่พยายามคะยั้นคะยอ
ผ่านบ้านนั้นมาถึงอีกบ้านหนึ่งที่รู้จักกันดี ลูกสาววัยสามสิบห้าของบ้านนี้ยังไม่มีงานทำ หลังจากลาออกมาจากโรงงานแห่งหนึ่งเพราะเจ็บข้อมือ ทำงานต่อไม่ไหว เธอไม่มีความเพียรมากพอ และติดบุหรี่มาตั้งแต่วัยประถม ขณะที่สามีของเธอก็ติดยาบ้า และไม่ยอมไปทำงานที่ไหน พึ่งพาแต่แม่ของตัวที่คอยส่งเงินให้ใช้เรื่อยไป เพราะเป็นเจ้าของที่นานับสิบไร่ในเขตดินดำน้ำชุ่ม
ข้าพเจ้าถามอ้อมๆ ว่า ไปสมัครงานที่แนะนำให้หรือยัง สาวเจ้าซึ่งกำลังกินอาหารมื้อเที่ยงตอบว่าไม่ได้สมัครเพราะติดปัญหาโน่นนี่ ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ ตัดบทแล้วจากมา ก่อนจะออกจากซอยมาขึ้นถนนใหญ่เพื่อข้ามไปยังฝั่งบ้านของตนเอง พลันก็แลเห็นลูกชายของบ้านที่อยู่ถัดไปอีกสองหลังกำลังเดินโซซัดโซเซในเสื้อผ้ามอมแมม เขาเป็นคนหนุ่มที่เสื่อมสภาพมนุษย์ลงไปทุกวัน และยังต้องเดินมาขอยืมของใช้บางสิ่งจากบ้านของผู้เขียนอยู่เนืองๆ พอถามก็บอกว่าไม่มีเงินซื้อ เพราะเอาไปซื้อเหล้ามาดื่มจนหมด
หนุ่มคนนี้เดิมเคยทำงานเป็นลูกจ้างที่กรุงเทพฯและมีภรรยา ต่อมาก็กลับมาอยู่บ้านด้วยสาเหตุทุจริตอะไรสักอย่างจึงถูกไล่ออก และในที่สุดภรรยาก็ทิ้งไป เขาจึงอาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นผู้หญิงที่มีร่างกายแข็งแรง ขยัน แต่ชอบหยิบฉวยข้าวของของครัวเรือนอื่น อาจด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครคบหากับนาง และล่าสุดนางก็กลับกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องถีบรถจักรยานผ่านบ้านข้าพเจ้าเพื่อไปซื้อที่ร้านค้าดื่มวันละหลายแก้ว ส่วนสามีของนางก็เอือมระอาจนต้องแยกไปอยู่กับลูกสาวอีกคน สรุปว่าแม่ลูกคู่นี้เป็นคนเมาทั้งคู่ กับมีเรื่องทุ่มเถียง ทำร้ายร่างกายกันเป็นประจำ และบ้านของผู้เขียนก็จะเป็นเสมือนที่พึ่งพิงทางใจแห่งแรกของคนทั้งคู่เสมอ (ไม่ว่าเราจะเต็มใจหรือไม่)
นี่แค่ปัญหาเบื้องต้น ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า “จิ๊บจิ๊บ” ยังมีอีกบางครอบครัวที่อยู่ถัดไปไม่ไกล ถัดจากแปลงดอกไม้สีสวยด้านหน้าเข้าไปภายในบ้าน ช่างว่ามีเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัว และน่าเศร้าในบ้านเพียงหลังเดียว หลานชายติดเกม ขโมยเงินแม่นับพันบาทจนแม่รู้สึกเกลียดชังลูก น้าชายที่เพิ่งปลดทหารออกมาเสพยาและขายยาบ้า น้าสาวเครียดกับหนี้สินจนป่วยซึมเศร้า เด็กสองสามคนในบ้านนั้นไม่ได้กินอาหารเช้ากันเลย พวกเขาซูบผอม และบางคนเริ่มป่วยด้วยโรคร้ายแรง...
พรรคไหนหรือที่จะมาบริหารบ้านนี้เมืองนี้ เชิญมาแก้ปัญหาที่หมู่บ้านของข้าพเจ้าก่อนเถิด
ที่แน่ๆ ก่อนหน้าเลือกตั้งสองวัน มีคนถือเงินสดเดินมาส่งให้ถึงบ้านคนละไม่ต่ำกว่าแปดร้อยบาท พรรคหนึ่งห้าร้อย พรรคหนึ่งสามร้อย และสองพรรคนี้ก็คือพรรคที่มีคะแนนไล่ตามกันในเวลาต่อมาเมื่อเปิดหีบนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งในหมู่บ้าน
ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า อันที่จริง เลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าเราไม่ไปก็ได้ เพราะถึงแม้จะได้พิจารณาอย่างรอบคอบและตัดสินใจแล้วว่าเราเลือกคนดี แต่ในที่สุด การเลือกคนดีในแบบของเราก็อาจไม่มีความหมายอะไรในระบอบประชาธิปไตย เพราะเราคือเสียงส่วนน้อย
และที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าน่าเสียใจยิ่งกว่าก็คือ การที่เรารับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้นทุกขณะว่า เรากำลังอยู่ในสังคมประชาธิปไตยที่ขาดปัญญา
.........................
(ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ)