# มิวนิค นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล ดาราเด็กสู่ไอดอลสาวผู้ต้องการสร้างภาพจำด้านการแสดงอีกครั้ง
“หนูเข้าวง BNK48 เพราะอยากเอาชนะความกลัวของตัวเอง เมื่อก่อนหนูกลัวการร้องเพลง แต่เป็นคนชอบเต้น เลยอยากลองเข้าวงเพื่อพัฒนาด้านการร้อง แน่นอนว่าหนูได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวหนูมากมาย ทั้งความกล้า ความคิด และการจัดการตารางเวลาตัวเองด้วย”
เมื่อเปลี่ยนสถานะเป็นไอดอลแล้ว การร้องเพลงไม่ใช่ความน่ากลัวเพียงหนึ่งเดียวของมิวนิคอีกต่อไป
“ความน่ากลัวคือการเอนเตอร์เทน ไอดอลต้องเอนเตอร์เทนเยอะกว่าการเป็นนักแสดง เวลาออกไปโชว์ ก็ต้องทำให้คนสนุกไปกับหนู ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูจะต้องพัฒนาต่อไป ตอนแรกๆ หนูคิดว่าต้องทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย พอหนูกดดันตัวเองมากเกินไป มันกลับทำให้หนูเครียดและไม่มีความสุขเวลาต้องขึ้นไปแสดงบนเวที หลังจากนั้นหนูเลยเปลี่ยนความคิดว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เป็นไร ขอให้ตัวเราสนุกไปกับมันในวันนี้ก็พอ”
การเป็นสมาชิกวง BNK48 ไม่ได้เป็นที่สนใจจากกลุ่มแฟนคลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงคนจากแวดวงอื่นๆ ด้วย นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความกลัวของสาวน้อยคนนี้ ซึ่งส่งผลให้เธอต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้น
“ในการใช้ชีวิตปกติของหนูแต่ก่อนจะลงโซเชียลยังไงก็ได้ จะออกไปไหนหรือจะทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เวลาจะทำอะไร หนูต้องคิดให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น ก่อนลงโซเชียลทุกครั้งก็ต้องเช็กความเรียบร้อยของรูปภาพให้ดี หรือเวลาออกไปเที่ยว ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดี ไม่ใช่ใส่เสื้อแขนกุดหรือกางเกงขาสั้น”
ยิ่งก้าวแรกในวงของเธอเริ่มต้นด้วยตำแหน่งเซ็นเตอร์ของเพลง ‘Tsugi no Season (ฤดูใหม่)’ ก็ยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกอิริยาบถและการแสดงออกของเธอจะถูกจับตามองและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์
“คอมเมนต์ด้านลบมีแน่นอนค่ะ ยิ่งหนูเข้ามาแล้วได้รับตำแหน่งเซ็นเตอร์เลยด้วย ส่วนมากจะโดนเรื่องโซเชียลมีเดีย จริงๆ หนูเป็นคนไม่ค่อยอัพสตอรี อัพอินสตาแกรม แต่แฟนคลับอยากให้หนูโพสต์เยอะๆ ซึ่งมันขัดกับหนูมากๆ ยอมรับตรงๆ ว่าช่วงแรกไม่แฮปปี้เลย เคยพยายามลองหักดิบด้วยการอัพสตอรีเช้า กลางวัน เย็น เช้า กลางวัน เย็น ติดกันประมาณเกือบอาทิตย์หนึ่ง ก็รู้สึกแย่มาก ดาวน์มาก ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทำเลย ร้องไห้ทุกวัน
“หนูคิดว่าการอยู่ในวง BNK48 การเป็นตัวของตัวเองน่าจะทำให้ทุกคนยอมรับมากที่สุด แต่หนูไม่ได้บอกว่าหนูจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปและปิดกั้นทุกอย่าง ไม่ใช่ หนูรับฟังและค่อยๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ในสิ่งที่หนูสามารถทำได้ การอยู่ตรงนี้ต้องมีการปรับตัว แต่หนูไม่ได้เปลี่ยนตัวเองจนสูญเสียความเป็นตัวเองไป หนูก็โดนเรื่องที่ไม่ค่อยเฟรนด์ลี่หรือไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นเยอะเหมือนกันนะ เวลาที่แฟนคลับไปรับไปส่งที่สนามบินแล้วพวกเขาถ่ายรูปหนูมา มันก็จะมีหน้าไม่ยิ้มเป็นส่วนใหญ่ เพราะหนูไม่ใช่คนที่ยิ้มตลอดเวลา และเป็นคนเงียบๆ และค่อนข้างนิ่งใส่ถ้าไม่สนิท
งานจับมือครั้งแรกฟีดแบ็กก็ไม่ค่อยดี หลายๆ คนบอกว่าหนูพูดน้อย หนูก็อ่าน รับฟัง และค่อยๆ ปรับปรุง หนูพยายามบาลานซ์ในการรับฟังคอมเมนต์ เพราะมันมาจากหลายมุมมองที่ไม่เหมือนกัน หนูไม่เคยมองตัวเองในมุมที่บุคคลภายนอกมองเราเข้ามาเหมือนกัน
การได้เห็นมุมมองจากพวกเขามันก็ดี อันที่ชมหนูก็รับไว้แต่จะไม่อ่านเยอะจนเกินไป เพราะกลัวตัวเองจะเหลิง ส่วนอันที่ไม่ชม หนูจะดูว่ามันเป็นเพราะหนูผิดจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งคุณแม่ก็คอยช่วยเช็กตลอด”
กาลเวลาสร้างกลไกการเรียนรู้ให้เธอจนสามารถวางตัวและสวมบทบาทเป็นไอดอลในจุดที่เธอมีความสุขได้ในที่สุด
“ทุกวันนี้หนูก็ยังต้องปรับตัวอยู่ แต่พอเริ่มจับแนวทางได้แล้ว เราก็ทำไปเรื่อยๆ อย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปเพื่อให้ตัวเรามีความสุข และมันก็ดีต่อใจหนูมากกว่าการหักดิบในช่วงแรก แฟนคลับก็เริ่มเห็นว่าหนูพยายามปรับตัวด้วยเหมือนกัน”
ในขณะที่ปรับชีวิตของตัวเองให้เข้ากันได้อย่างลงตัวกับวิถีของไอดอลได้ไม่ทันไร มิวนิคก็ต้องเจอกับอีกหนึ่งความท้าทายของการเป็นสมาชิก BNK48 นั่นก็คือการเข้าร่วม General Election ครั้งแรกของวง ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกของวงสมัครเพื่อให้แฟนคลับโหวตลงคะแนน 16 อันดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้เป็นเซ็มบัตสึ (Senbatsu) ในเพลงหลักของซิงเกิลที่ 6 ที่มีชื่อว่า ‘Beginner’ และ 16 อันดับต่อมาจะได้เป็นอันเดอร์เกิร์ลส์ (Under Girls) หรือสมาชิกที่แสดงในเพลงรองของซิงเกิลนี้ที่มีชื่อว่า ‘Kimi no Koto ga Suki Dakara (ก็เพราะว่าชอบเธอ)’
แม้ภาพการแข่งขันจะไม่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเหมือนเกมกีฬา แต่เหล่าสมาชิกก็ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองเป็นที่รู้จักหรือเป็นที่นิยมในหมู่แฟนคลับ และสำหรับมิวนิค ผลการตัดสินออกมาว่าเธอติดเป็นหนึ่งในสมาชิกอันเดอร์เกิร์ลส์
“General Election ที่ผ่านมาหนูบอกแฟนๆ ไปว่าไม่คิดมากหรอก ตำแหน่งอะไรก็ได้ แต่ในใจจริงๆ หนูก็คาดหวังไว้สูงเหมือนกัน เพราะตั้งแต่หนูเข้าวงมา หนูได้รับโอกาสที่ดีมาตลอด ทั้งการได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงฤดูใหม่ และเป็นเซ็มบัตสึในเพลง BNK Festival แต่พอผลลัพธ์ออกมา เอาจริงๆ เสียใจไหม ก็เสียใจ แต่ก็ลองคิดใหม่ว่ามันเป็นอีกมุมสำหรับหนูละกัน การได้เป็นอันเดอร์เกิร์ลส์ในเพลงรองก็ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่หนูไม่เคยเห็นมาก่อน
และทำให้คิดได้ว่าทุกตำแหน่งมีความสำคัญเท่ากันหมด ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป โชว์ก็ออกมาไม่สมบูรณ์ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหน หนูก็สามารถทำให้ตำแหน่งนั้น shining ออกมาได้”
“จริงๆ หนังเรื่อง ‘กระสือสยาม’ หนูได้เล่นตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าวง BNK48”
มิวนิคไขข้อสงสัยของเราที่ว่าทำไมเธอถึงกลับมารับงานแสดงอีกครั้งทั้งๆ ที่เธอเคยกล่าวไว้ว่าเธออิ่มตัวกับการแสดง
“คำว่า ‘อิ่มตัว’ ของหนูจริงๆ แล้วคือหนูอยากได้รับบทบาทใหม่ๆ ที่ท้าทายและยากกว่าเดิม หนูได้รับโอกาสแบบหนังเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย ซึ่งนี่คือหนังโรงเรื่องแรกของหนูและได้เล่นเป็นนักแสดงนำด้วย พอถ่ายทำเสร็จ ระหว่างรอการตัดต่อ ก็เป็นจังหวะที่มีโอกาสจากวง BNK48 เข้ามา หนูเลยลองไปออดิชั่นดู”
กระสือสยามคือหนังที่สาวน้อยคนนี้ก้าวผ่านจากคำว่านักแสดงเด็กสู่นักแสดงวัยรุ่นที่บทบาทเริ่มเข้มข้นมากขึ้น เป็นความแปลกใหม่ที่ท้าทายฝีมือของเธอมากๆ
“มันท้าทายตั้งแต่เป็นหนังโรงแล้ว มันคือ ‘ความจริง’ ที่ไม่จำเป็นต้องโอเว่อร์แอ็กติ้ง แค่สื่อทางสายตาก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่ ซึ่งหนูคิดว่ามันยาก และยิ่งเป็นหนังผีด้วย เรื่อง CG นี่แหละที่ยากเพราะต้องใช้จินตนาการสูง ผีกระสือ หนูไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ในหัวเราก็นึกภาพแค่ว่ามีหัว มีไส้ แล้วรอบตัวเราก็มีแค่ฉากสีฟ้า สีเขียว มันก็ต้องจินตนาการเองร้อยเปอร์เซ็นต์ และทำงานกับพี่ปรัชญา ปิ่นแก้วด้วย ก็กดดันค่ะ”
สำหรับเธอ ปรัชญา ปิ่นแก้วคือผู้กำกับที่เก่ง มิวนิคจึงกลัวว่าจะแสดงออกมาไม่ได้มาตรฐานของเขา
“อย่างที่รู้ๆ กันว่าพี่ปรัชญาเป็นผู้กำกับที่เก่งมากๆ หนูก็กลัวว่าหนูจะโดนเขาว่าไหม หนูจะทำได้ถูกใจเขาหรือเปล่า แต่มันกลับต่างจากที่หนูคิดไว้ลิบลับเลยค่ะ เพราะตั้งแต่เปิดกอง หนูไม่ได้ยินเสียงเขาเลยค่ะ” เธอหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หนูก็งงๆ ว่า ที่หนูแสดงผ่าน พี่เขาถูกใจหรือไม่ถูกใจ เพราะเขาไม่คอมเมนต์อะไรหนูเลยค่ะ หนูได้ยินเสียงเขาผ่านวอล์กกี้ทอล์กกี้ ไม่เคยได้ยินเสียงแบบที่พูดกันแล้วเห็นหน้าเขา มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเลย และบางทีในซีนยากๆ ที่หนูคิดว่าไม่น่าจะเทกเดียวแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าเทกเดียวผ่านเฉย นี่พี่เขาชอบหรือไม่ชอบนะ”
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้การแสดงของเธอผ่านฉลุยในสายตาของผู้กำกับน่าจะเป็นเพราะบท ‘โมรา’ นั้นถอดแบบมาจากคาแรกเตอร์จริงของมิวนิคเอง
“พี่ผู้กำกับเขาน่าจะเลือกหนูเพราะคาแรกเตอร์ของหนู หนูก็เล่นเป็นตัวเองเลย ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วย มันเลยน่าจะออกมาเป็นธรรมชาติ และเอาจริงๆ ตัวละครโมรามันใกล้เคียงกับตัวหนูในระดับหนึ่ง เลยไม่ต้องปรับหรือจูนอะไรเยอะมาก ”
เมื่อหนังเรื่องนี้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ มิวนิคหวังว่าคนดูจะเห็นว่าการเป็นนักแสดงคืออีกบทบาทหนึ่งที่เธอสามารถทำได้เช่นเดียวกับการเป็นไอดอล
“หนูอยากให้คนยอมรับหนูในฐานะนักแสดงด้วย อยากพิสูจน์เรื่องการแสดงของตัวเองให้คนได้เห็น เพราะว่าคนคงไม่ค่อยมีภาพจำของหนูเกี่ยวกับการแสดงสักเท่าไร หนูว่าหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้ว่าหนูก็สามารถไปทางด้านนี้ได้โอเคเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เป็นไอดอลอย่างเดียว”
“ปีนี้ BNK48 จะมีโปรเจกต์อีกเยอะมาก และผู้บริหารก็เรียกไปคุยทีละคนว่าปีนี้อยากจะทำอะไรกันหรือเปล่า สามารถเสนอได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลองสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ สำหรับหนูหลังได้ลองเล่นเรื่องนี้แล้วชอบการเล่นหนังมากๆ เลยคุยกับผู้บริหารว่าถ้ามีโอกาส หนูอยากลองอีก เป็นอะไรก็ได้ เพราะมันต้องเป็นบทบาทใหม่ที่หนูไม่เคยทำอยู่แล้วแน่นอน แต่หนูไม่ได้ขอว่าต้องได้เล่นเลยนะ หนูแค่อยากลองไปแคสต์ ผู้บริหารก็บอกว่าเมื่อฟีดแบ็กหนังเรื่องนี้ออกมาแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง”
มิวนิคย้ำจุดมุ่งหมายของเธอที่ต้องการทำงานสายการแสดงควบคู่ไปกับการเป็นไอดอลอย่างมุ่งมั่น เราจึงอดถามไม่ได้ว่าแล้วบทแบบไหนที่เธออยากลองในช่วงวัยนี้
“จริงๆ อยากฉีกไปเลยเหมือนกันนะคะ คนจะได้เห็นหนูในมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าต้องเป็นบทแบบไหน แต่ส่วนตัวหนูเป็นคนชอบเล่นบทดราม่า ไม่รู้ทำไมถึงชอบร้องไห้ หนูว่ามันท้าทายดี จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ร้องไห้เยอะ แต่ใช้อารมณ์เยอะ
ฉากร้องไห้ก็แทบไม่ได้พูดเลย พูดแค่ 3 คำ อารมณ์ที่ออกมามันเลยมีอะไรที่ลึกกว่าการร้องไห้ธรรมดา หรือไม่ใช่บทดราม่าก็ได้ เป็นนางร้ายบ้างก็ดีนะคะ อยากลอง” เธอหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “หนูอยากเล่นบทอะไรก็ได้ที่อารมณ์มันต้องออกมาจากข้างในจริงๆ ไม่ต้องร้องไห้โฮให้เห็นชัดหรือร้ายแบบแว้ดๆ ขนาดนั้น”
ติดตามชม ‘กระสือสยาม’ ได้ 4 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
และติดตามความเคลื่อนไหวของมิวนิคต่อได้ที่ FB: Mewnich BNK48
และ Instagram @mewnich.bnk48official
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่
https://dontedition.com/mewnichbnk48/?fbclid=IwAR1ra_2rG_m8VB_ZD3Y5h6y-TGBqh3rIPOq5BLqKyehipinKAkEcl251fII
# บทสัมภาษณ์ มิวนิค จากดาราเด็กสู่ไอดอลสาวผู้ต้องการสร้างภาพจำด้านการแสดงอีกครั้ง
“หนูเข้าวง BNK48 เพราะอยากเอาชนะความกลัวของตัวเอง เมื่อก่อนหนูกลัวการร้องเพลง แต่เป็นคนชอบเต้น เลยอยากลองเข้าวงเพื่อพัฒนาด้านการร้อง แน่นอนว่าหนูได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวหนูมากมาย ทั้งความกล้า ความคิด และการจัดการตารางเวลาตัวเองด้วย”
เมื่อเปลี่ยนสถานะเป็นไอดอลแล้ว การร้องเพลงไม่ใช่ความน่ากลัวเพียงหนึ่งเดียวของมิวนิคอีกต่อไป
“ความน่ากลัวคือการเอนเตอร์เทน ไอดอลต้องเอนเตอร์เทนเยอะกว่าการเป็นนักแสดง เวลาออกไปโชว์ ก็ต้องทำให้คนสนุกไปกับหนู ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูจะต้องพัฒนาต่อไป ตอนแรกๆ หนูคิดว่าต้องทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย พอหนูกดดันตัวเองมากเกินไป มันกลับทำให้หนูเครียดและไม่มีความสุขเวลาต้องขึ้นไปแสดงบนเวที หลังจากนั้นหนูเลยเปลี่ยนความคิดว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เป็นไร ขอให้ตัวเราสนุกไปกับมันในวันนี้ก็พอ”
การเป็นสมาชิกวง BNK48 ไม่ได้เป็นที่สนใจจากกลุ่มแฟนคลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงคนจากแวดวงอื่นๆ ด้วย นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความกลัวของสาวน้อยคนนี้ ซึ่งส่งผลให้เธอต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้น
“ในการใช้ชีวิตปกติของหนูแต่ก่อนจะลงโซเชียลยังไงก็ได้ จะออกไปไหนหรือจะทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้เวลาจะทำอะไร หนูต้องคิดให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น ก่อนลงโซเชียลทุกครั้งก็ต้องเช็กความเรียบร้อยของรูปภาพให้ดี หรือเวลาออกไปเที่ยว ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดี ไม่ใช่ใส่เสื้อแขนกุดหรือกางเกงขาสั้น”
ยิ่งก้าวแรกในวงของเธอเริ่มต้นด้วยตำแหน่งเซ็นเตอร์ของเพลง ‘Tsugi no Season (ฤดูใหม่)’ ก็ยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกอิริยาบถและการแสดงออกของเธอจะถูกจับตามองและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์
“คอมเมนต์ด้านลบมีแน่นอนค่ะ ยิ่งหนูเข้ามาแล้วได้รับตำแหน่งเซ็นเตอร์เลยด้วย ส่วนมากจะโดนเรื่องโซเชียลมีเดีย จริงๆ หนูเป็นคนไม่ค่อยอัพสตอรี อัพอินสตาแกรม แต่แฟนคลับอยากให้หนูโพสต์เยอะๆ ซึ่งมันขัดกับหนูมากๆ ยอมรับตรงๆ ว่าช่วงแรกไม่แฮปปี้เลย เคยพยายามลองหักดิบด้วยการอัพสตอรีเช้า กลางวัน เย็น เช้า กลางวัน เย็น ติดกันประมาณเกือบอาทิตย์หนึ่ง ก็รู้สึกแย่มาก ดาวน์มาก ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทำเลย ร้องไห้ทุกวัน
“หนูคิดว่าการอยู่ในวง BNK48 การเป็นตัวของตัวเองน่าจะทำให้ทุกคนยอมรับมากที่สุด แต่หนูไม่ได้บอกว่าหนูจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปและปิดกั้นทุกอย่าง ไม่ใช่ หนูรับฟังและค่อยๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ในสิ่งที่หนูสามารถทำได้ การอยู่ตรงนี้ต้องมีการปรับตัว แต่หนูไม่ได้เปลี่ยนตัวเองจนสูญเสียความเป็นตัวเองไป หนูก็โดนเรื่องที่ไม่ค่อยเฟรนด์ลี่หรือไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นเยอะเหมือนกันนะ เวลาที่แฟนคลับไปรับไปส่งที่สนามบินแล้วพวกเขาถ่ายรูปหนูมา มันก็จะมีหน้าไม่ยิ้มเป็นส่วนใหญ่ เพราะหนูไม่ใช่คนที่ยิ้มตลอดเวลา และเป็นคนเงียบๆ และค่อนข้างนิ่งใส่ถ้าไม่สนิท
งานจับมือครั้งแรกฟีดแบ็กก็ไม่ค่อยดี หลายๆ คนบอกว่าหนูพูดน้อย หนูก็อ่าน รับฟัง และค่อยๆ ปรับปรุง หนูพยายามบาลานซ์ในการรับฟังคอมเมนต์ เพราะมันมาจากหลายมุมมองที่ไม่เหมือนกัน หนูไม่เคยมองตัวเองในมุมที่บุคคลภายนอกมองเราเข้ามาเหมือนกัน
การได้เห็นมุมมองจากพวกเขามันก็ดี อันที่ชมหนูก็รับไว้แต่จะไม่อ่านเยอะจนเกินไป เพราะกลัวตัวเองจะเหลิง ส่วนอันที่ไม่ชม หนูจะดูว่ามันเป็นเพราะหนูผิดจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งคุณแม่ก็คอยช่วยเช็กตลอด”
กาลเวลาสร้างกลไกการเรียนรู้ให้เธอจนสามารถวางตัวและสวมบทบาทเป็นไอดอลในจุดที่เธอมีความสุขได้ในที่สุด
“ทุกวันนี้หนูก็ยังต้องปรับตัวอยู่ แต่พอเริ่มจับแนวทางได้แล้ว เราก็ทำไปเรื่อยๆ อย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปเพื่อให้ตัวเรามีความสุข และมันก็ดีต่อใจหนูมากกว่าการหักดิบในช่วงแรก แฟนคลับก็เริ่มเห็นว่าหนูพยายามปรับตัวด้วยเหมือนกัน”
ในขณะที่ปรับชีวิตของตัวเองให้เข้ากันได้อย่างลงตัวกับวิถีของไอดอลได้ไม่ทันไร มิวนิคก็ต้องเจอกับอีกหนึ่งความท้าทายของการเป็นสมาชิก BNK48 นั่นก็คือการเข้าร่วม General Election ครั้งแรกของวง ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกของวงสมัครเพื่อให้แฟนคลับโหวตลงคะแนน 16 อันดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้เป็นเซ็มบัตสึ (Senbatsu) ในเพลงหลักของซิงเกิลที่ 6 ที่มีชื่อว่า ‘Beginner’ และ 16 อันดับต่อมาจะได้เป็นอันเดอร์เกิร์ลส์ (Under Girls) หรือสมาชิกที่แสดงในเพลงรองของซิงเกิลนี้ที่มีชื่อว่า ‘Kimi no Koto ga Suki Dakara (ก็เพราะว่าชอบเธอ)’
แม้ภาพการแข่งขันจะไม่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเหมือนเกมกีฬา แต่เหล่าสมาชิกก็ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองเป็นที่รู้จักหรือเป็นที่นิยมในหมู่แฟนคลับ และสำหรับมิวนิค ผลการตัดสินออกมาว่าเธอติดเป็นหนึ่งในสมาชิกอันเดอร์เกิร์ลส์
“General Election ที่ผ่านมาหนูบอกแฟนๆ ไปว่าไม่คิดมากหรอก ตำแหน่งอะไรก็ได้ แต่ในใจจริงๆ หนูก็คาดหวังไว้สูงเหมือนกัน เพราะตั้งแต่หนูเข้าวงมา หนูได้รับโอกาสที่ดีมาตลอด ทั้งการได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงฤดูใหม่ และเป็นเซ็มบัตสึในเพลง BNK Festival แต่พอผลลัพธ์ออกมา เอาจริงๆ เสียใจไหม ก็เสียใจ แต่ก็ลองคิดใหม่ว่ามันเป็นอีกมุมสำหรับหนูละกัน การได้เป็นอันเดอร์เกิร์ลส์ในเพลงรองก็ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่หนูไม่เคยเห็นมาก่อน
และทำให้คิดได้ว่าทุกตำแหน่งมีความสำคัญเท่ากันหมด ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป โชว์ก็ออกมาไม่สมบูรณ์ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหน หนูก็สามารถทำให้ตำแหน่งนั้น shining ออกมาได้”
“จริงๆ หนังเรื่อง ‘กระสือสยาม’ หนูได้เล่นตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าวง BNK48”
มิวนิคไขข้อสงสัยของเราที่ว่าทำไมเธอถึงกลับมารับงานแสดงอีกครั้งทั้งๆ ที่เธอเคยกล่าวไว้ว่าเธออิ่มตัวกับการแสดง
“คำว่า ‘อิ่มตัว’ ของหนูจริงๆ แล้วคือหนูอยากได้รับบทบาทใหม่ๆ ที่ท้าทายและยากกว่าเดิม หนูได้รับโอกาสแบบหนังเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย ซึ่งนี่คือหนังโรงเรื่องแรกของหนูและได้เล่นเป็นนักแสดงนำด้วย พอถ่ายทำเสร็จ ระหว่างรอการตัดต่อ ก็เป็นจังหวะที่มีโอกาสจากวง BNK48 เข้ามา หนูเลยลองไปออดิชั่นดู”
กระสือสยามคือหนังที่สาวน้อยคนนี้ก้าวผ่านจากคำว่านักแสดงเด็กสู่นักแสดงวัยรุ่นที่บทบาทเริ่มเข้มข้นมากขึ้น เป็นความแปลกใหม่ที่ท้าทายฝีมือของเธอมากๆ
“มันท้าทายตั้งแต่เป็นหนังโรงแล้ว มันคือ ‘ความจริง’ ที่ไม่จำเป็นต้องโอเว่อร์แอ็กติ้ง แค่สื่อทางสายตาก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่ ซึ่งหนูคิดว่ามันยาก และยิ่งเป็นหนังผีด้วย เรื่อง CG นี่แหละที่ยากเพราะต้องใช้จินตนาการสูง ผีกระสือ หนูไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ในหัวเราก็นึกภาพแค่ว่ามีหัว มีไส้ แล้วรอบตัวเราก็มีแค่ฉากสีฟ้า สีเขียว มันก็ต้องจินตนาการเองร้อยเปอร์เซ็นต์ และทำงานกับพี่ปรัชญา ปิ่นแก้วด้วย ก็กดดันค่ะ”
สำหรับเธอ ปรัชญา ปิ่นแก้วคือผู้กำกับที่เก่ง มิวนิคจึงกลัวว่าจะแสดงออกมาไม่ได้มาตรฐานของเขา
“อย่างที่รู้ๆ กันว่าพี่ปรัชญาเป็นผู้กำกับที่เก่งมากๆ หนูก็กลัวว่าหนูจะโดนเขาว่าไหม หนูจะทำได้ถูกใจเขาหรือเปล่า แต่มันกลับต่างจากที่หนูคิดไว้ลิบลับเลยค่ะ เพราะตั้งแต่เปิดกอง หนูไม่ได้ยินเสียงเขาเลยค่ะ” เธอหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หนูก็งงๆ ว่า ที่หนูแสดงผ่าน พี่เขาถูกใจหรือไม่ถูกใจ เพราะเขาไม่คอมเมนต์อะไรหนูเลยค่ะ หนูได้ยินเสียงเขาผ่านวอล์กกี้ทอล์กกี้ ไม่เคยได้ยินเสียงแบบที่พูดกันแล้วเห็นหน้าเขา มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเลย และบางทีในซีนยากๆ ที่หนูคิดว่าไม่น่าจะเทกเดียวแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าเทกเดียวผ่านเฉย นี่พี่เขาชอบหรือไม่ชอบนะ”
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้การแสดงของเธอผ่านฉลุยในสายตาของผู้กำกับน่าจะเป็นเพราะบท ‘โมรา’ นั้นถอดแบบมาจากคาแรกเตอร์จริงของมิวนิคเอง
“พี่ผู้กำกับเขาน่าจะเลือกหนูเพราะคาแรกเตอร์ของหนู หนูก็เล่นเป็นตัวเองเลย ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วย มันเลยน่าจะออกมาเป็นธรรมชาติ และเอาจริงๆ ตัวละครโมรามันใกล้เคียงกับตัวหนูในระดับหนึ่ง เลยไม่ต้องปรับหรือจูนอะไรเยอะมาก ”
เมื่อหนังเรื่องนี้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ มิวนิคหวังว่าคนดูจะเห็นว่าการเป็นนักแสดงคืออีกบทบาทหนึ่งที่เธอสามารถทำได้เช่นเดียวกับการเป็นไอดอล
“หนูอยากให้คนยอมรับหนูในฐานะนักแสดงด้วย อยากพิสูจน์เรื่องการแสดงของตัวเองให้คนได้เห็น เพราะว่าคนคงไม่ค่อยมีภาพจำของหนูเกี่ยวกับการแสดงสักเท่าไร หนูว่าหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้ว่าหนูก็สามารถไปทางด้านนี้ได้โอเคเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เป็นไอดอลอย่างเดียว”
“ปีนี้ BNK48 จะมีโปรเจกต์อีกเยอะมาก และผู้บริหารก็เรียกไปคุยทีละคนว่าปีนี้อยากจะทำอะไรกันหรือเปล่า สามารถเสนอได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลองสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ สำหรับหนูหลังได้ลองเล่นเรื่องนี้แล้วชอบการเล่นหนังมากๆ เลยคุยกับผู้บริหารว่าถ้ามีโอกาส หนูอยากลองอีก เป็นอะไรก็ได้ เพราะมันต้องเป็นบทบาทใหม่ที่หนูไม่เคยทำอยู่แล้วแน่นอน แต่หนูไม่ได้ขอว่าต้องได้เล่นเลยนะ หนูแค่อยากลองไปแคสต์ ผู้บริหารก็บอกว่าเมื่อฟีดแบ็กหนังเรื่องนี้ออกมาแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง”
มิวนิคย้ำจุดมุ่งหมายของเธอที่ต้องการทำงานสายการแสดงควบคู่ไปกับการเป็นไอดอลอย่างมุ่งมั่น เราจึงอดถามไม่ได้ว่าแล้วบทแบบไหนที่เธออยากลองในช่วงวัยนี้
“จริงๆ อยากฉีกไปเลยเหมือนกันนะคะ คนจะได้เห็นหนูในมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าต้องเป็นบทแบบไหน แต่ส่วนตัวหนูเป็นคนชอบเล่นบทดราม่า ไม่รู้ทำไมถึงชอบร้องไห้ หนูว่ามันท้าทายดี จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ร้องไห้เยอะ แต่ใช้อารมณ์เยอะ
ฉากร้องไห้ก็แทบไม่ได้พูดเลย พูดแค่ 3 คำ อารมณ์ที่ออกมามันเลยมีอะไรที่ลึกกว่าการร้องไห้ธรรมดา หรือไม่ใช่บทดราม่าก็ได้ เป็นนางร้ายบ้างก็ดีนะคะ อยากลอง” เธอหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “หนูอยากเล่นบทอะไรก็ได้ที่อารมณ์มันต้องออกมาจากข้างในจริงๆ ไม่ต้องร้องไห้โฮให้เห็นชัดหรือร้ายแบบแว้ดๆ ขนาดนั้น”
ติดตามชม ‘กระสือสยาม’ ได้ 4 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
และติดตามความเคลื่อนไหวของมิวนิคต่อได้ที่ FB: Mewnich BNK48
และ Instagram @mewnich.bnk48official
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่
https://dontedition.com/mewnichbnk48/?fbclid=IwAR1ra_2rG_m8VB_ZD3Y5h6y-TGBqh3rIPOq5BLqKyehipinKAkEcl251fII