BNK48 Girls Don't Cry
ผู้กำกับ : นวพล ธํารงรัตนฤทธิ
เรื่องย่อ : สารคดีเกี่ยวกับสมาชิกวง BNK48 26คนผ่านการนั่งสัมภาษณ์ตัวต่อตัว
*****คำเตือน มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ****
ภาพยนตร์เรื่อง BNK48 : Girls Don’t cry เดินเรื่องด้วยการสัมภาษณ์สมาชิกในวงรุ่นที่ 1 ทั้ง 26 คนเป็นหลัก ตัดสลับกับฟุตเทจการซ้อม การแสดง ตลอดทั้งเรื่องจะเป็นการตอบคำถามของสมาชิกที่ถูกถามคำถามเดียวกัน ในหลากหลายมุมมอง ทั้งมุมมองของตัวหลัก มุมมองของตัวสำรอง มุมมองของคนที่เป็นที่นิยมกับมุมมองของคนที่ถูกหลงลืม
เต๋อตัดต่อเรียงตามทามไลน์ดูง่ายไม่ใช่หนังอินดี้ เริ่มด้วยถามสมาชิกแต่ละคนว่า ถ้าไม่อยู่ BNK ตอนนี้จะไปทำอะไรอยู่ ซึ่งการตอบคำถามของสมาชิกแสดงให้เราเห็นว่า น้องๆก็เป็นเด็กปกติที่เราพบได้ทั่วไป ถ้าไม่ได้มาทำงานนี้ก็กลับไปเรียน เตรียมสอบเข้า นั่งๆนอนๆ บางคนตามหาความฝันต่อ เหมือนกับพวกเรานี้แหละ ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษอะไรต่างจากคนอื่น
เหตุผลในการตัดสินใจมาเข้าสมัครของน้องๆก็แตกต่างกันมาก บางคนไม่รู้จักAKB(วงพี่ของBNK)เลย บางคนก็คิดว่ามาลองคว้าโอกาส ขณะที่บางคนก็ชอบและติดตามอยู่แล้ว แต่ต้องมาทำงานร่วมกัน ให้เวลากับงานมากชนิดที่ว่า บางคนต้องทิ้งการเรียน ให้กับสิ่งที่บางคนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันจะดังได้ไหม
เพราะอย่างที่เรารู้ว่าวงเกิร์ลกรุ๊ปบ้านในบ้านเราเป็นอะไรที่ผ่านมาก็ผ่านไป ทำให้เราก็นับถือใจน้องๆนะที่กล้าเสียสละหลายๆอย่างเดิมพันกับอนาคต(หรือเปล่าบางคนยังงงๆเรามาทำไรที่นี่

)
แน่นอนผมก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่คิดว่า การที่ผู้หญิง 29 คนต่างวัยต่างอายุมาอยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง แต่ยังไงซะพวกเธอก็ยังต้องอยู่ไปกันไปอีกนาน กลุ่มต่างๆเกิดขึ้น คนที่มีความชอบใกล้เคียงกัน คนที่มีอายุใกล้เคียงกัน คนที่คอยดูแลคนอีกคน
ในส่วนนี้สังเกตว่าเฌอปรางบอกว่า
“ไม่ได้สนิทกับใครเลย” สืบเนื่องจากเฌอปรางรับหน้าที่เป็นกัปตันวง ซึ่งบทบาทนี้ทำให้เฌอต้องคอยควบคุมคนทั้ง 28 คนที่มีอายุทั้งมากกว่าและน้อยกว่าเฌอปราง ให้สามารถทำงานได้ลุล่วง การเป็นผู้นำของเฌอปรางทำให้เธอเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ จึงกลายเป็นว่าไม่ได้สนิทกับใคร และทำให้สถานะในวงเหมือนเพื่อนร่วมงานมากกว่าเพื่อนสนิท เป็นพี่ใหญ่ที่ต้องเป็นตัวอย่าง คอยกำชับคอยปราม ต้องมีวุฒิภาวะสูงสุดในวง
หลังจากก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกก็ต้องทำการซ้อม ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตแต่สำหรับวงนี้ มันไม่ใช่แค่ความเหนื่อยจากการซ้อม หรือ ความท้อแท้แต่มีเรื่องการติด เซมบัตสึ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
สมาชิกทราบว่า เซมบัตสึ วัดจากยอดแฟนเพจอย่างเฟสบุค และ อินสตาแกรมเป็นหลัก สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันภายในวง แม้จะยังไม่รู้ว่าวงจะไปได้แค่ไหน ระบบของ 48 ก็เริ่มบังคับกดดันให้คนในวงแข่งขันกัน เริ่มมีการแบ่งชั้นกันระหว่างคนที่มีโอกาสติดสูง อยู่ก่ำกึ่งและอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์เป็นตัวเลขยอดแฟนเพจชัดเจน
ตัวเลขเหล่านี้บังคับและกดดันให้สมาชิกทุกคนเริ่มทำสิ่งต่างๆ คนที่อยู่ข้างล่างก็ต้องตะกายขึ้นไปสู่อันดับบนๆ ในขณะที่คนด้านบนก็ต้องทำยอดแฟนเพจให้หนีคนอื่นในวง บางคนลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง สร้างคาแรกเตอร์ง่ายๆโดยเลียนแบบตามลักษณะของวงรุ่นพี่เป็นหลัก ทำตัวน่ารักทั้งที่ไม่ใช่ตัวของตัวเองแต่ด้วยระบบของวงทำให้เธอต้องทำ
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองเช่นกัน(ลองสังเกตคนที่เปลี่ยนกับคนที่ไม่เปลี่ยนตัวเองใครติดเซมบัตสึ) การแข่งขันในวงนี้เป็นการแข่งขันตลอดเวลา การหยุดโพสเป็นเวลานานๆอาจจะทำให้ถูกเพื่อนแซงหน้าไป เป็นความกดดันที่ว่าไม่ใช่ว่าเต้นเก่งร้องเก่งจะเพียงพอสำหรับวงนี้ คุณต้องสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองไม่ใช่กับวงอื่นแต่กับสมาชิกวงด้วยกันเอง
แน่นอนว่าการประกาศเซมบัตซึย่อมมีคนสมหวังบางคนผิดหวัง แต่เราก็ชื่นชมหัวใจน้องๆที่หลายคนสู้ต่อ แต่จุดนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งเช่นกันของสมาชิก คนที่เป็นตัวจริงและตัวสำรองถูกแยกซ้อม โปรแกรมซ้อมต่างกันจนกลุ่มสำรองเกิดความรู้สึกด้อยกว่า กลายเป็นระบบของวงทำให้สมาชิกที่เคยพูดคุยกันสนิทกัน เริ่มห่างเหินกันระหว่างคนที่ได้รับความนิยมกับคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก
แม้จะรู้สึกแย่แต่ก็ต้องลุกขึ้นสู้ต่อไปเพื่อให้ตัวเองก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริง บางคนยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม บางคนก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนเดิมจนมีช่วงนี้ที่เกิดอาการ
“หลงลืมหรือไม่เป็นตัวของตัวเอง” และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าตกลงที่เราทำเรามีความสุขหรือเปล่า
บางคนก็คิดว่าพยายามทำเพื่อวงแต่ก็มีความกังวลใหม่เพิ่มเติม คือวงจะไปรอดไหมแน่นอนว่าจำนวนสมาชิกที่มีขนาดเหมือนค่ายเพลงย่อมๆทำให้ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล สมาชิกส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะสู้เพื่อเดิมพันกับซิงเกิลต่อไปที่อาจจะเป็นเพลงสุดท้ายของวงก็ได้

เพลงคุกกี้เสี่ยงทายทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในวงสมาชิกที่ติดเซมบัตสึก็ต้องรับมือกับความโด่งดังที่ไม่ทันตั้งตัว ในขณะที่เด็กอันเดอร์(คนที่ไม่ติดเซมบัตสึ) แม้จะดีใจที่วงได้รับการยอมรับ แต่เพลงนี้ก็ยิ่งทำให้คนที่ได้รับความนิยมยิ่งได้รับมากขึ้นไปอีก กลับกันเหล่าอันเดอร์กลับยิ่งเลือนรางในวงทั้งๆที่เริ่มจากจุดเดียวกัน
ทั้งที่พวกเธอก็พยายาม บางคนพยายามมากกว่าเซมบัตสึ แต่มันก็ไม่เพียงพอซึ่งมันจะย้อนแย้งกับนิยามของวงหน่อยๆที่พูดว่า
“วงนี้ขายความพยายาม” ซึ่งมันก็สะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงหน่อยๆ กลายเป็นแค่พยายามอาจจะไม่เพียงพอต้องขายได้ด้วย
อย่างในมุมมองของเด็กอันเดอร์ที่ตั้งคำถามกับประโยคที่ว่า
“ตัวแทนความพยายาม...เฌอปราง” ซึ่งสำหรับเด็กอันเดอร์มองขึ้นไปจะรู้สึกว่าเฌอปรางอาจไม่ได้พยายามมากกว่าเธอ แต่โอกาสก็พุ่งเข้าไปหา ยิ่งโด่งดังช่องว่างของคนด้านบนกับคนด้านล่างยิ่งห่างไกลไปทุกที ทำให้ไม่รู้ว่าจะพยายามไปเพื่ออะไรในเมื่อสุดท้ายก็สู้ความนิยมไม่ได้ และแฟนคลับของ BNK ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสนับสนุนวงทั้งวง ในมุมมองของเด็กอันเดอร์คือ แฟนคลับ BNK ประกอบไปด้วยกลุ่มของแฟนคลับเป็นคนๆไปจนทำให้สมาชิกบางคนแทบจะเป็นตัวแทนของ BNK แทนที่จะเป็นวงของคน 26 คน
ในมุมคนที่อยู่ด้านบน เฌอปรางก็ยอมรับว่าหลายครั้งโอกาสที่ได้รับมันก็ไม่มีเหตุผล เธอยอมรับว่าไม่ได้เต้นหรือร้องเก่งกว่าคนอื่นและไม่ได้ร้องขอแต่โอกาสก็พุ่งเข้ามา
แต่ในเมื่อมันเข้ามาจะให้บ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธเธอก็ทำไม่ได้ เธอก็ได้แต่ทำแต่ละงานให้ดีที่สุด ดูแลสมาชิกทุกคนอย่างเท่าเทียมแต่ก็ทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้ ซึ่งมุมมองของเฌอปรางคิดว่ามันเป็นสัจธรรมที่ว่า
“คนเรามันไม่ได้เท่าเทียมกัน” มันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของเฌอปรางและเธอก็ยอมรับความรู้สึกของสมาชิกว่ามันไม่ยุติธรรม
สุดท้ายเวลาก็ทำให้เด็กเรียนรู้ที่อยู่ในตำแหน่งของตนเอง เด็กอันเดอร์ก็เรียนรู้และยอมรับที่จะอยู่ด้านล่าง ด้วยหลายๆอย่างที่ทำให้พวกเธอไม่สามารถสร้างความนิยมจากแฟนคลับจนก้าวมายืนด้านหน้าได้ แต่ในทางกลับกันเหตุผลหลักที่พวกเธอยังอยู่ในวงก็เป็นแฟนคลับของเธอเอง (ฉากแช่ภาพเจนนี้ผมชื่นชมเต๋อนะ มันให้ความรู้สึกที่ทรงพลังเหมือนผมนั่งอยู่ข้างหน้าน้องดูน้องร้องไห้ด้วยตัวเอง เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมาก ฉากเจนหรือเฌอร้องไห้ยอมรับผมไม่กล้าสบตาตรงๆตอนดู) สำหรับบางคนแฟนคลับอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเธอทนมาอยู่จนถึงตอนนี้
การมีคนที่ยอมรับและให้กำลังใจทำให้เธอสามารถสู้ต่อไปได้ ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกันมันสำคัญและทำให้รู้สึกว่าการที่พวกเธอยังอยู่ในวงมันต่อไปมันไม่ได้สูญเปล่า อย่างน้องพวกเธอที่เห็นแฟนคลับมีความสุขก็ทำให้ตัวตนของเธอมีค่าแล้วในจุดที่ๆเธอยืน
สารคดี BNK48 Girls Don’t Cry แสดงให้เห็นกลุ่มสังคมภายในวง ระบบการจัดการของ 48 ที่แม้จะสร้างความสำเร็จให้กับวง แต่ก็บังคับให้ทุกคนต้องคอยแข่งขันกันตลอดเวลา และไม่ใช่ว่าแค่การพัฒนาจะสามารถพาตนเองไปยังแถวหน้าได้ รูปร่างหน้าตา บุคลิก โอกาสทำให้เกิดการแบ่งแยกคนในวงให้ออกจากกัน
คนที่ได้รับโอกาสอยู่แล้วก็จะได้รับมากขึ้น คนที่ได้น้อยก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มองจากภายนอก 48 อาจจะเป็นกลุ่มเป็นก้อนแต่สารคดีเรื่องนี้ก็สะท้อนว่ามันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เห็น แต่เหตุผลหลักที่สนับสนุนให้หลายๆคนยังเดินหน้าต่อได้ก็คือแฟนคลับของวงนั้นเอง
และอย่างที่ไข่มุกกล่าวในตอนสุดท้าย สิ่งที่เราเห็นมันเป็นจุดเริ่มต้นและอดีตของ BNK48 มันเป็นเรื่องราวจริงๆของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆไม่มีวันจบ บางทีหากเราไปถามคำถามเดิมอีกครั้งคำตอบที่ได้อาจจะไม่เหมือนในหนังไปแล้วก็เป็นได้
ปล. ผมว่าส่วนหนึ่งที่แฟนคลับผิดหวังอาจจะเป็นเพราะ Trailer ของหนังที่สปอยล์เนื้อหาส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ใช่สารคดีถ้ำหลวงที่ทุกคนรู้ตอนจบ ไม่ใช่ว่าเทรลเลอร์ไม่ดีนะ แต่มันทำให้คนอาจว่าหนังจะมีอะไรมากกว่านี้ กลายเป็นว่าคาดหวังมากเกินไป
Memories of Murder - ภาพยนตร์ที่สร้างความตระหนัก ถึงคดีฆาตกรรมปริศนาทั่วเกาหลี https://pantip.com/topic/37929979
[The Wind Rises] โฮริโคชิ จิโร่ เมื่อชีวประวัติของผู้ให้กำเนิดเครื่องบินรบถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมชั่น :https://pantip.com/topic/37880970
ที่มา : https://www.facebook.com/BasedOnATrueStoryTH
[CR] BNK48 GIRL DON'T CRY ระบบที่ไม่ได้สร้างมาสู้กับใคร แต่มีไว้แข่งขันกันภายใน [Spoil]
BNK48 Girls Don't Cry
ผู้กำกับ : นวพล ธํารงรัตนฤทธิ
เรื่องย่อ : สารคดีเกี่ยวกับสมาชิกวง BNK48 26คนผ่านการนั่งสัมภาษณ์ตัวต่อตัว
ภาพยนตร์เรื่อง BNK48 : Girls Don’t cry เดินเรื่องด้วยการสัมภาษณ์สมาชิกในวงรุ่นที่ 1 ทั้ง 26 คนเป็นหลัก ตัดสลับกับฟุตเทจการซ้อม การแสดง ตลอดทั้งเรื่องจะเป็นการตอบคำถามของสมาชิกที่ถูกถามคำถามเดียวกัน ในหลากหลายมุมมอง ทั้งมุมมองของตัวหลัก มุมมองของตัวสำรอง มุมมองของคนที่เป็นที่นิยมกับมุมมองของคนที่ถูกหลงลืม
เต๋อตัดต่อเรียงตามทามไลน์ดูง่ายไม่ใช่หนังอินดี้ เริ่มด้วยถามสมาชิกแต่ละคนว่า ถ้าไม่อยู่ BNK ตอนนี้จะไปทำอะไรอยู่ ซึ่งการตอบคำถามของสมาชิกแสดงให้เราเห็นว่า น้องๆก็เป็นเด็กปกติที่เราพบได้ทั่วไป ถ้าไม่ได้มาทำงานนี้ก็กลับไปเรียน เตรียมสอบเข้า นั่งๆนอนๆ บางคนตามหาความฝันต่อ เหมือนกับพวกเรานี้แหละ ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษอะไรต่างจากคนอื่น
เหตุผลในการตัดสินใจมาเข้าสมัครของน้องๆก็แตกต่างกันมาก บางคนไม่รู้จักAKB(วงพี่ของBNK)เลย บางคนก็คิดว่ามาลองคว้าโอกาส ขณะที่บางคนก็ชอบและติดตามอยู่แล้ว แต่ต้องมาทำงานร่วมกัน ให้เวลากับงานมากชนิดที่ว่า บางคนต้องทิ้งการเรียน ให้กับสิ่งที่บางคนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันจะดังได้ไหม
เพราะอย่างที่เรารู้ว่าวงเกิร์ลกรุ๊ปบ้านในบ้านเราเป็นอะไรที่ผ่านมาก็ผ่านไป ทำให้เราก็นับถือใจน้องๆนะที่กล้าเสียสละหลายๆอย่างเดิมพันกับอนาคต(หรือเปล่าบางคนยังงงๆเรามาทำไรที่นี่
แน่นอนผมก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่คิดว่า การที่ผู้หญิง 29 คนต่างวัยต่างอายุมาอยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง แต่ยังไงซะพวกเธอก็ยังต้องอยู่ไปกันไปอีกนาน กลุ่มต่างๆเกิดขึ้น คนที่มีความชอบใกล้เคียงกัน คนที่มีอายุใกล้เคียงกัน คนที่คอยดูแลคนอีกคน
ในส่วนนี้สังเกตว่าเฌอปรางบอกว่า “ไม่ได้สนิทกับใครเลย” สืบเนื่องจากเฌอปรางรับหน้าที่เป็นกัปตันวง ซึ่งบทบาทนี้ทำให้เฌอต้องคอยควบคุมคนทั้ง 28 คนที่มีอายุทั้งมากกว่าและน้อยกว่าเฌอปราง ให้สามารถทำงานได้ลุล่วง การเป็นผู้นำของเฌอปรางทำให้เธอเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ จึงกลายเป็นว่าไม่ได้สนิทกับใคร และทำให้สถานะในวงเหมือนเพื่อนร่วมงานมากกว่าเพื่อนสนิท เป็นพี่ใหญ่ที่ต้องเป็นตัวอย่าง คอยกำชับคอยปราม ต้องมีวุฒิภาวะสูงสุดในวง
หลังจากก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกก็ต้องทำการซ้อม ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตแต่สำหรับวงนี้ มันไม่ใช่แค่ความเหนื่อยจากการซ้อม หรือ ความท้อแท้แต่มีเรื่องการติด เซมบัตสึ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
สมาชิกทราบว่า เซมบัตสึ วัดจากยอดแฟนเพจอย่างเฟสบุค และ อินสตาแกรมเป็นหลัก สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันภายในวง แม้จะยังไม่รู้ว่าวงจะไปได้แค่ไหน ระบบของ 48 ก็เริ่มบังคับกดดันให้คนในวงแข่งขันกัน เริ่มมีการแบ่งชั้นกันระหว่างคนที่มีโอกาสติดสูง อยู่ก่ำกึ่งและอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์เป็นตัวเลขยอดแฟนเพจชัดเจน
ตัวเลขเหล่านี้บังคับและกดดันให้สมาชิกทุกคนเริ่มทำสิ่งต่างๆ คนที่อยู่ข้างล่างก็ต้องตะกายขึ้นไปสู่อันดับบนๆ ในขณะที่คนด้านบนก็ต้องทำยอดแฟนเพจให้หนีคนอื่นในวง บางคนลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง สร้างคาแรกเตอร์ง่ายๆโดยเลียนแบบตามลักษณะของวงรุ่นพี่เป็นหลัก ทำตัวน่ารักทั้งที่ไม่ใช่ตัวของตัวเองแต่ด้วยระบบของวงทำให้เธอต้องทำ
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองเช่นกัน(ลองสังเกตคนที่เปลี่ยนกับคนที่ไม่เปลี่ยนตัวเองใครติดเซมบัตสึ) การแข่งขันในวงนี้เป็นการแข่งขันตลอดเวลา การหยุดโพสเป็นเวลานานๆอาจจะทำให้ถูกเพื่อนแซงหน้าไป เป็นความกดดันที่ว่าไม่ใช่ว่าเต้นเก่งร้องเก่งจะเพียงพอสำหรับวงนี้ คุณต้องสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองไม่ใช่กับวงอื่นแต่กับสมาชิกวงด้วยกันเอง
แน่นอนว่าการประกาศเซมบัตซึย่อมมีคนสมหวังบางคนผิดหวัง แต่เราก็ชื่นชมหัวใจน้องๆที่หลายคนสู้ต่อ แต่จุดนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งเช่นกันของสมาชิก คนที่เป็นตัวจริงและตัวสำรองถูกแยกซ้อม โปรแกรมซ้อมต่างกันจนกลุ่มสำรองเกิดความรู้สึกด้อยกว่า กลายเป็นระบบของวงทำให้สมาชิกที่เคยพูดคุยกันสนิทกัน เริ่มห่างเหินกันระหว่างคนที่ได้รับความนิยมกับคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก
แม้จะรู้สึกแย่แต่ก็ต้องลุกขึ้นสู้ต่อไปเพื่อให้ตัวเองก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริง บางคนยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม บางคนก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนเดิมจนมีช่วงนี้ที่เกิดอาการ “หลงลืมหรือไม่เป็นตัวของตัวเอง” และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าตกลงที่เราทำเรามีความสุขหรือเปล่า
บางคนก็คิดว่าพยายามทำเพื่อวงแต่ก็มีความกังวลใหม่เพิ่มเติม คือวงจะไปรอดไหมแน่นอนว่าจำนวนสมาชิกที่มีขนาดเหมือนค่ายเพลงย่อมๆทำให้ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล สมาชิกส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะสู้เพื่อเดิมพันกับซิงเกิลต่อไปที่อาจจะเป็นเพลงสุดท้ายของวงก็ได้
เพลงคุกกี้เสี่ยงทายทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในวงสมาชิกที่ติดเซมบัตสึก็ต้องรับมือกับความโด่งดังที่ไม่ทันตั้งตัว ในขณะที่เด็กอันเดอร์(คนที่ไม่ติดเซมบัตสึ) แม้จะดีใจที่วงได้รับการยอมรับ แต่เพลงนี้ก็ยิ่งทำให้คนที่ได้รับความนิยมยิ่งได้รับมากขึ้นไปอีก กลับกันเหล่าอันเดอร์กลับยิ่งเลือนรางในวงทั้งๆที่เริ่มจากจุดเดียวกัน
ทั้งที่พวกเธอก็พยายาม บางคนพยายามมากกว่าเซมบัตสึ แต่มันก็ไม่เพียงพอซึ่งมันจะย้อนแย้งกับนิยามของวงหน่อยๆที่พูดว่า “วงนี้ขายความพยายาม” ซึ่งมันก็สะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงหน่อยๆ กลายเป็นแค่พยายามอาจจะไม่เพียงพอต้องขายได้ด้วย
อย่างในมุมมองของเด็กอันเดอร์ที่ตั้งคำถามกับประโยคที่ว่า “ตัวแทนความพยายาม...เฌอปราง” ซึ่งสำหรับเด็กอันเดอร์มองขึ้นไปจะรู้สึกว่าเฌอปรางอาจไม่ได้พยายามมากกว่าเธอ แต่โอกาสก็พุ่งเข้าไปหา ยิ่งโด่งดังช่องว่างของคนด้านบนกับคนด้านล่างยิ่งห่างไกลไปทุกที ทำให้ไม่รู้ว่าจะพยายามไปเพื่ออะไรในเมื่อสุดท้ายก็สู้ความนิยมไม่ได้ และแฟนคลับของ BNK ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสนับสนุนวงทั้งวง ในมุมมองของเด็กอันเดอร์คือ แฟนคลับ BNK ประกอบไปด้วยกลุ่มของแฟนคลับเป็นคนๆไปจนทำให้สมาชิกบางคนแทบจะเป็นตัวแทนของ BNK แทนที่จะเป็นวงของคน 26 คน
ในมุมคนที่อยู่ด้านบน เฌอปรางก็ยอมรับว่าหลายครั้งโอกาสที่ได้รับมันก็ไม่มีเหตุผล เธอยอมรับว่าไม่ได้เต้นหรือร้องเก่งกว่าคนอื่นและไม่ได้ร้องขอแต่โอกาสก็พุ่งเข้ามา
แต่ในเมื่อมันเข้ามาจะให้บ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธเธอก็ทำไม่ได้ เธอก็ได้แต่ทำแต่ละงานให้ดีที่สุด ดูแลสมาชิกทุกคนอย่างเท่าเทียมแต่ก็ทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้ ซึ่งมุมมองของเฌอปรางคิดว่ามันเป็นสัจธรรมที่ว่า “คนเรามันไม่ได้เท่าเทียมกัน” มันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของเฌอปรางและเธอก็ยอมรับความรู้สึกของสมาชิกว่ามันไม่ยุติธรรม
สุดท้ายเวลาก็ทำให้เด็กเรียนรู้ที่อยู่ในตำแหน่งของตนเอง เด็กอันเดอร์ก็เรียนรู้และยอมรับที่จะอยู่ด้านล่าง ด้วยหลายๆอย่างที่ทำให้พวกเธอไม่สามารถสร้างความนิยมจากแฟนคลับจนก้าวมายืนด้านหน้าได้ แต่ในทางกลับกันเหตุผลหลักที่พวกเธอยังอยู่ในวงก็เป็นแฟนคลับของเธอเอง (ฉากแช่ภาพเจนนี้ผมชื่นชมเต๋อนะ มันให้ความรู้สึกที่ทรงพลังเหมือนผมนั่งอยู่ข้างหน้าน้องดูน้องร้องไห้ด้วยตัวเอง เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมาก ฉากเจนหรือเฌอร้องไห้ยอมรับผมไม่กล้าสบตาตรงๆตอนดู) สำหรับบางคนแฟนคลับอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเธอทนมาอยู่จนถึงตอนนี้
การมีคนที่ยอมรับและให้กำลังใจทำให้เธอสามารถสู้ต่อไปได้ ต่างฝ่ายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกันมันสำคัญและทำให้รู้สึกว่าการที่พวกเธอยังอยู่ในวงมันต่อไปมันไม่ได้สูญเปล่า อย่างน้องพวกเธอที่เห็นแฟนคลับมีความสุขก็ทำให้ตัวตนของเธอมีค่าแล้วในจุดที่ๆเธอยืน
สารคดี BNK48 Girls Don’t Cry แสดงให้เห็นกลุ่มสังคมภายในวง ระบบการจัดการของ 48 ที่แม้จะสร้างความสำเร็จให้กับวง แต่ก็บังคับให้ทุกคนต้องคอยแข่งขันกันตลอดเวลา และไม่ใช่ว่าแค่การพัฒนาจะสามารถพาตนเองไปยังแถวหน้าได้ รูปร่างหน้าตา บุคลิก โอกาสทำให้เกิดการแบ่งแยกคนในวงให้ออกจากกัน
คนที่ได้รับโอกาสอยู่แล้วก็จะได้รับมากขึ้น คนที่ได้น้อยก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มองจากภายนอก 48 อาจจะเป็นกลุ่มเป็นก้อนแต่สารคดีเรื่องนี้ก็สะท้อนว่ามันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เห็น แต่เหตุผลหลักที่สนับสนุนให้หลายๆคนยังเดินหน้าต่อได้ก็คือแฟนคลับของวงนั้นเอง
ปล. ผมว่าส่วนหนึ่งที่แฟนคลับผิดหวังอาจจะเป็นเพราะ Trailer ของหนังที่สปอยล์เนื้อหาส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ใช่สารคดีถ้ำหลวงที่ทุกคนรู้ตอนจบ ไม่ใช่ว่าเทรลเลอร์ไม่ดีนะ แต่มันทำให้คนอาจว่าหนังจะมีอะไรมากกว่านี้ กลายเป็นว่าคาดหวังมากเกินไป
Memories of Murder - ภาพยนตร์ที่สร้างความตระหนัก ถึงคดีฆาตกรรมปริศนาทั่วเกาหลี https://pantip.com/topic/37929979
[The Wind Rises] โฮริโคชิ จิโร่ เมื่อชีวประวัติของผู้ให้กำเนิดเครื่องบินรบถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมชั่น :https://pantip.com/topic/37880970
ที่มา : https://www.facebook.com/BasedOnATrueStoryTH
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้