ประชาธิปไตยกินไม่ได้....
คำพูดนี้อาจเป็นจริง สำหรับคนชั้นกลาง คนมีสตางค์ที่ไม่ได้หวังพึ่งพานโยบายของรัฐบาล
ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เขาก็ต้องก้มหน้าทำงาน หาเงินใส่กระเป๋า จุนเจือตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป
แต่สำหรับชาวรากหญ้า เกษตรกร หรือคนรายได้น้อย ซึ่งความมั่นคงในชีวิตและอาชีพอาจอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น มักจะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลตลอดมา
สำหรับเขา นโยบายของรัฐบาล คือ ความหวัง ส่งผลโดยตรงถึงปากท้องและคุณภาพชีวิต ซึ่งตัวแทนที่อยู่ใกล้ชิด ตัวแทนที่มาจากประชาชนในระบบประชาธิปไตย มักจะสัมผัสถึงความยากลำบาก และตอบสนองได้ตรงความต้องการของเขามากกว่า
ประชาธิปไตยสำหรับเขานั้น 'กินได้'
สำหรับนักลงทุน ซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานหลักในการตัดสินใจ ระบบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลและเชื่อถือได้นั้น คือสิ่งที่เขาปรารถนา
เมื่อคนกลุ่มนี้กล้าลงทุนลงแรง คนในระดับล่างลงไป ก็มักจะได้รับผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกล้าจับจ่ายใช้สอยที่มีมากขึ้น
ทำให้คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์ และส่งผลบวกต่อประเทศชาติในระยะยาว
ก่อนตัดสินใจวันที่ 24 มีนา คุณจะกาใคร..?
วางใจเป็นกลางและศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ
ตลอด 10 ปี ในยุคประชาธิปไตยวุ่นวายตลอดมานั้น ช่วงใดที่สร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด
ตัวชี้วัดที่เป็นกลาง ชัดเจน และสะท้อนผลลัพธ์ได้ดีอันหนึ่ง คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET index (ตัวเลขอาจคาดเคลื่อนในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ)
พรรคพลังประชาชน (29 ม.ค. 51 - 2 ธ.ค. 51)
ดัชนีเริ่มที่ 754 ทำจุดสูงสุดที่ 882 และสิ้นสุดที่ 385 สรุป
ลดลง 96%
พรรคประชาธิปัตย์ (17 ธ.ค. 51 - 5 ส.ค. 54)
ดัชนีเริ่มที่ 443 ทำจุดสูงสุดที่ 1142 และสิ้นสุดที่ 1120 สรุป
เพิ่มขึ้น 153%
พรรคเพื่อไทย (5 ส.ค. 54 - 7 พ.ค. 57)
ดัชนีเริ่มที่ 1120 ทำจุดสูงสุดที่ 1644 และสิ้นสุดที่ 1401 สรุป
เพิ่มขึ้น 25%
ยุคลุงตู่ (24 ส.ค. 57 - 21 มี.ค. 62)
ดัชนีเริ่มที่ 1562 ทำจุดสูงสุดที่ 1838 และสิ้นสุดที่ 1634 สรุป
เพิ่มขึ้น 4.6%
..แถม..พรรคไทยรักไทย (ก.พ. 44 - ก.ย. 49)
ดัชนีเริ่มที่ 325 และสิ้นสุดที่ 686 สรุป
เพิ่มขึ้น 111%
มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจเปลี่ยนความคิดว่า ที่จริงแล้วประชาธิปไตย 'กินได้' สำหรับทุกคน
ขอให้ประเทศไทยโชคดี
24 มีนา... ประชาธิปไตย (กินได้)??
คำพูดนี้อาจเป็นจริง สำหรับคนชั้นกลาง คนมีสตางค์ที่ไม่ได้หวังพึ่งพานโยบายของรัฐบาล
ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เขาก็ต้องก้มหน้าทำงาน หาเงินใส่กระเป๋า จุนเจือตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป
แต่สำหรับชาวรากหญ้า เกษตรกร หรือคนรายได้น้อย ซึ่งความมั่นคงในชีวิตและอาชีพอาจอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น มักจะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลตลอดมา
สำหรับเขา นโยบายของรัฐบาล คือ ความหวัง ส่งผลโดยตรงถึงปากท้องและคุณภาพชีวิต ซึ่งตัวแทนที่อยู่ใกล้ชิด ตัวแทนที่มาจากประชาชนในระบบประชาธิปไตย มักจะสัมผัสถึงความยากลำบาก และตอบสนองได้ตรงความต้องการของเขามากกว่า
ประชาธิปไตยสำหรับเขานั้น 'กินได้'
สำหรับนักลงทุน ซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานหลักในการตัดสินใจ ระบบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลและเชื่อถือได้นั้น คือสิ่งที่เขาปรารถนา
เมื่อคนกลุ่มนี้กล้าลงทุนลงแรง คนในระดับล่างลงไป ก็มักจะได้รับผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกล้าจับจ่ายใช้สอยที่มีมากขึ้น
ทำให้คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์ และส่งผลบวกต่อประเทศชาติในระยะยาว
ก่อนตัดสินใจวันที่ 24 มีนา คุณจะกาใคร..?
วางใจเป็นกลางและศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ
ตลอด 10 ปี ในยุคประชาธิปไตยวุ่นวายตลอดมานั้น ช่วงใดที่สร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด
ตัวชี้วัดที่เป็นกลาง ชัดเจน และสะท้อนผลลัพธ์ได้ดีอันหนึ่ง คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET index (ตัวเลขอาจคาดเคลื่อนในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ)
พรรคพลังประชาชน (29 ม.ค. 51 - 2 ธ.ค. 51)
ดัชนีเริ่มที่ 754 ทำจุดสูงสุดที่ 882 และสิ้นสุดที่ 385 สรุป ลดลง 96%
พรรคประชาธิปัตย์ (17 ธ.ค. 51 - 5 ส.ค. 54)
ดัชนีเริ่มที่ 443 ทำจุดสูงสุดที่ 1142 และสิ้นสุดที่ 1120 สรุป เพิ่มขึ้น 153%
พรรคเพื่อไทย (5 ส.ค. 54 - 7 พ.ค. 57)
ดัชนีเริ่มที่ 1120 ทำจุดสูงสุดที่ 1644 และสิ้นสุดที่ 1401 สรุป เพิ่มขึ้น 25%
ยุคลุงตู่ (24 ส.ค. 57 - 21 มี.ค. 62)
ดัชนีเริ่มที่ 1562 ทำจุดสูงสุดที่ 1838 และสิ้นสุดที่ 1634 สรุป เพิ่มขึ้น 4.6%
..แถม..พรรคไทยรักไทย (ก.พ. 44 - ก.ย. 49)
ดัชนีเริ่มที่ 325 และสิ้นสุดที่ 686 สรุป เพิ่มขึ้น 111%
มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจเปลี่ยนความคิดว่า ที่จริงแล้วประชาธิปไตย 'กินได้' สำหรับทุกคน
ขอให้ประเทศไทยโชคดี