มาพบกันกลางดึกของคืนวันพุธกับบทที่บีบไปทุกส่วน โดยเฉพาะหัวใจ บางๆ ของทุกๆ คน เสี่ยอยากบอกว่า ตัวร้ายอาจร้าย แต่ตัวดี ก็ดี๊ดีนะ แล้วตัวร้ายกลายเป็นตัวดีจะดีได้นานแค่ไหน เสี่ยไม่บอก แต่ตัวร้ายจะพบจุดจบอย่างไรมาเอาใจช่วยกันจ้า
ถึงความดีจะถูกความชั่วร้ายข่มเหง แต่ก็มีความดีที่ตกค้างอยู่ในตอนที่แล้ว เชิญติดตามตอนที่แล้วใต้บรรทัดนี้นะจ้ะ เสี่ยขอร้องงงงง
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 51)
https://pantip.com/topic/38650413
บทที่ 52 กระสุนตัดสิน
เอกเดชเดินทางมาตามคำเชิญของ สส.บารมี เขามาถึงห้องอาหารแห่งหนึ่งแถวสีลม เมื่อเข้ามานั่งในห้องอาหาร ก็มีคนมาเชิญเอกเดชไปขึ้นลิฟท์โดยให้ผู้ติดตามอยู่ในห้องอาหารทั้งหมด
ลิฟท์พาเอกเดชขึ้นมาเพียงลำพัง เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ก็มีคนยืนรอรับแล้วพาเดินไปยังห้องพักที่เป็นห้องโล่งบนตึกชั้นที่ยี่สิบไม่มีแม้แต่ม่านบังแดด มีแต่ห้องขนาด 200 ตารางเมตร บารมียืนสูบบุหรี่ดูถนนเบื้องล่าง ก่อนหันมาจับมือกับเอกเดชอย่างสนิทสนม
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะคุณเอกเดช ดูคุณภูมิฐานขึ้นเยอะเลย”
เอกเดชจับมือบารมีด้วยมือทั้งสองข้างอย่างนอบน้อม เอ่ยประจบด้วยคำหวานทันที
“ก็ไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอกครับท่าน แล้วที่เราไม่ค่อยได้พบกันก็เพราะท่านติดภารกิจเพื่อบ้านเมือง จนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลยใช่ไหมครับท่าน”
บารมียิ้มกว้างมองคู่สนทนาอย่างเป็นมิตรก่อนจะหันกลับไปมองทัศนียภาพเบื้องล่างแทน
“หึๆๆ ก็คงจะจริง ช่วงนี้งานเยอะมากเหลือเกิน เพราะผมเพิ่งได้กำหนดเวลาเลือกตั้งที่แน่นอน ผมเลยต้องมาหาคุณเอกเดชด้วยตนเอง”
เอกเดชเดินเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบด้วยเสียงที่เบาลง
“มีอะไรให้ผมรับใช้ก็บอกผมมาได้เลยนะครับ ท่านเลขาธิการ”
บารมีหัวเราะเสียงต่ำในลำคอเอ่ยออกมาทั้งที่สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้า
“หึๆๆ ข่าวของคุณคุณนี่มันรวดเร็ว แถมยังรู้ใจผมอีก แบบนี้สิถึงจะสมเป็นผู้ที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน เอาล่ะงั้นผมจะไม่อ้อมค้อม คุณรู้จัก คุณมาริสาหว่องใช่ไหม”
เอกเดชขมวดคิ้ว ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
“รู้จักครับ ผมรู้จักเธอแน่นอน ก็เพราะคุณมาริสาผมถึงได้มาสู่วงการนี้เต็มตัว แต่ตอนนี้รู้สึกเธอจะโดนเล่นงานหนักเหมือนกัน”
เสียงถอนลมหายใจเหมือนเครียด แต่ความจริงมันคล้ายเสียงของคนที่กำลังจะสมหวังที่ได้ถอนแค้นมากกว่า
“ก็เรื่องนี้แหละที่ผมจะมาปรึกษา ว่าจะให้ช่วยหาวิธี…”
เอกเดชยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบามากกว่าเดิม
“จะให้ผมช่วย…หรือซ้ำเติมหล่อนดีล่ะครับท่าน”
บารมียิ้มเล็กน้อย หันมามองเอกเดชด้วยสายตาวาววับ
“คุณช่วยผมคิดหน่อยสิ ว่าผมควรจะช่วยหล่อนหรือซ้ำเติมหล่อนดี”
ดวงตาของเอกเดชคล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายที่ได้กลิ่นคาวเลือด
“งั้นก็…ช่วย…ซ้ำเติมดีกว่าครับ เพราะเป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว และผมก็พอจะรู้วิธีที่จะทำให้คุณมาริสา หมดอำนาจอย่างถาวร…ครับท่าน”
บารมีสูบบุหรี่ก่อนระบายออกมา รอยยิ้มที่เย็นเยือกปรากฎอย่างไม่ปิดบัง
“งั้นคุณต้องบอกวิธีให้ผมฟังหน่อยว่ามันเป็นแค่ทฤษฎี หรือสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง”
“ตอนนี้ถึงคุณมาริสาจะไม่มีอำนาจในการบริหารฟ็อกซ์ดีเวลลอปเม้นส์แล้วก็ตาม แต่กิจการที่เป็นของกลุ่มไวท์ฟ็อกซ์ ยังมีอยู่หลายกิจการ และที่สำคัญ กลุ่มกองทัพหนูก็ยังเป็นกองกำลังที่ภักดีกับคุณมาริสา”
บารมีตบมืออย่างชื่นชม หลายต่อหลายครั้ง
“สุดยอด สุดยอด คุณเอกเดชนี่ตาคมเหมือนพญาอินทรีย์จริงๆ แสดงว่าคุณต้องมีไม้เด็ดที่จะทำให้ผมได้เห็นใช่ไหม”
เอกเดชค่อยๆ ยื่นมือมาข้างหน้าแล้วรวบมาเป็นกำมือต่อหน้าบารมี
“แน่นอนครับ ผมมีวิธีที่จะยึดทุกอย่างของคุณมาริสาให้มาอยู่ในมือท่าน”
บารมีใช้มือของตนจับมือที่กำของเอกเดชอย่าหนักแน่น ก่อนกระซิบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ
“หึๆๆๆ คุณเอกเดชคาดผิดแล้ว เพราะกิจการพวกนั้น มันเป็นของคุณ ของคุณทั้งหมด แล้วอย่าทำให้ผมผิดหวังนะ เพราะความหวังของผม คือให้คุณรับช่วงต่อความยิ่งใหญ่เหนือทุกคน เพราะผมต้องการคนเก่งอย่างคุณมาช่วย ให้บ้านเมืองเจริญเติบโตอย่างที่มันควรจะเป็น”
ทั้งสองจับมือกันอย่างแน่นหนา เอกเดชกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงต่ำลึกเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม
“ผมขอเวลา สามอาทิตย์ แล้วคุณมาริสา จะกลายเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่คุณบารมีจะฆ่าหรือปล่อยมันไป ก็ย่อมได้”
บารมีตบบ่าเอกเดชอย่างเป็นกันเอง เมื่อหันหลังกำลังจะก้าวเดินมือข้างขวาก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง
“งั้นอีกสามอาทิตย์ ผมจะรอฟังข่าวดี เพื่อแสดงความขอบคุณ เงินส่วนแบ่งของเดือนนี้ก็ไม่ต้องจ่าย แล้วผมจะเพิ่มสินค้าให้คุณไปปล่อยเป็นรายแรก”
เอกเดชแย้มยิ้มอย่างตื่นเต้น
“สินค้าใหม่ ประเภทไหนหรือครับ”
บารมีล้วงเอาขวดแก้วเล็กๆ ออกมาแล้วโยนให้เอกเดชไปถือไว้
“สินค้าราคาถูกๆ แต่ฤทธิ์ใกล้เคียงกับระดับพรีเมียมยังไงล่ะคุณเอกเดช”
เอกเดชแย้มยิ้ม ส่วนบารมีเหลือบมองก่อนเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มที่เยือกเย็น เอกเดชมองขวดเล็กๆ มียาบรรจุเป็นเม็ด ขนาดใหญ่กว่ายาพาราฯ สีแดงสด จำนวนสิบเม็ด ก่อนจะหันไปมองภาพผู้คนมากมายจากอาคารสูง แล้วคำรามในลำคอออกมา
“มาริสา แล้วก็ถึงเวลาของเมริงจนได้นะ แต่กูจะใจดีให้ได้เห็นจุดจบของไอ้ธนู ก่อนที่เมริง จะตาย หึๆๆๆ”
ดวงตาที่วาววับราวกับสัตว์ร้ายเป็นประกาย เพราะถึงเวลานี้ เอกเดชแค่รอเวลา เพื่อจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขายังไม่กลับไปหาศิริศรในตอนนี้เพราะเขาต้องการให้อุปสรรคทุกอย่างถูกกำจัดด้วยเวลาของมันเสียก่อน แค่เพียงไม่ถึงเดือน ก็จะเหลือคนที่เขาต้องหวาดหวั่นแค่สองคน หรืออาจจะแค่คนเดียวเท่านั้น
++++++++++++++++++
มาริสากลับมายังคฤหาถน์ดอกไม้ขาว โดยมีอาเหมยกับอาฮัวยืนเคียงข้าง ในขณะที่เธอมองสวนดอกไม้ที่สวยงาม ภายในใจนั้นกลับเหมือนมีไฟที่สุม
ทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอถูกเปลี่ยนมือเพียงชั่วข้ามคืน มีเงินที่ตกค้างในระบบการโยกย้ายเงินจำนวนมหาศาลที่รอจะแปรเป็นทรัพย์สิน ถึงจะมีเงินเข้ามาในบัญชีของเธอในการโอนหุ้น แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เธอต้องสูญเสีย มันเท่ากับการแลกก้อนกรวดกับเพชรเม็ดงามในน้ำหนักพอๆกัน
แล้วที่เธอต้องสูญเสียก็คือความไว้วางใจจากแสงสุรีย์ เธอนั้นมีเรื่องขัดแย้งกับแสงรัศมีซึ่งถ้าเทียบตามตำแหน่งเขาอาจมีตำแหน่งที่สูงกว่า แต่ความสำคัญของเธอนั้นกลับสูงกว่าแสงรัศมี ที่แล้วมาเธอจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อแสงรัศมีมากนัก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
อย่างไรก็ดี ถึงเธอจะสูญเสียแหล่งฟอกเงิน แต่จำนวนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัว ก็มากพอที่จะบรรณาการต่อแสงสุรีย์เพื่อไถ่โทษ และสำคัญกลุ่มไวท์ฟ็อกซ์ของเธอ รวมทั้งกองทัพหนูก็ยังภักดีต่อเธอ กองทัพหนูที่ปรีชาควบคุมอยู่ย่อมไม่แปรพักตร์
ส่วนไวท์ฟ็อกซ์นั้นย่อมเป็นดั่งอวัยวะของเธอที่ไม่มีวันทรยศต่อเธออย่างเด็ดขาด ตอนนี้เธอยังไม่คิดวิธีเอาคืนธนู เพราะถึงเวลานี้ทางฝ่ายตรงข้ามคงเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ เธอคิดว่าการโจมตีนั้นมีแต่เรื่องจะเลวร้าย แค่ตั้งมั่นไว้เวลาก็จะกำจัดศัตรูของเธอได้อย่างแน่นอน
“อาเหมย อาฮัวช่วงนี้ฉันคงต้องเก็บตัวสักพัก ถ้าเธอไม่มีธุระอะไรสำคัญก็อย่าไปไหนไกล เพราะช่วงนี้พวกเธออาจเป็นเป้าหมาย”
อาเหมยกับอาฮัวหันมามองนายหญิงของตน ก่อนเอ่ยถามออกมา
“นายหญิงจะให้อาเหมยไปจัดการไอ้ธนูเลยไหมคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เมื่อถึงเวลามันก็ต้องตาย แต่ตอนนี้ที่ฉันกังวลไม่ใช่เรื่องของมัน แต่เป็นอีกคน”
อาเหมยจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ใครหรือคะ ที่จะเล่นงานนายหญิง”
มาริสาได้แต่ถอนใจอย่างหนักหน่วง เธอไม่สามารถเอ่ยถึงแสงสุรีย์กับใครก็ตาม ถึงเธอทราบดีว่าทั้งอาฮัวและอาเหมย จะไม่มีวันบอกความลับของเธออย่างแน่นอน แต่เมื่อเป็นข้อบังคับเธอจึงได้แต่เก็บเอาไว้กับตนเอง
“มันนานมาแล้ว ที่ฉันมีเรื่องกับมัน…”
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเกือบสิบปี มาริสาในตำแหน่งแสงประกายต้องทำงานร่วมกับแสงรัศมีที่ถือว่ามีตำแหน่งที่สูงกว่า แต่เธอมีความสำคัญมากกว่า เพราะเหมือนว่าเธอคือฝ่ายการตลาด และต้องมีเรื่องพิพาทกับฝ่ายผลิตเสมอ
แสงรัศมีมักจะเสนอสินค้าที่มีฤทธิ์ร้ายแรง แต่ก่อให้เกิดผลเสียมากมาย มาริสาจะคอยให้ข้อคิดที่สวนทาง จนทำให้แสงรัศมีโกรธแล้วในที่สุด นายใหญ่ก็จะเห็นด้วยกับเธอทุกครั้ง แสงรัศมีจึงต้องกลับไปปรับปรุงสูตรยา
แต่การพูดวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาย่อมทำให้ผู้ฟังเกิดความเกลียดชังฝังลงลึก โดยเฉพาะแสงรัศมีที่จะว่าไปเขาจิตใจไม่ปกตินัก แต่ความเฉลียวฉลาดของเขาจำเป็นต่อการเติบโตต่อองค์กรแสงสุรีย์ในตอนนั้นมาก
มาริสาจึงคล้ายเป็นหนังหน้าไฟที่ถูกใช้ในการรับมือคนประเภทนี้ เพราะเธอสามารถเอาตัวรอดจากความขัดแย้งได้เสมอ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
+++++++++++++++++
เอกเดชนัดปรีชามาคุยเพื่อว่าจ้างตามหาคนที่เขาต้องการพบ ด้วยค่าแรงสูงกว่าที่กำหนดหลายสิบเท่า ปรีชาก็พอเห็นความไม่ชอบมาพากล แต่จำนวนเงินค่าจ้างที่สูงลิ่วทำให้ข้อสงสัยถูกหักล้างไป
“คุณเอกเดชต้องการให้ผมหาคนในรูปหรือครับ”
เอกเดชยิ้มอย่างเป็นมิตร พร้อมหยิบเงินจากกระเป๋าหนังให้ปรีชา สองปึก แทนคำตอบ
“แต่ผมต้องการให้พี่ปรีชาให้คนที่พี่ไว้ใจที่สุดตามหามันให้พบแล้วแจ้งให้กับผมทันที เมื่อผมเจอกับหมอนี่แล้วคุยกับมันเสร็จ ก็ถือว่าจบงาน แล้วรับเงินที่เหลือจากผมไปได้เลย อย่าลืมนะครับว่าเงินเมื่อกี๊เป็นแค่ 10% อีก 90% ที่เหลือ ผมจะให้ ตอนที่ไอ้สมหมายอยู่ในมือ ของผม เท่านั้น”
ปรีชาอ่านประวัติของเป้าหมายที่ชื่อ สมหมาย อายุ 40 ปี มีอาชีพขับรถสองแถว แต่เบื้องหลังเป็นคนเดินยาของเอกเดช ถ้าดูจากข้อมูล การสืบหาเป้าหมายคนนี้น่าจะไม่ยากแต่ค่าจ้างนั้นมากมายจนปรีชาอดสงสัยไม่ได้
“ผมแค่สงสัยอย่างเดียว ทำไมคุณไม่ให้ลูกน้องของคุณตามไอ้หมอนี่ล่ะ ผมไม่เชื่อว่ามันจะรอดมือคุณเอกเดชแน่ๆ”
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 52)
ถึงความดีจะถูกความชั่วร้ายข่มเหง แต่ก็มีความดีที่ตกค้างอยู่ในตอนที่แล้ว เชิญติดตามตอนที่แล้วใต้บรรทัดนี้นะจ้ะ เสี่ยขอร้องงงงง
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 51)
https://pantip.com/topic/38650413
บทที่ 52 กระสุนตัดสิน
เอกเดชเดินทางมาตามคำเชิญของ สส.บารมี เขามาถึงห้องอาหารแห่งหนึ่งแถวสีลม เมื่อเข้ามานั่งในห้องอาหาร ก็มีคนมาเชิญเอกเดชไปขึ้นลิฟท์โดยให้ผู้ติดตามอยู่ในห้องอาหารทั้งหมด
ลิฟท์พาเอกเดชขึ้นมาเพียงลำพัง เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ก็มีคนยืนรอรับแล้วพาเดินไปยังห้องพักที่เป็นห้องโล่งบนตึกชั้นที่ยี่สิบไม่มีแม้แต่ม่านบังแดด มีแต่ห้องขนาด 200 ตารางเมตร บารมียืนสูบบุหรี่ดูถนนเบื้องล่าง ก่อนหันมาจับมือกับเอกเดชอย่างสนิทสนม
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะคุณเอกเดช ดูคุณภูมิฐานขึ้นเยอะเลย”
เอกเดชจับมือบารมีด้วยมือทั้งสองข้างอย่างนอบน้อม เอ่ยประจบด้วยคำหวานทันที
“ก็ไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอกครับท่าน แล้วที่เราไม่ค่อยได้พบกันก็เพราะท่านติดภารกิจเพื่อบ้านเมือง จนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลยใช่ไหมครับท่าน”
บารมียิ้มกว้างมองคู่สนทนาอย่างเป็นมิตรก่อนจะหันกลับไปมองทัศนียภาพเบื้องล่างแทน
“หึๆๆ ก็คงจะจริง ช่วงนี้งานเยอะมากเหลือเกิน เพราะผมเพิ่งได้กำหนดเวลาเลือกตั้งที่แน่นอน ผมเลยต้องมาหาคุณเอกเดชด้วยตนเอง”
เอกเดชเดินเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบด้วยเสียงที่เบาลง
“มีอะไรให้ผมรับใช้ก็บอกผมมาได้เลยนะครับ ท่านเลขาธิการ”
บารมีหัวเราะเสียงต่ำในลำคอเอ่ยออกมาทั้งที่สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้า
“หึๆๆ ข่าวของคุณคุณนี่มันรวดเร็ว แถมยังรู้ใจผมอีก แบบนี้สิถึงจะสมเป็นผู้ที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กัน เอาล่ะงั้นผมจะไม่อ้อมค้อม คุณรู้จัก คุณมาริสาหว่องใช่ไหม”
เอกเดชขมวดคิ้ว ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
“รู้จักครับ ผมรู้จักเธอแน่นอน ก็เพราะคุณมาริสาผมถึงได้มาสู่วงการนี้เต็มตัว แต่ตอนนี้รู้สึกเธอจะโดนเล่นงานหนักเหมือนกัน”
เสียงถอนลมหายใจเหมือนเครียด แต่ความจริงมันคล้ายเสียงของคนที่กำลังจะสมหวังที่ได้ถอนแค้นมากกว่า
“ก็เรื่องนี้แหละที่ผมจะมาปรึกษา ว่าจะให้ช่วยหาวิธี…”
เอกเดชยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบามากกว่าเดิม
“จะให้ผมช่วย…หรือซ้ำเติมหล่อนดีล่ะครับท่าน”
บารมียิ้มเล็กน้อย หันมามองเอกเดชด้วยสายตาวาววับ
“คุณช่วยผมคิดหน่อยสิ ว่าผมควรจะช่วยหล่อนหรือซ้ำเติมหล่อนดี”
ดวงตาของเอกเดชคล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายที่ได้กลิ่นคาวเลือด
“งั้นก็…ช่วย…ซ้ำเติมดีกว่าครับ เพราะเป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว และผมก็พอจะรู้วิธีที่จะทำให้คุณมาริสา หมดอำนาจอย่างถาวร…ครับท่าน”
บารมีสูบบุหรี่ก่อนระบายออกมา รอยยิ้มที่เย็นเยือกปรากฎอย่างไม่ปิดบัง
“งั้นคุณต้องบอกวิธีให้ผมฟังหน่อยว่ามันเป็นแค่ทฤษฎี หรือสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง”
“ตอนนี้ถึงคุณมาริสาจะไม่มีอำนาจในการบริหารฟ็อกซ์ดีเวลลอปเม้นส์แล้วก็ตาม แต่กิจการที่เป็นของกลุ่มไวท์ฟ็อกซ์ ยังมีอยู่หลายกิจการ และที่สำคัญ กลุ่มกองทัพหนูก็ยังเป็นกองกำลังที่ภักดีกับคุณมาริสา”
บารมีตบมืออย่างชื่นชม หลายต่อหลายครั้ง
“สุดยอด สุดยอด คุณเอกเดชนี่ตาคมเหมือนพญาอินทรีย์จริงๆ แสดงว่าคุณต้องมีไม้เด็ดที่จะทำให้ผมได้เห็นใช่ไหม”
เอกเดชค่อยๆ ยื่นมือมาข้างหน้าแล้วรวบมาเป็นกำมือต่อหน้าบารมี
“แน่นอนครับ ผมมีวิธีที่จะยึดทุกอย่างของคุณมาริสาให้มาอยู่ในมือท่าน”
บารมีใช้มือของตนจับมือที่กำของเอกเดชอย่าหนักแน่น ก่อนกระซิบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ
“หึๆๆๆ คุณเอกเดชคาดผิดแล้ว เพราะกิจการพวกนั้น มันเป็นของคุณ ของคุณทั้งหมด แล้วอย่าทำให้ผมผิดหวังนะ เพราะความหวังของผม คือให้คุณรับช่วงต่อความยิ่งใหญ่เหนือทุกคน เพราะผมต้องการคนเก่งอย่างคุณมาช่วย ให้บ้านเมืองเจริญเติบโตอย่างที่มันควรจะเป็น”
ทั้งสองจับมือกันอย่างแน่นหนา เอกเดชกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงต่ำลึกเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม
“ผมขอเวลา สามอาทิตย์ แล้วคุณมาริสา จะกลายเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่คุณบารมีจะฆ่าหรือปล่อยมันไป ก็ย่อมได้”
บารมีตบบ่าเอกเดชอย่างเป็นกันเอง เมื่อหันหลังกำลังจะก้าวเดินมือข้างขวาก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง
“งั้นอีกสามอาทิตย์ ผมจะรอฟังข่าวดี เพื่อแสดงความขอบคุณ เงินส่วนแบ่งของเดือนนี้ก็ไม่ต้องจ่าย แล้วผมจะเพิ่มสินค้าให้คุณไปปล่อยเป็นรายแรก”
เอกเดชแย้มยิ้มอย่างตื่นเต้น
“สินค้าใหม่ ประเภทไหนหรือครับ”
บารมีล้วงเอาขวดแก้วเล็กๆ ออกมาแล้วโยนให้เอกเดชไปถือไว้
“สินค้าราคาถูกๆ แต่ฤทธิ์ใกล้เคียงกับระดับพรีเมียมยังไงล่ะคุณเอกเดช”
เอกเดชแย้มยิ้ม ส่วนบารมีเหลือบมองก่อนเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มที่เยือกเย็น เอกเดชมองขวดเล็กๆ มียาบรรจุเป็นเม็ด ขนาดใหญ่กว่ายาพาราฯ สีแดงสด จำนวนสิบเม็ด ก่อนจะหันไปมองภาพผู้คนมากมายจากอาคารสูง แล้วคำรามในลำคอออกมา
“มาริสา แล้วก็ถึงเวลาของเมริงจนได้นะ แต่กูจะใจดีให้ได้เห็นจุดจบของไอ้ธนู ก่อนที่เมริง จะตาย หึๆๆๆ”
ดวงตาที่วาววับราวกับสัตว์ร้ายเป็นประกาย เพราะถึงเวลานี้ เอกเดชแค่รอเวลา เพื่อจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขายังไม่กลับไปหาศิริศรในตอนนี้เพราะเขาต้องการให้อุปสรรคทุกอย่างถูกกำจัดด้วยเวลาของมันเสียก่อน แค่เพียงไม่ถึงเดือน ก็จะเหลือคนที่เขาต้องหวาดหวั่นแค่สองคน หรืออาจจะแค่คนเดียวเท่านั้น
++++++++++++++++++
มาริสากลับมายังคฤหาถน์ดอกไม้ขาว โดยมีอาเหมยกับอาฮัวยืนเคียงข้าง ในขณะที่เธอมองสวนดอกไม้ที่สวยงาม ภายในใจนั้นกลับเหมือนมีไฟที่สุม
ทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอถูกเปลี่ยนมือเพียงชั่วข้ามคืน มีเงินที่ตกค้างในระบบการโยกย้ายเงินจำนวนมหาศาลที่รอจะแปรเป็นทรัพย์สิน ถึงจะมีเงินเข้ามาในบัญชีของเธอในการโอนหุ้น แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เธอต้องสูญเสีย มันเท่ากับการแลกก้อนกรวดกับเพชรเม็ดงามในน้ำหนักพอๆกัน
แล้วที่เธอต้องสูญเสียก็คือความไว้วางใจจากแสงสุรีย์ เธอนั้นมีเรื่องขัดแย้งกับแสงรัศมีซึ่งถ้าเทียบตามตำแหน่งเขาอาจมีตำแหน่งที่สูงกว่า แต่ความสำคัญของเธอนั้นกลับสูงกว่าแสงรัศมี ที่แล้วมาเธอจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อแสงรัศมีมากนัก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
อย่างไรก็ดี ถึงเธอจะสูญเสียแหล่งฟอกเงิน แต่จำนวนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัว ก็มากพอที่จะบรรณาการต่อแสงสุรีย์เพื่อไถ่โทษ และสำคัญกลุ่มไวท์ฟ็อกซ์ของเธอ รวมทั้งกองทัพหนูก็ยังภักดีต่อเธอ กองทัพหนูที่ปรีชาควบคุมอยู่ย่อมไม่แปรพักตร์
ส่วนไวท์ฟ็อกซ์นั้นย่อมเป็นดั่งอวัยวะของเธอที่ไม่มีวันทรยศต่อเธออย่างเด็ดขาด ตอนนี้เธอยังไม่คิดวิธีเอาคืนธนู เพราะถึงเวลานี้ทางฝ่ายตรงข้ามคงเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ เธอคิดว่าการโจมตีนั้นมีแต่เรื่องจะเลวร้าย แค่ตั้งมั่นไว้เวลาก็จะกำจัดศัตรูของเธอได้อย่างแน่นอน
“อาเหมย อาฮัวช่วงนี้ฉันคงต้องเก็บตัวสักพัก ถ้าเธอไม่มีธุระอะไรสำคัญก็อย่าไปไหนไกล เพราะช่วงนี้พวกเธออาจเป็นเป้าหมาย”
อาเหมยกับอาฮัวหันมามองนายหญิงของตน ก่อนเอ่ยถามออกมา
“นายหญิงจะให้อาเหมยไปจัดการไอ้ธนูเลยไหมคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เมื่อถึงเวลามันก็ต้องตาย แต่ตอนนี้ที่ฉันกังวลไม่ใช่เรื่องของมัน แต่เป็นอีกคน”
อาเหมยจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ใครหรือคะ ที่จะเล่นงานนายหญิง”
มาริสาได้แต่ถอนใจอย่างหนักหน่วง เธอไม่สามารถเอ่ยถึงแสงสุรีย์กับใครก็ตาม ถึงเธอทราบดีว่าทั้งอาฮัวและอาเหมย จะไม่มีวันบอกความลับของเธออย่างแน่นอน แต่เมื่อเป็นข้อบังคับเธอจึงได้แต่เก็บเอาไว้กับตนเอง
“มันนานมาแล้ว ที่ฉันมีเรื่องกับมัน…”
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเกือบสิบปี มาริสาในตำแหน่งแสงประกายต้องทำงานร่วมกับแสงรัศมีที่ถือว่ามีตำแหน่งที่สูงกว่า แต่เธอมีความสำคัญมากกว่า เพราะเหมือนว่าเธอคือฝ่ายการตลาด และต้องมีเรื่องพิพาทกับฝ่ายผลิตเสมอ
แสงรัศมีมักจะเสนอสินค้าที่มีฤทธิ์ร้ายแรง แต่ก่อให้เกิดผลเสียมากมาย มาริสาจะคอยให้ข้อคิดที่สวนทาง จนทำให้แสงรัศมีโกรธแล้วในที่สุด นายใหญ่ก็จะเห็นด้วยกับเธอทุกครั้ง แสงรัศมีจึงต้องกลับไปปรับปรุงสูตรยา
แต่การพูดวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาย่อมทำให้ผู้ฟังเกิดความเกลียดชังฝังลงลึก โดยเฉพาะแสงรัศมีที่จะว่าไปเขาจิตใจไม่ปกตินัก แต่ความเฉลียวฉลาดของเขาจำเป็นต่อการเติบโตต่อองค์กรแสงสุรีย์ในตอนนั้นมาก
มาริสาจึงคล้ายเป็นหนังหน้าไฟที่ถูกใช้ในการรับมือคนประเภทนี้ เพราะเธอสามารถเอาตัวรอดจากความขัดแย้งได้เสมอ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
+++++++++++++++++
เอกเดชนัดปรีชามาคุยเพื่อว่าจ้างตามหาคนที่เขาต้องการพบ ด้วยค่าแรงสูงกว่าที่กำหนดหลายสิบเท่า ปรีชาก็พอเห็นความไม่ชอบมาพากล แต่จำนวนเงินค่าจ้างที่สูงลิ่วทำให้ข้อสงสัยถูกหักล้างไป
“คุณเอกเดชต้องการให้ผมหาคนในรูปหรือครับ”
เอกเดชยิ้มอย่างเป็นมิตร พร้อมหยิบเงินจากกระเป๋าหนังให้ปรีชา สองปึก แทนคำตอบ
“แต่ผมต้องการให้พี่ปรีชาให้คนที่พี่ไว้ใจที่สุดตามหามันให้พบแล้วแจ้งให้กับผมทันที เมื่อผมเจอกับหมอนี่แล้วคุยกับมันเสร็จ ก็ถือว่าจบงาน แล้วรับเงินที่เหลือจากผมไปได้เลย อย่าลืมนะครับว่าเงินเมื่อกี๊เป็นแค่ 10% อีก 90% ที่เหลือ ผมจะให้ ตอนที่ไอ้สมหมายอยู่ในมือ ของผม เท่านั้น”
ปรีชาอ่านประวัติของเป้าหมายที่ชื่อ สมหมาย อายุ 40 ปี มีอาชีพขับรถสองแถว แต่เบื้องหลังเป็นคนเดินยาของเอกเดช ถ้าดูจากข้อมูล การสืบหาเป้าหมายคนนี้น่าจะไม่ยากแต่ค่าจ้างนั้นมากมายจนปรีชาอดสงสัยไม่ได้
“ผมแค่สงสัยอย่างเดียว ทำไมคุณไม่ให้ลูกน้องของคุณตามไอ้หมอนี่ล่ะ ผมไม่เชื่อว่ามันจะรอดมือคุณเอกเดชแน่ๆ”