แสงกระสือ (สิทธิศิริ มงคลศิริ, 2019) คะแนน A

"ความแปลกแยกของสัตว์ประหลาดที่มีหัวใจ" แสงกระสือ (Inhuman Kiss) เป็นภาพยนตร์ไทยที่น่าชื่นชมและสมควรอย่างยิ่งที่จะแนะนำให้ไปรับชมกัน ด้วยบริบทสไตล์ไทย ๆ แต่ทำออกมาได้ระดับสากล ชื่นชมทีมงานและตัวผู้กำกับที่สร้างสรรค์หนังไทยคุณภาพที่ไม่ดูถูกคนดูในทุก ๆ แง่มุม แสงกระสือ เล่าเรื่องราวในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เด็กสาวที่กำลังเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น ค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ และติดเชื้อกระสือมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับเพื่อนสนิทสมัยเด็กที่กลายเป็นหนุ่มจนเกิดเป็นความสัมพันธ์รักสามเส้า และพยายามที่จะช่วยเหลือเพื่อนสาวให้รอดพ้นจากการตามล่าของคนในหมู่บ้าน พล็อตหนังจึงเป็นแนวสยองขวัญ-โรแมนติก-ดราม่า ที่ลงตัวพอจะทำให้เรารู้สึกร่วมอินและเจ็บซ้ำเสมือนใครเอามือมาบีบหัวใจหลังดูจบ โลเคชั่นของหนังถ่ายทอดชีวิตชนบทในสมัยที่สยามอยู่ในภาวะสงคราม ประกอบกับความฝันของวัยหนุ่มสาวผ่านตัวละครหลัก งานภาพ CGI ทำได้ประณีตและสวยงาม รวมถึงบทภาพยนตร์ของ 'มะเดี่ยว - ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล' ที่พาเราตีความถึงเรื่องราวตำนานผีกระสือ ได้อย่างน่าสนใจและชวนเราคบคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแวดล้อมได้มีมิติ

'สัตว์ประหลาดก็มีหัวใจ' ความดีของหนังคือการพาเราไปสำรวจจิตใจตัวละครที่ได้รับเชื้อกระสือว่ามีความคิดต่อตัวเองและพยายามใช้ชีวิตอยู่ในสังคมให้ได้อย่างปกติ ซึ่งหนังได้สะท้อนความนึกคิดและความเศร้าใจที่ต้องแบกรับทั้งความกดดันและเก็บซ่อนความลับต่อสังคมที่อาศัยอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่น่าสนใจคือตัวละครหลักทั้งสามตัวเป็น 'วัยหนุ่มสาว' ที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับความไม่ปกติให้ได้ หรือยอมรับความแปลกแยกในส่วนที่คนแก่ (ชาวบ้าน) ไม่สามารถปรับตัวหรือยอมรับความแปลกแยกผิดปกตินี้ได้ แต่คนหนุ่มสาวกลับเลือกที่จะแก้ไขและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาหรือเยียวยาความไม่ปกติด้วยการพึ่งพิงอิงอาศัยกันอย่างเป็นมิตร ความน่าเศร้าใจคือระบบสังคมที่หนังเลือกใช้ ตรงกับบริบทสังคมไทยในยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งเราคิดว่า 'คุณมะเดี่ยว' เขียนบทออกมาได้ค่อนข้างแยบยล เพราะสามารถผสมความเชื่อแต่โบราณนิทานผีพื้นบ้านกับความร่วมสมัยของสังคมยุคใหม่ที่ไม่เชื่อเรื่องราวผีสางเหนือธรรมชาติผ่านตัวละคร ความแยบยลอีกสิ่งหนึ่งคือทางเลือกของหนังที่ทำให้เราเห็นภาพว่าสังคมนี้ไม่สามารถยอมรับการ 'มีอยู่' ของสิ่งแตกต่างได้ จนทำให้ความแตกต่างนั้นต้องพยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่อตัวเอง ซึ่งเป็นความน่าเศร้าของวัยหนุ่มสาวที่ต้องเลือกชีวิตปกติให้กลมกลืนไปกับสังคมที่ไม่ยอมรับหรือเพิกถอนความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สังคมที่ผู้ใหญ่บีบบังคับให้เหล่าหนุ่มสาวต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรือตามล่าติดป้ายว่าเป็นภัยต่อสังคมนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอและเขาเหล่านั้นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

'การอยู่ร่วมกันได้' จึงเป็นแกนหลักตลอดการรับชมของเรา ที่ทำให้เรามีส่วนร่วมและเอาใจช่วงตัวละครตลอดเวลา ซึ่งเป็นความดีงามของหนังที่ทำให้เราได้ไตร่ตรองและครุ่นคิดไปพร้อมกับสถานการณ์ภายใต้หนังผีที่แปลกใหม่ของแวดวงหนังไทย รวมถึงตัวหนังยังมีความเคารพรูปแบบหนังผีสมัยก่อนและสอดแทรกความทันสมัยลงไป แสงกระสือ จึงเป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่เรารู้สึกรักต่อท่าทีของหนังเอามาก ๆ และถึงแม้ว่าตัวหนังจะมีข้อจำกัดหรือมีเนื้อหาตรรกะอะไรที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง หรือน้ำหนักของหนังที่อาจจะขาด ๆ เกิน ๆ ในบางช่วงอารมณ์ แต่ทั้งหมดนั้นสามารถยอมรับได้และคิดว่าตัวทีมงานหรือผู้กำกับได้ตั้งใจทำงานนี้ออกมาเต็มที่ที่สุดแล้ว เพราะด้วยอารมณ์ทั้งหมดของหนังที่มีทั้งความน่ากลัว ตลกน่ารัก ดราม่า โรแมนติก สนุกสนาน ทริลเลอร์ลุ้นระทึก ทั้งหมดมีให้เราได้สัมผัสตลอดทั้งเรื่อง ทีมนักแสดงทั้งสามคนแสดงกันได้ดี โดยเฉพาะ 'มินนี่-ภัณฑิรา' ในบทกระสือที่น่ารักมีเสน่ห์ และต้องแสดงความนึกคิดผ่านสีหน้าแววตามากกว่าคำพูดเพื่อส่งข้อความมาถึงคนดูว่าตัวละครกำลังประสบกับปัญหาอะไรอยู่ ส่วนนักแสดงชาย เกรท-สพล, โอบ-โอบนิธิ ก็ช่วยกันประคองเรื่องราวความรักใส ๆ ของวัยหนุ่มสาวได้ดี สำคัญคือสามตัวละครนี้เป็นตัวแทนของวัยหนุ่มสาวในสังคมที่กำลังต่อสู้กับสังคมแบบเก่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น แสงกระสือ (Inhuman kiss) สำหรับเราจึงเป็นหนังไทยที่เราหลงรักที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยบริบทต่าง ๆ ของหนังและงานสร้างคุณภาพที่สามารถยกระดับหนังผีให้มีพล็อตเรื่องได้น่าสนใจและแฝงประเด็นหนุ่มสาว จนไปถึงไดอะล็อกที่น่าจดจำหลังดูจบ ข้อความต่าง ๆ และบทสรุปของหนังทำให้เราเกิดคำถามฉุกคิดและตกผลึกหลังดูจบ จนสร้างความเซอร์ไพรส์ว่าเราได้รับอะไรแบบนี้จากเรื่องราวตำนานผีไทย จนไปถึงเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์กับอมนุษย์ที่พยายามจะอยู่ร่วมกันให้ได้ ท้ายสุด หนังยังชี้ให้เราเห็นถึงอันตรายของการไม่สามารถยอมรับความแตกต่างเหล่านั้น จะนำพามาซึ่งการสูญเสียไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง และความรักที่บริสุทธิ์ก็มีทั้งด้านสวยงาม แต่ก็ยังมีด้านที่เจ็บปวดรวดร้าว เต็มไปด้วยบาดแผลเกินเยียวยาที่จะรักษาจนน่าเศร้าใจ...

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: แสงกระสือ (สิทธิศิริ มงคลศิริ, 2019) รีวิวโดย Form Corleone
"ความแปลกแยกของสัตว์ประหลาดที่มีหัวใจ" แสงกระสือ (Inhuman Kiss) เป็นภาพยนตร์ไทยที่น่าชื่นชมและสมควรอย่างยิ่งที่จะแนะนำให้ไปรับชมกัน ด้วยบริบทสไตล์ไทย ๆ แต่ทำออกมาได้ระดับสากล ชื่นชมทีมงานและตัวผู้กำกับที่สร้างสรรค์หนังไทยคุณภาพที่ไม่ดูถูกคนดูในทุก ๆ แง่มุม แสงกระสือ เล่าเรื่องราวในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เด็กสาวที่กำลังเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น ค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ และติดเชื้อกระสือมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับเพื่อนสนิทสมัยเด็กที่กลายเป็นหนุ่มจนเกิดเป็นความสัมพันธ์รักสามเส้า และพยายามที่จะช่วยเหลือเพื่อนสาวให้รอดพ้นจากการตามล่าของคนในหมู่บ้าน พล็อตหนังจึงเป็นแนวสยองขวัญ-โรแมนติก-ดราม่า ที่ลงตัวพอจะทำให้เรารู้สึกร่วมอินและเจ็บซ้ำเสมือนใครเอามือมาบีบหัวใจหลังดูจบ โลเคชั่นของหนังถ่ายทอดชีวิตชนบทในสมัยที่สยามอยู่ในภาวะสงคราม ประกอบกับความฝันของวัยหนุ่มสาวผ่านตัวละครหลัก งานภาพ CGI ทำได้ประณีตและสวยงาม รวมถึงบทภาพยนตร์ของ 'มะเดี่ยว - ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล' ที่พาเราตีความถึงเรื่องราวตำนานผีกระสือ ได้อย่างน่าสนใจและชวนเราคบคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแวดล้อมได้มีมิติ
'สัตว์ประหลาดก็มีหัวใจ' ความดีของหนังคือการพาเราไปสำรวจจิตใจตัวละครที่ได้รับเชื้อกระสือว่ามีความคิดต่อตัวเองและพยายามใช้ชีวิตอยู่ในสังคมให้ได้อย่างปกติ ซึ่งหนังได้สะท้อนความนึกคิดและความเศร้าใจที่ต้องแบกรับทั้งความกดดันและเก็บซ่อนความลับต่อสังคมที่อาศัยอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่น่าสนใจคือตัวละครหลักทั้งสามตัวเป็น 'วัยหนุ่มสาว' ที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับความไม่ปกติให้ได้ หรือยอมรับความแปลกแยกในส่วนที่คนแก่ (ชาวบ้าน) ไม่สามารถปรับตัวหรือยอมรับความแปลกแยกผิดปกตินี้ได้ แต่คนหนุ่มสาวกลับเลือกที่จะแก้ไขและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาหรือเยียวยาความไม่ปกติด้วยการพึ่งพิงอิงอาศัยกันอย่างเป็นมิตร ความน่าเศร้าใจคือระบบสังคมที่หนังเลือกใช้ ตรงกับบริบทสังคมไทยในยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งเราคิดว่า 'คุณมะเดี่ยว' เขียนบทออกมาได้ค่อนข้างแยบยล เพราะสามารถผสมความเชื่อแต่โบราณนิทานผีพื้นบ้านกับความร่วมสมัยของสังคมยุคใหม่ที่ไม่เชื่อเรื่องราวผีสางเหนือธรรมชาติผ่านตัวละคร ความแยบยลอีกสิ่งหนึ่งคือทางเลือกของหนังที่ทำให้เราเห็นภาพว่าสังคมนี้ไม่สามารถยอมรับการ 'มีอยู่' ของสิ่งแตกต่างได้ จนทำให้ความแตกต่างนั้นต้องพยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่อตัวเอง ซึ่งเป็นความน่าเศร้าของวัยหนุ่มสาวที่ต้องเลือกชีวิตปกติให้กลมกลืนไปกับสังคมที่ไม่ยอมรับหรือเพิกถอนความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สังคมที่ผู้ใหญ่บีบบังคับให้เหล่าหนุ่มสาวต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรือตามล่าติดป้ายว่าเป็นภัยต่อสังคมนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอและเขาเหล่านั้นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
'การอยู่ร่วมกันได้' จึงเป็นแกนหลักตลอดการรับชมของเรา ที่ทำให้เรามีส่วนร่วมและเอาใจช่วงตัวละครตลอดเวลา ซึ่งเป็นความดีงามของหนังที่ทำให้เราได้ไตร่ตรองและครุ่นคิดไปพร้อมกับสถานการณ์ภายใต้หนังผีที่แปลกใหม่ของแวดวงหนังไทย รวมถึงตัวหนังยังมีความเคารพรูปแบบหนังผีสมัยก่อนและสอดแทรกความทันสมัยลงไป แสงกระสือ จึงเป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่เรารู้สึกรักต่อท่าทีของหนังเอามาก ๆ และถึงแม้ว่าตัวหนังจะมีข้อจำกัดหรือมีเนื้อหาตรรกะอะไรที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง หรือน้ำหนักของหนังที่อาจจะขาด ๆ เกิน ๆ ในบางช่วงอารมณ์ แต่ทั้งหมดนั้นสามารถยอมรับได้และคิดว่าตัวทีมงานหรือผู้กำกับได้ตั้งใจทำงานนี้ออกมาเต็มที่ที่สุดแล้ว เพราะด้วยอารมณ์ทั้งหมดของหนังที่มีทั้งความน่ากลัว ตลกน่ารัก ดราม่า โรแมนติก สนุกสนาน ทริลเลอร์ลุ้นระทึก ทั้งหมดมีให้เราได้สัมผัสตลอดทั้งเรื่อง ทีมนักแสดงทั้งสามคนแสดงกันได้ดี โดยเฉพาะ 'มินนี่-ภัณฑิรา' ในบทกระสือที่น่ารักมีเสน่ห์ และต้องแสดงความนึกคิดผ่านสีหน้าแววตามากกว่าคำพูดเพื่อส่งข้อความมาถึงคนดูว่าตัวละครกำลังประสบกับปัญหาอะไรอยู่ ส่วนนักแสดงชาย เกรท-สพล, โอบ-โอบนิธิ ก็ช่วยกันประคองเรื่องราวความรักใส ๆ ของวัยหนุ่มสาวได้ดี สำคัญคือสามตัวละครนี้เป็นตัวแทนของวัยหนุ่มสาวในสังคมที่กำลังต่อสู้กับสังคมแบบเก่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น แสงกระสือ (Inhuman kiss) สำหรับเราจึงเป็นหนังไทยที่เราหลงรักที่สุดเรื่องหนึ่ง ด้วยบริบทต่าง ๆ ของหนังและงานสร้างคุณภาพที่สามารถยกระดับหนังผีให้มีพล็อตเรื่องได้น่าสนใจและแฝงประเด็นหนุ่มสาว จนไปถึงไดอะล็อกที่น่าจดจำหลังดูจบ ข้อความต่าง ๆ และบทสรุปของหนังทำให้เราเกิดคำถามฉุกคิดและตกผลึกหลังดูจบ จนสร้างความเซอร์ไพรส์ว่าเราได้รับอะไรแบบนี้จากเรื่องราวตำนานผีไทย จนไปถึงเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์กับอมนุษย์ที่พยายามจะอยู่ร่วมกันให้ได้ ท้ายสุด หนังยังชี้ให้เราเห็นถึงอันตรายของการไม่สามารถยอมรับความแตกต่างเหล่านั้น จะนำพามาซึ่งการสูญเสียไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง และความรักที่บริสุทธิ์ก็มีทั้งด้านสวยงาม แต่ก็ยังมีด้านที่เจ็บปวดรวดร้าว เต็มไปด้วยบาดแผลเกินเยียวยาที่จะรักษาจนน่าเศร้าใจ...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/