กระทู้นี่เราตั้งขึ้นมาแค่อยากแชร์ระสบการณ์ที่ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไรกับระบบการศึกษาและโรงเรียนในประเทศเรา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กๆส่วนใหญ่ไม่ไม่สนุกและไม่อยากไปโรงเรียน
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเราไม่ได้จะมาซำ้เติมหรือเขียนสิ่งไม่ดีว่ากล่าวระบบของประเทศไทย แค่สงสัยว่าเราจะเปลี่ยนความคิดของครูและระบบเราให้ต่างจากสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์อย่างไร
ลูกสาวของเราเป็นลูกคึรึ่งออสเตรเลีย พวกเราเคยอาศัยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ตอนนั้นลูกสาวได้ขวบกว่าๆ จนครบเกณฑ์เข้าอนุบาล เรากับสามีส่งให้เข้าเรียนอนุบาลที่มาเลเซีย ลูกสาวชอบมากได้เรียนทั้งมาลายูและอังกฤษ คุณครูน่ารักไม่กดดัน และระบบการเรียนที่นั่นคือตั้งแต่อนุบาลจนมัธยมจะเรียนแค่ครึ่งวัน และหยุดทุกวัน ศุกร์-เสาร์เพราะเขาคิดว่าการไปโรงเรียนมากๆไม่ดีต่อเด็ก(อันนี้เห็นด้วย) และเมื่อลูกสาวครบกำหนดต้องเรียนชั้นประถม เรากับสามีได้ให้ลูกสาวเรียนการศึกษาทางไกลจากออสเตรเลีย ลูกสาวต้องเรียนออนไล์ร่วมกับเพื่อนๆอีกประมาณ 4-6 คน การเรียนและการสอนผ่านไปด้วยดีไม่มีความกดดัน ไม่มีการแข่งขัน โรงเรียนสอนให้เด็กทำงานต่างๆด้วยตนเอง ลูกสาวเก่งในการใช้คอมพิวเตอร์และเข้าใจการใช้ระบบ วินโดว์ออฟฟิศและอื่นๆตั้งแต่อายุ7ขวบ ขณะนั้นลูกสาวพูดได้3ภาษา คือ ไทย-อังกฤษ-มาเล
เรียนได้1 ปี พวกเรามีเหตุต้องมาประเทศไทยที่สตูลเพื่อนำเรือของเรามาซ่อม ขณะนั้นเรากะสามีคิดว่าจะลองให้ลูกสาวได้เข้าเรียนโรงเรียนปกติร่วมกับเด็กไทยดู เพราะสงสารลูกว่าจะได้มีเพื่อนเล่นบ้าง ช่วงเวลานั้นลูกสาวชอบไปโรงเรียนมาก ทุกคนรักและให้ความสนใจเป็นพิเศษ โรงเรียนอยู่ในชนบทเล็กๆ เรียกว่าชุมชนเจ๊ะบิลัง ประชาชนส่วนมากเป็นมุสลิมทุกคนน่ารักมากเป็นกันเอง ผ่านไปประมาณ1ปีพวกเราได้ให้ลูกสาวกลับไปเรียนทางไกลของออสเตรเลียอีกครั้งเพราะ การเรียนรู้ด้านการอ่านการเขียนของลูกสาวตกลงอย่างน่าใจหายเพียงแค่ระยะเวลา1 ปี หลังจากนั้น ลูกสาวได้เรียนจนถึง อายุ9ขวบ พวกเรากลับไปมาเลเซีย และสามีของเราป่วยและทราบผลว่าเป็นมะเร็งกล่องเสียงขั้นแรก รักษาเกือบปี แต่อาการไม่ดีขึ้นจนในที่สุดต้องกลับไปออสเตรเลีย พอพวกเราได้กลับไปก้ได้ติดต่อกับทางโรงเรียนว่าจะขอให้ลูกสาวเข้าเรียนโรงเรียนปกติ ไปติดต่อโรงเรียน พอวันรุ่งขึ้นเขาบอกพรุ่งนี้มาเข้าเรียนปกติ ง่ายดายเหลือเกินไม่ต้องการเอกสารมากมายเหมือนประเทศไทย ลูกสาวชอบโรงเรียนเช่นเคยมีเพื่อนเยอะและคุณครูซุปเปอร์ใจดี อยู่ได้เกือบปี อาการสามีทรุดลงและหมอบอกว่าแกมีเวลาเหลือแค่ไม่เกิน3เดือน พวกเราขวัญเสียมากเราร้องไห้ทุกวันเพราะรู้ว่าสามีกำลังจะจากพวกเราไป เราแจ้งทางโรงเรียนตลอด ผู้อำนวยการและคณะครูต่างให้กำลังใจและช่วยเหลือลูกสาวเป็นอย่าง ในที่สุดสามีเสียชีวิตเรากะลูกสาวกลับมาที่เรือของเรามาเลเซีย และลูกสาวยังเรียนทางไกลเหมือนเดิม ผ่านไป1ปีเราตัดสินใจกลับมาประเทศไทยและทำงานในบริษัทเอกชนใน กทม. และส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนทีมีชื่อเสียงมากๆด้วยค่าเทอมแสนแพง เรียนได้เทอมเดียวลูกสาวเกิดอาการเครียดมาก การบ้านมีทุกวันและลูกสาวไม่ค่อยเก่งภาษาไทย คุณครูยัดเยียดให้เรียนพิเศษทุกวันอ้างว่าลูกมีผลการเรียนไม่ดีต้องติวเข้ม ลูกสาวปวดหัวขั้นรุนแรงร้องไห้ทุกวัน เราพาไปตรวจที่โรงพยาบาลบำรุงราษณ์ เล่าอาการให้หมอฟังหมอสอบถามเรื่องส่วนตัวต่างๆและบอกว่าหมอจะสแกนสมองให้เพื่อคุณแม่จะได้สบายใจ แต่หมอบอกว่าแต่เท่าทีดูอาการคือน้องเครียดเรื่องเรียนขั้นรุนแรง เราเห็นท่าไม่ดีเลยพยายามหาโรงเรียนนานาชาติที่ราคาถูกๆให้ลูก แต่ไม่มีเลยมีแต่แพงมากจนมากที่สุด จนในที่สุดเพื่อนที่อยู่พัทยาบอกว่ามีโรงเรียนนานาชาติราคาไม่แพงลองมามั้ย และแล้วก้ได้มาเรียนที่นานาชาติที่นี่ลูกสาวชอบมากเพราะระบบการศึกษาเป็นระบบของประเทศสก๊อตแลนด์ ลูกสาวเรียนดีไม่มีปัญหา สอบภาษาอังกฤษได้ที่3ของภาคตะวันออกและที่7ของประเทศ โหภูมิใจมาก แต่และแล้วปัญหาเรื่องค่าเทอมแพงก็มาอีก แม่เลี้ยงเดี่ยวหาเงินไม่ทันค่ะ เลยได้ไปติดต่อโรงเรียนเอกชนทีมีชื่อเสียงอีกแล้วด้วยค่าเทอมก้ไม่ถูกอีก เรียนไปได้2ปีมีปัญหาจุกจิกมาอีกแล้วเพราะโรงเรียนไม่เน้นภาษาต่างประเทศทั้งๆที่เราจ่ายเรียนแพงมากเน้นเรื่องภาษา
และทำให้เราได้รู้ว่าโรงเรียนไทยที่บอกว่ามีเรียนโปรแกรมอังกฤษนั้นคือเรื่องภาษาไม่เหมาะกับลูกเราอีก ลูกเริ่มมีอาการเกรี๊ยวกราดหลังจากเรียนที่นี่ เพราะบอกว่าเบื่อไม่อยากไปโรงเรียน มีกฏแบบไร้สาระมากจนเกินไป เราก็พยายามปรับทัศนคติกะลูกเรื่องกฏต่างๆแต่ลูกร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน และมีปัญหามากมายกับคุณครู เราได้แต่คิดว่านี่ลูกเราดื้อขนาดนี้เลยหรอ ได้แต่ร้องไห้ และต่อมาคือย้ายโรงเรียนมาที่ใหม่ที่ทุกอย่างเข้าอีหรอบเดิมกฏเกณฑ์มากมายตั้งแต่เรื่องถุงเท้าการมัดผม การเข้าเรียนจิปาถะ เราทะเลาะกับลูกทุกวันและคิดแต่ว่าลูกเราทำไมดื้อรั้นอย่างนี้ เรากดดันมากเลยตัดสินใจให้ลูกมาเรียนทางไกลจากออสเตรเลียเหมือนเมื่อก่อน โดยเราเป็นคุณครูร่วมกับครูฝรั่ง ตอนนี้เรารู้เลยว่าทำไมมีคนหลายๆคนออกมาพูดเรื่องการศึกษาไทยแย่แค่ไหน
แยกเป็นข้อๆได้ลย
1. โรงเรียนไทยถ้าเด็กเรียนไม่เก่งคุณครูจะสร้างความกดดันให้เด็ก และไม่ให้โอกาสเด็ก ที่ออสเตรเลียและโรงเรียนนานาชาติจะไม่มีการวัดว่าใครเก่งสุดใครฉลาดสุด คุณครูปล่อยให้เด็กทำในสิ่งที่ถนัด
2.กฏระเบียบการแต่งกาย โรงเรียนไทยจะสร้างกฏเหล็กจนเกินไปเด็กกลัวและหมกมุ่นว่าจะผ่านเข้าประตูโรงเรียนได้ไหม จะโดนทำโทษมั้ย ถ้าต่างประเทศหรือนานาชาติจะไม่เน้นเลยเพราะการแต่งตัวไม่ได้มีผลต่อการเรียนของเด็ก
3.การเรียน การสอบโรงเรียนไทยจะไม่มีการอรุ่มอร่วย ต้องให้เป้นไปตามกฏหรือวันเวลาที่โรงเรียนกำหนดเท่านั้น ทั้งที่นานาชาติหรือต่างประเทศอนุญาติให้เด็กมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเอง ถ้าไม่พร้อมให้แจ้งแต่ต้องตามงานให้ครบส่วนเรื่องเวลาเข้าเรียนนั้นไม่สำคัญถ้าเด้กสอบผ่านและการเรียนไม่ตก
4. เอกสารต่างๆต้องครบถ้าขาดใบใดใบหนึ่งถือว่าลูกคุณหมดสิทธิ์ทันที ซึ่งนานาชาติและต่างประเทศต้องการแค่ใบรับรองว่าเด็กเรียนอยู้ชั้นไหนเพื่อจะได้ให้เด็กได้เรียนต่อเนื่องตามระบบต่อไป
5. เด็กใช้เวลาในโรงเรียนมากเกินไปทำให้เด็กเบื่อและไม่ได้เข้าถึงเนื้อหาในการเรียนอย่างจริงจังทุกๆวิชาครูสร้างความกดดันโดยการขีดเส้นตายในการเรียนและการบ้าน ประเทศฟินแลนด์ กับมาเลเซียให้เด็กเรียนครึ่งวัน และไม่มีการบ้านให้เด็ก แต่ประเทศเขาก็ยังพัฒนาไปได้ดีกว่าเรานะ
ยังมีอีกเยอะปัญหาต่างๆที่เราเจอมากะตัวเรา และสดๆร้อนๆเลยคือลูกเราลงทะเบียนเรียน ออสเตรเลียและเขาให้ลูกเรียนปีนี้เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอไปเรียนปีหน้า เขายอมอรุ่มอร่วยทุกอย่างเข้าใจว่าสถานการณ์จำเป็นแต่เขาพยายามให้เด็กได้โอกาส แต่ที่นี่ประเทศไทยกดดันมากมาย พอเราบอกว่าขออนุญาติหนึ่งวันให้ลูกได้เข้าเรียนกับครูออนไลน์ สรุปคือไม่ได้และหาว่าเราหมกมุ่นแต่กะทางออสเตรเลีย ไม่อรุ่มอร่วยเราบอกว่าทำไมที่นี่ไม่เข้าใจอะไรเลยทำไมไม่นึกถึงอนาคตเด็กบ้าง คือต้องบอกเพื่อนๆก่อนว่าทางออสเตรเลียให้ลูกเราเรียนทั้งๆที่ลูกเรายังไม่จบม.3ที่ประเทศไทย เขาบอกว่าไม่งั้นถ้าเรารอให้ลูกจบทึ่นี่แล้วต้องเรียนม.4 ปีหน้าเท่ากับเสียเวลาไป1ปี แต่ครูที่นี้พูดย้ำแต่ว่าคือกฎ เราบอกเข้าใจว่าคือกฏแต่การอรุ่มอร่วยเพื่ออนาคตเด็กนี้ทำไม่ได้หรอ จนได้เถียงกะครู สรุปคือเราต้องยอมบากหน้าบอกทางออสเตรเลียว่าเราขอเวลาอีกนิด ทางโน้นบอกมาว่าไม่เป็นไรทำใจเย็นๆเรารอได้
ยังมีอีกเยอะที่เล่าในนี้ไม่หมด คงเปลี่ยนยากบ้านเรา เราถูกครูและคนอื่นว่าตามใจลูกและเข้าข้างลูกเกินไปเราบอกไม่ใช่เลย เราถามกลับไปว่าถ้าคุณทำงานที่ไหนแล้วมีแต่ความกดดันคุณอยากยังจะทำอยู่มั้ย ก็ไม่มีใครตอบได้ที เฮ้อทำใจ
ระบบการศึกษาไทย กับกฏระเบียบที่น่ากดดัน
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเราไม่ได้จะมาซำ้เติมหรือเขียนสิ่งไม่ดีว่ากล่าวระบบของประเทศไทย แค่สงสัยว่าเราจะเปลี่ยนความคิดของครูและระบบเราให้ต่างจากสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์อย่างไร
ลูกสาวของเราเป็นลูกคึรึ่งออสเตรเลีย พวกเราเคยอาศัยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ตอนนั้นลูกสาวได้ขวบกว่าๆ จนครบเกณฑ์เข้าอนุบาล เรากับสามีส่งให้เข้าเรียนอนุบาลที่มาเลเซีย ลูกสาวชอบมากได้เรียนทั้งมาลายูและอังกฤษ คุณครูน่ารักไม่กดดัน และระบบการเรียนที่นั่นคือตั้งแต่อนุบาลจนมัธยมจะเรียนแค่ครึ่งวัน และหยุดทุกวัน ศุกร์-เสาร์เพราะเขาคิดว่าการไปโรงเรียนมากๆไม่ดีต่อเด็ก(อันนี้เห็นด้วย) และเมื่อลูกสาวครบกำหนดต้องเรียนชั้นประถม เรากับสามีได้ให้ลูกสาวเรียนการศึกษาทางไกลจากออสเตรเลีย ลูกสาวต้องเรียนออนไล์ร่วมกับเพื่อนๆอีกประมาณ 4-6 คน การเรียนและการสอนผ่านไปด้วยดีไม่มีความกดดัน ไม่มีการแข่งขัน โรงเรียนสอนให้เด็กทำงานต่างๆด้วยตนเอง ลูกสาวเก่งในการใช้คอมพิวเตอร์และเข้าใจการใช้ระบบ วินโดว์ออฟฟิศและอื่นๆตั้งแต่อายุ7ขวบ ขณะนั้นลูกสาวพูดได้3ภาษา คือ ไทย-อังกฤษ-มาเล
เรียนได้1 ปี พวกเรามีเหตุต้องมาประเทศไทยที่สตูลเพื่อนำเรือของเรามาซ่อม ขณะนั้นเรากะสามีคิดว่าจะลองให้ลูกสาวได้เข้าเรียนโรงเรียนปกติร่วมกับเด็กไทยดู เพราะสงสารลูกว่าจะได้มีเพื่อนเล่นบ้าง ช่วงเวลานั้นลูกสาวชอบไปโรงเรียนมาก ทุกคนรักและให้ความสนใจเป็นพิเศษ โรงเรียนอยู่ในชนบทเล็กๆ เรียกว่าชุมชนเจ๊ะบิลัง ประชาชนส่วนมากเป็นมุสลิมทุกคนน่ารักมากเป็นกันเอง ผ่านไปประมาณ1ปีพวกเราได้ให้ลูกสาวกลับไปเรียนทางไกลของออสเตรเลียอีกครั้งเพราะ การเรียนรู้ด้านการอ่านการเขียนของลูกสาวตกลงอย่างน่าใจหายเพียงแค่ระยะเวลา1 ปี หลังจากนั้น ลูกสาวได้เรียนจนถึง อายุ9ขวบ พวกเรากลับไปมาเลเซีย และสามีของเราป่วยและทราบผลว่าเป็นมะเร็งกล่องเสียงขั้นแรก รักษาเกือบปี แต่อาการไม่ดีขึ้นจนในที่สุดต้องกลับไปออสเตรเลีย พอพวกเราได้กลับไปก้ได้ติดต่อกับทางโรงเรียนว่าจะขอให้ลูกสาวเข้าเรียนโรงเรียนปกติ ไปติดต่อโรงเรียน พอวันรุ่งขึ้นเขาบอกพรุ่งนี้มาเข้าเรียนปกติ ง่ายดายเหลือเกินไม่ต้องการเอกสารมากมายเหมือนประเทศไทย ลูกสาวชอบโรงเรียนเช่นเคยมีเพื่อนเยอะและคุณครูซุปเปอร์ใจดี อยู่ได้เกือบปี อาการสามีทรุดลงและหมอบอกว่าแกมีเวลาเหลือแค่ไม่เกิน3เดือน พวกเราขวัญเสียมากเราร้องไห้ทุกวันเพราะรู้ว่าสามีกำลังจะจากพวกเราไป เราแจ้งทางโรงเรียนตลอด ผู้อำนวยการและคณะครูต่างให้กำลังใจและช่วยเหลือลูกสาวเป็นอย่าง ในที่สุดสามีเสียชีวิตเรากะลูกสาวกลับมาที่เรือของเรามาเลเซีย และลูกสาวยังเรียนทางไกลเหมือนเดิม ผ่านไป1ปีเราตัดสินใจกลับมาประเทศไทยและทำงานในบริษัทเอกชนใน กทม. และส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนทีมีชื่อเสียงมากๆด้วยค่าเทอมแสนแพง เรียนได้เทอมเดียวลูกสาวเกิดอาการเครียดมาก การบ้านมีทุกวันและลูกสาวไม่ค่อยเก่งภาษาไทย คุณครูยัดเยียดให้เรียนพิเศษทุกวันอ้างว่าลูกมีผลการเรียนไม่ดีต้องติวเข้ม ลูกสาวปวดหัวขั้นรุนแรงร้องไห้ทุกวัน เราพาไปตรวจที่โรงพยาบาลบำรุงราษณ์ เล่าอาการให้หมอฟังหมอสอบถามเรื่องส่วนตัวต่างๆและบอกว่าหมอจะสแกนสมองให้เพื่อคุณแม่จะได้สบายใจ แต่หมอบอกว่าแต่เท่าทีดูอาการคือน้องเครียดเรื่องเรียนขั้นรุนแรง เราเห็นท่าไม่ดีเลยพยายามหาโรงเรียนนานาชาติที่ราคาถูกๆให้ลูก แต่ไม่มีเลยมีแต่แพงมากจนมากที่สุด จนในที่สุดเพื่อนที่อยู่พัทยาบอกว่ามีโรงเรียนนานาชาติราคาไม่แพงลองมามั้ย และแล้วก้ได้มาเรียนที่นานาชาติที่นี่ลูกสาวชอบมากเพราะระบบการศึกษาเป็นระบบของประเทศสก๊อตแลนด์ ลูกสาวเรียนดีไม่มีปัญหา สอบภาษาอังกฤษได้ที่3ของภาคตะวันออกและที่7ของประเทศ โหภูมิใจมาก แต่และแล้วปัญหาเรื่องค่าเทอมแพงก็มาอีก แม่เลี้ยงเดี่ยวหาเงินไม่ทันค่ะ เลยได้ไปติดต่อโรงเรียนเอกชนทีมีชื่อเสียงอีกแล้วด้วยค่าเทอมก้ไม่ถูกอีก เรียนไปได้2ปีมีปัญหาจุกจิกมาอีกแล้วเพราะโรงเรียนไม่เน้นภาษาต่างประเทศทั้งๆที่เราจ่ายเรียนแพงมากเน้นเรื่องภาษา
และทำให้เราได้รู้ว่าโรงเรียนไทยที่บอกว่ามีเรียนโปรแกรมอังกฤษนั้นคือเรื่องภาษาไม่เหมาะกับลูกเราอีก ลูกเริ่มมีอาการเกรี๊ยวกราดหลังจากเรียนที่นี่ เพราะบอกว่าเบื่อไม่อยากไปโรงเรียน มีกฏแบบไร้สาระมากจนเกินไป เราก็พยายามปรับทัศนคติกะลูกเรื่องกฏต่างๆแต่ลูกร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน และมีปัญหามากมายกับคุณครู เราได้แต่คิดว่านี่ลูกเราดื้อขนาดนี้เลยหรอ ได้แต่ร้องไห้ และต่อมาคือย้ายโรงเรียนมาที่ใหม่ที่ทุกอย่างเข้าอีหรอบเดิมกฏเกณฑ์มากมายตั้งแต่เรื่องถุงเท้าการมัดผม การเข้าเรียนจิปาถะ เราทะเลาะกับลูกทุกวันและคิดแต่ว่าลูกเราทำไมดื้อรั้นอย่างนี้ เรากดดันมากเลยตัดสินใจให้ลูกมาเรียนทางไกลจากออสเตรเลียเหมือนเมื่อก่อน โดยเราเป็นคุณครูร่วมกับครูฝรั่ง ตอนนี้เรารู้เลยว่าทำไมมีคนหลายๆคนออกมาพูดเรื่องการศึกษาไทยแย่แค่ไหน
แยกเป็นข้อๆได้ลย
1. โรงเรียนไทยถ้าเด็กเรียนไม่เก่งคุณครูจะสร้างความกดดันให้เด็ก และไม่ให้โอกาสเด็ก ที่ออสเตรเลียและโรงเรียนนานาชาติจะไม่มีการวัดว่าใครเก่งสุดใครฉลาดสุด คุณครูปล่อยให้เด็กทำในสิ่งที่ถนัด
2.กฏระเบียบการแต่งกาย โรงเรียนไทยจะสร้างกฏเหล็กจนเกินไปเด็กกลัวและหมกมุ่นว่าจะผ่านเข้าประตูโรงเรียนได้ไหม จะโดนทำโทษมั้ย ถ้าต่างประเทศหรือนานาชาติจะไม่เน้นเลยเพราะการแต่งตัวไม่ได้มีผลต่อการเรียนของเด็ก
3.การเรียน การสอบโรงเรียนไทยจะไม่มีการอรุ่มอร่วย ต้องให้เป้นไปตามกฏหรือวันเวลาที่โรงเรียนกำหนดเท่านั้น ทั้งที่นานาชาติหรือต่างประเทศอนุญาติให้เด็กมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเอง ถ้าไม่พร้อมให้แจ้งแต่ต้องตามงานให้ครบส่วนเรื่องเวลาเข้าเรียนนั้นไม่สำคัญถ้าเด้กสอบผ่านและการเรียนไม่ตก
4. เอกสารต่างๆต้องครบถ้าขาดใบใดใบหนึ่งถือว่าลูกคุณหมดสิทธิ์ทันที ซึ่งนานาชาติและต่างประเทศต้องการแค่ใบรับรองว่าเด็กเรียนอยู้ชั้นไหนเพื่อจะได้ให้เด็กได้เรียนต่อเนื่องตามระบบต่อไป
5. เด็กใช้เวลาในโรงเรียนมากเกินไปทำให้เด็กเบื่อและไม่ได้เข้าถึงเนื้อหาในการเรียนอย่างจริงจังทุกๆวิชาครูสร้างความกดดันโดยการขีดเส้นตายในการเรียนและการบ้าน ประเทศฟินแลนด์ กับมาเลเซียให้เด็กเรียนครึ่งวัน และไม่มีการบ้านให้เด็ก แต่ประเทศเขาก็ยังพัฒนาไปได้ดีกว่าเรานะ
ยังมีอีกเยอะปัญหาต่างๆที่เราเจอมากะตัวเรา และสดๆร้อนๆเลยคือลูกเราลงทะเบียนเรียน ออสเตรเลียและเขาให้ลูกเรียนปีนี้เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอไปเรียนปีหน้า เขายอมอรุ่มอร่วยทุกอย่างเข้าใจว่าสถานการณ์จำเป็นแต่เขาพยายามให้เด็กได้โอกาส แต่ที่นี่ประเทศไทยกดดันมากมาย พอเราบอกว่าขออนุญาติหนึ่งวันให้ลูกได้เข้าเรียนกับครูออนไลน์ สรุปคือไม่ได้และหาว่าเราหมกมุ่นแต่กะทางออสเตรเลีย ไม่อรุ่มอร่วยเราบอกว่าทำไมที่นี่ไม่เข้าใจอะไรเลยทำไมไม่นึกถึงอนาคตเด็กบ้าง คือต้องบอกเพื่อนๆก่อนว่าทางออสเตรเลียให้ลูกเราเรียนทั้งๆที่ลูกเรายังไม่จบม.3ที่ประเทศไทย เขาบอกว่าไม่งั้นถ้าเรารอให้ลูกจบทึ่นี่แล้วต้องเรียนม.4 ปีหน้าเท่ากับเสียเวลาไป1ปี แต่ครูที่นี้พูดย้ำแต่ว่าคือกฎ เราบอกเข้าใจว่าคือกฏแต่การอรุ่มอร่วยเพื่ออนาคตเด็กนี้ทำไม่ได้หรอ จนได้เถียงกะครู สรุปคือเราต้องยอมบากหน้าบอกทางออสเตรเลียว่าเราขอเวลาอีกนิด ทางโน้นบอกมาว่าไม่เป็นไรทำใจเย็นๆเรารอได้
ยังมีอีกเยอะที่เล่าในนี้ไม่หมด คงเปลี่ยนยากบ้านเรา เราถูกครูและคนอื่นว่าตามใจลูกและเข้าข้างลูกเกินไปเราบอกไม่ใช่เลย เราถามกลับไปว่าถ้าคุณทำงานที่ไหนแล้วมีแต่ความกดดันคุณอยากยังจะทำอยู่มั้ย ก็ไม่มีใครตอบได้ที เฮ้อทำใจ