
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่โยชิโอะ โอขุไดระ คุณปู่วัย 71 ปีได้ค้นกองหนังสือและเอกสารเก่าๆ ในร้านขายหนังสือเก่าที่เขาทำงานอยู่ เขาก็ได้ค้นพบจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นจากสถานทูตเยอรมันในกรุงโตเกียวปี 1938 ซึ่งจดหมายฉบับนั้นมีรูปถ่ายและลายเซ็นของ รมว.ต่างประเทศของรัฐบาลนาซี โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอป ซึ่งที่จริงแล้วมันก็คือการ์ดอวยพรวันเกิดของตัวเอกของเรื่องเรา ริชาร์ด ซอร์เก้อ นักข่าวแห่งสำนักพิมพ์แฟรงเฟอร์เทอร์ ไซตุ้ง ที่มีอายุครบ 43 ปี โดยเนื้อความในนั้นเป็นการที่ริบเบนทรอปอวยพรวันเกิดและยกย่องชมเชยว่า ซอร์เก้อมีผลการทำงานไซด์ไลน์ เอ้ย พาร์ทไทม์ให้กับสถานทูตเยอรมันได้อย่างยอดเยี่ยม ผมนี่ขอบน้ำใจจริงๆเลย

จริงอย่างที่รัฐมนตรีท่านว่า นายซอร์เก้อคนนี้เป็นคนทำงานหนักมากสมกับที่ท่านได้ชื่นชม เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน ที่ว่าแกทำงานหนักนั้นไม่ได้หมายถึงทำงานให้ตาฮิตเลอร์นะครับ แต่แกทำให้พี่สตาลิน โดยซอร์เก้อได้รับภารกิจจากโซเวียตในการจัดตั้งกลุ่มสายลับโซเวียตนานาชาติในกรุงโตเกียว ซึ่งกลุ่มนี้นำโดยซอร์เก้อ ร่วมด้วยนักข่าวหัวเอียงซ้ายชาวอาทิตย์อุทัยนามว่า ฮอตซูมิ โอซากิ โดยเขาส่งข้อมูลเกี่ยวความเคลื่อนไหวและรหัสลับต่างๆ ของกองทัพลูกพระอาทิตย์ให้กับทางการโซเวียต รวมไปถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นจะโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ที่เขาได้ส่งให้กับสตาลินก่อนเกิดเหตุการณ์ถึงสองเดือนด้วยกัน

หากแต่งานที่สร้างชื่อให้เขาที่สุดเป็นการที่เขาได้ส่งข้อมูลที่สำคัญมากๆๆๆๆๆ ให้กับเสนาธิการของโซเวียตสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเขาได้ส่งข่าวมาว่า เยอรมันวางแผนจะรุกโซเวียตด้วยกำลังขนาดใหญ่นับร้อยกองพลทางแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งการรุกครั้งนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับโซเวียตที่ลงนามโดยฟอนริบเบนทรอป เรื่องที่สอง กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นแม้จะเป็นพันธมิตรกลุ่มอักษะกับนาซี แต่ก็มุ่งเน้นเข้าตีจีนกับการรุกล้ำเพื่อสร้างวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาทางเอเชียอาคเนย์เสียมากกว่า การจะเปิดหน้ากับโซเวียต การจะจัดกับพี่หมีคงต้องรอให้นาซีเข้าตีสำเร็จเสียก่อน จนในที่สุดซอร์เก้อก็มั่นใจแล้วว่าญี่ปุ่นจะโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์เป็นแน่จึงส่งข่าวไปยังมอสโควช่วงเดือนกันยาปี 1941 ว่า ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังวางแผนจะสอยไอ้กัน แผนที่จะตีพี่ คงไม่มีแล้วล่ะครับ ตอนแรกสตาลินไม่เชื่อคำเตือนซอร์เก้อ แถมยังจะไล่เขาออกจากการทำงานเป็นสายลับให้โซเวียตอีก โดยพี่แกบ่นว่า " ไอ้ห่- นี่แม่มคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ มันก็แค่แมงดาคนนึงที่ตั้งซ่องเล็กๆ ในญี่ปุ่น " แต่ถัดมาจากนั้นสองเดือนสตาลินแกก็จัดเต็มเพราะเชื่อข่าวที่ส่งมาว่าพี่ยุ่นจะไม่สอยโซเวียตแน่โดยการส่งทหารราบ 15 กองพล ทหารม้า 3 กองพล รถถังอีก 1,700 คัน และเครื่องบินขับไล่อีก 1,500 ลำ เคลื่อนตัวจากด้านตะวันออกไกลของโซเวียต เข้าสู่แนวรบฝั่งยุโรปซึ่งถือเป็นกองกำลังขนาดใหญ่มากที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การรบในสมรภูมิที่มอสโควช่วงสัปดาห์แรกในเดือนธันวาปี 1941 ช่วงเดียวกับที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ การสู้รบของโซเวียตในครั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการนำมาสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงด้านข่าวกรองนี้ ก็ทำให้ ริชาร์ด ซอร์เก้อ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่เก่งที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์การจารกรรมเลยก็ว่าได้

พูดถึงประวัติแกสักหน่อย ริชาร์ด ซอร์เก้อ หรือพี่ริดชี่ของเราเกิดเมื่อปี 1895 ณ ดินแดนไกลโพ้น ที่ตอนนี้เป็นกรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน บิดาเป็นวิศวกรเยอรมัน ส่วนมารดาเป็นชาวรัสเซีย พอตอนที่เขาเกิดได้ไม่นานบิดาหมดสัญญาจ้างของบริษัทน้ำมันคอเคซัสก็พาครอบครัวกลับเบอร์ลิน พอตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซอร์เก้อก็ถูกเกณฑ์ไปรบด้วยและเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ในระหว่างที่เขาพักฟื้นนั้นเขาก็ใช้เวลาไปกับการศึกษาลัทธิมาร์กซ์ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากพยาบาลและพ่อของเธอหรืออาจจะเป็นจากสายเลือดฝั่งแม่ที่มันเข้มข้นกว่า ช่วงหลังจากสงครามจบเขาก็ใช้ชีวิตไปๆมาๆ ระหว่างโซเวียต-เยอรมัน เพื่อเรียนหนังสือรวมไปถึงตามหารักแท้และหากิ๊กไปในตัวให้สมกับเป็นเสือผู้หญิงตัวยง ซึ่งครั้งนึงเขาเองก็เคยแย่งภรรยาของศาสตราจารย์ที่สอนเค้ามาด้วย.....แหม่ ช่างร้ายกาจจริงๆ พ่อเสือ

ในที่สุดเขาก็เข้าเป็นสมาชิกคอมมิวนิสต์สากลหรือโคมินเทิร์น ทำงานร่วมกับหน่วยข่าวกรองของกองทัพโซเวียตภายหลังจากที่ลี้ภัยไปโซเวียตในช่วงที่ฝ่ายซ้ายในเยอรมันโดนตำรวจกวาดล้างในตอนต้น 1920 พอถึงสมัยนาซีเรืองอำนาจในอีกสิบปีต่อมาโซเวียตก็มอบหมายให้เขากลับเยอรมันและเข้าร่วมกับพรรคนาซีคอยแทรกซึมหาข่าวให้ฝั่งโซเวียต และเพื่อแสดงความตั้งใจจริงเพื่อให้นาซียอมรับ เขาต้องงดแอลกอฮอล์ทั้งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักดื่มตัวยง มีบางครั้งเขาต้องเข้าร่วมประชุมพรรคที่โรงเบียร์เยอรมันตะวันนาซีเขาก็ต้องอดทนไม่ดื่มให้ได้ เพื่อไม่ให้ออกอาการอ้อแอ้ เรียกได้ว่าพอเห็นเพื่อนยกซดก็กลืนน้ำลาย เอื๊อกๆ น้ำลายเหนียวคอเลย และด้วยความมีวินัยเรื่องการดื่มในครั้งนี้ก็ทำให้เขาชนะใจพรรคจนได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคในที่สุด ซึ่งเขาเคยบอกกับเพื่อนสาวสายลับของเขาว่า " มันเป็นเรื่องที่บ้ามากที่สุดที่ผมเคยทำ เชื่อมั้ย ว่าผมมีความรู้สึกว่าตัวเองดื่มเหล้าไม่พอสักทีที่จะชดเชยช่วงเวลานั้นได้ "

ตั้งแต่ปี 1933 เป็นต้นมา ที่ญี่ปุ่น เขาก็เริ่มเปิดเผยตัวว่าตนเองนั้นเป็นนักข่าว และก็เข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านการเมืองให้กับ นายพลยูเก้น ออตต์ ทูตทหารของนาซีที่โตเกียว ที่ภายหลังทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกันซึ่งนั่นก็เป็นการทำให้เขาได้เข้าไปคลุกวงในของแวดวงทูตฝ่ายอักษะ และด้วยความที่เขาหน้าตาดี สูง สมาร์ท ก็ทำให้เขาเป็นแม่เหล็กดึงดูดสาวๆ แม้กระทั่งผู้ชายด้วยกันเองก็ชื่นชมในตัวเขาด้วย เขาใช้ชีวิตไปกับการเป็นหนุ่มปาร์ตี้ สังสรรค์ตามสังคมต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาและพรรคพวกถูกจับได้โดยทางการญี่ปุ่นในข้อหาว่าเป็นสายลับจารกรรมข้อมูลในเดือนตุลาปี 1941 เนื่องมาจากการที่หนึ่งในสายของฮอตซูมิ โอซากิ คีย์แมนสำคัญคนหนึ่งของกลุ่มซอร์เก้อถูกจับ ถึงแม้ว่าสายคนนั้นจะพยายามกระโดดตึกฆ่าตัวตายแล้วก็ตาม แต่มันดันไม่ตายเลยโดนตัวนำมาทรมานรีดความลับจนซัดทอดมาถึงโอซากิ และซอร์เก้อในที่สุด สุดท้ายเขาก็ถูกลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอในอีกสามปีต่อมา ถึงแม้ซอร์เก้อจะเชื่อว่าตนจะรอดแน่นอนเพราะญี่ปุ่นวางแผนจะแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ แต่ทางการโซเวียตก็บอกเพียงว่า " ริชาร์ด ซอร์เก้อคือใคร ผมไม่รู้จัก ผมจำไม่ได้ ผมความจำเสื่อม "

ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วตัวซอร์เก้อนั้นเป็นสัญญานที่ย้ำเตือนให้กับความผิดพลาดของสตาลิน ที่สตาลินไม่เชื่อข่าวกรองของเขา ทำให้สตาลินรู้สึกอับอายและท้ายที่สุดโซเวียตก็ไม่ได้ปลาบปลื้มเขาสักเท่าไรนัก นี่จึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมกระบวนการช่วยเหลือซอร์เก้อจึงไม่เกิดขึ้น แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการยกย่องเหมือนสายลับคนอื่นๆ ในฝั่งของโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงครมโลกครั้งที่สอง แต่ก็ต้องถือว่าเขาเองเป็นคนที่มีคุณภาพคับแก้ว ถึงขนาดที่เอียน เฟลมมิ่ง บิดาผู้ให้กำเนิดเจมส์ บอนด์ เคยกล่าวยกย่องถึงเขาไว้ว่า " ในความคิดของผม ผมมองว่าเขา(ซอร์เก้อ) เป็นคนที่ผมถือว่าเป็นสายลับที่น่าเกรงขามที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ "
เมื่อนาซีเพลย์บอย กลายมาเป็นสายลับสองหน้าให้สตาลิน
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่โยชิโอะ โอขุไดระ คุณปู่วัย 71 ปีได้ค้นกองหนังสือและเอกสารเก่าๆ ในร้านขายหนังสือเก่าที่เขาทำงานอยู่ เขาก็ได้ค้นพบจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นจากสถานทูตเยอรมันในกรุงโตเกียวปี 1938 ซึ่งจดหมายฉบับนั้นมีรูปถ่ายและลายเซ็นของ รมว.ต่างประเทศของรัฐบาลนาซี โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอป ซึ่งที่จริงแล้วมันก็คือการ์ดอวยพรวันเกิดของตัวเอกของเรื่องเรา ริชาร์ด ซอร์เก้อ นักข่าวแห่งสำนักพิมพ์แฟรงเฟอร์เทอร์ ไซตุ้ง ที่มีอายุครบ 43 ปี โดยเนื้อความในนั้นเป็นการที่ริบเบนทรอปอวยพรวันเกิดและยกย่องชมเชยว่า ซอร์เก้อมีผลการทำงานไซด์ไลน์ เอ้ย พาร์ทไทม์ให้กับสถานทูตเยอรมันได้อย่างยอดเยี่ยม ผมนี่ขอบน้ำใจจริงๆเลย
จริงอย่างที่รัฐมนตรีท่านว่า นายซอร์เก้อคนนี้เป็นคนทำงานหนักมากสมกับที่ท่านได้ชื่นชม เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน ที่ว่าแกทำงานหนักนั้นไม่ได้หมายถึงทำงานให้ตาฮิตเลอร์นะครับ แต่แกทำให้พี่สตาลิน โดยซอร์เก้อได้รับภารกิจจากโซเวียตในการจัดตั้งกลุ่มสายลับโซเวียตนานาชาติในกรุงโตเกียว ซึ่งกลุ่มนี้นำโดยซอร์เก้อ ร่วมด้วยนักข่าวหัวเอียงซ้ายชาวอาทิตย์อุทัยนามว่า ฮอตซูมิ โอซากิ โดยเขาส่งข้อมูลเกี่ยวความเคลื่อนไหวและรหัสลับต่างๆ ของกองทัพลูกพระอาทิตย์ให้กับทางการโซเวียต รวมไปถึงเรื่องที่ญี่ปุ่นจะโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ที่เขาได้ส่งให้กับสตาลินก่อนเกิดเหตุการณ์ถึงสองเดือนด้วยกัน
หากแต่งานที่สร้างชื่อให้เขาที่สุดเป็นการที่เขาได้ส่งข้อมูลที่สำคัญมากๆๆๆๆๆ ให้กับเสนาธิการของโซเวียตสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเขาได้ส่งข่าวมาว่า เยอรมันวางแผนจะรุกโซเวียตด้วยกำลังขนาดใหญ่นับร้อยกองพลทางแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งการรุกครั้งนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับโซเวียตที่ลงนามโดยฟอนริบเบนทรอป เรื่องที่สอง กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นแม้จะเป็นพันธมิตรกลุ่มอักษะกับนาซี แต่ก็มุ่งเน้นเข้าตีจีนกับการรุกล้ำเพื่อสร้างวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาทางเอเชียอาคเนย์เสียมากกว่า การจะเปิดหน้ากับโซเวียต การจะจัดกับพี่หมีคงต้องรอให้นาซีเข้าตีสำเร็จเสียก่อน จนในที่สุดซอร์เก้อก็มั่นใจแล้วว่าญี่ปุ่นจะโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์เป็นแน่จึงส่งข่าวไปยังมอสโควช่วงเดือนกันยาปี 1941 ว่า ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังวางแผนจะสอยไอ้กัน แผนที่จะตีพี่ คงไม่มีแล้วล่ะครับ ตอนแรกสตาลินไม่เชื่อคำเตือนซอร์เก้อ แถมยังจะไล่เขาออกจากการทำงานเป็นสายลับให้โซเวียตอีก โดยพี่แกบ่นว่า " ไอ้ห่- นี่แม่มคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ มันก็แค่แมงดาคนนึงที่ตั้งซ่องเล็กๆ ในญี่ปุ่น " แต่ถัดมาจากนั้นสองเดือนสตาลินแกก็จัดเต็มเพราะเชื่อข่าวที่ส่งมาว่าพี่ยุ่นจะไม่สอยโซเวียตแน่โดยการส่งทหารราบ 15 กองพล ทหารม้า 3 กองพล รถถังอีก 1,700 คัน และเครื่องบินขับไล่อีก 1,500 ลำ เคลื่อนตัวจากด้านตะวันออกไกลของโซเวียต เข้าสู่แนวรบฝั่งยุโรปซึ่งถือเป็นกองกำลังขนาดใหญ่มากที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การรบในสมรภูมิที่มอสโควช่วงสัปดาห์แรกในเดือนธันวาปี 1941 ช่วงเดียวกับที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ การสู้รบของโซเวียตในครั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการนำมาสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงด้านข่าวกรองนี้ ก็ทำให้ ริชาร์ด ซอร์เก้อ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสายลับที่เก่งที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์การจารกรรมเลยก็ว่าได้
พูดถึงประวัติแกสักหน่อย ริชาร์ด ซอร์เก้อ หรือพี่ริดชี่ของเราเกิดเมื่อปี 1895 ณ ดินแดนไกลโพ้น ที่ตอนนี้เป็นกรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน บิดาเป็นวิศวกรเยอรมัน ส่วนมารดาเป็นชาวรัสเซีย พอตอนที่เขาเกิดได้ไม่นานบิดาหมดสัญญาจ้างของบริษัทน้ำมันคอเคซัสก็พาครอบครัวกลับเบอร์ลิน พอตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซอร์เก้อก็ถูกเกณฑ์ไปรบด้วยและเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ในระหว่างที่เขาพักฟื้นนั้นเขาก็ใช้เวลาไปกับการศึกษาลัทธิมาร์กซ์ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากพยาบาลและพ่อของเธอหรืออาจจะเป็นจากสายเลือดฝั่งแม่ที่มันเข้มข้นกว่า ช่วงหลังจากสงครามจบเขาก็ใช้ชีวิตไปๆมาๆ ระหว่างโซเวียต-เยอรมัน เพื่อเรียนหนังสือรวมไปถึงตามหารักแท้และหากิ๊กไปในตัวให้สมกับเป็นเสือผู้หญิงตัวยง ซึ่งครั้งนึงเขาเองก็เคยแย่งภรรยาของศาสตราจารย์ที่สอนเค้ามาด้วย.....แหม่ ช่างร้ายกาจจริงๆ พ่อเสือ
ในที่สุดเขาก็เข้าเป็นสมาชิกคอมมิวนิสต์สากลหรือโคมินเทิร์น ทำงานร่วมกับหน่วยข่าวกรองของกองทัพโซเวียตภายหลังจากที่ลี้ภัยไปโซเวียตในช่วงที่ฝ่ายซ้ายในเยอรมันโดนตำรวจกวาดล้างในตอนต้น 1920 พอถึงสมัยนาซีเรืองอำนาจในอีกสิบปีต่อมาโซเวียตก็มอบหมายให้เขากลับเยอรมันและเข้าร่วมกับพรรคนาซีคอยแทรกซึมหาข่าวให้ฝั่งโซเวียต และเพื่อแสดงความตั้งใจจริงเพื่อให้นาซียอมรับ เขาต้องงดแอลกอฮอล์ทั้งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักดื่มตัวยง มีบางครั้งเขาต้องเข้าร่วมประชุมพรรคที่โรงเบียร์เยอรมันตะวันนาซีเขาก็ต้องอดทนไม่ดื่มให้ได้ เพื่อไม่ให้ออกอาการอ้อแอ้ เรียกได้ว่าพอเห็นเพื่อนยกซดก็กลืนน้ำลาย เอื๊อกๆ น้ำลายเหนียวคอเลย และด้วยความมีวินัยเรื่องการดื่มในครั้งนี้ก็ทำให้เขาชนะใจพรรคจนได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคในที่สุด ซึ่งเขาเคยบอกกับเพื่อนสาวสายลับของเขาว่า " มันเป็นเรื่องที่บ้ามากที่สุดที่ผมเคยทำ เชื่อมั้ย ว่าผมมีความรู้สึกว่าตัวเองดื่มเหล้าไม่พอสักทีที่จะชดเชยช่วงเวลานั้นได้ "
ตั้งแต่ปี 1933 เป็นต้นมา ที่ญี่ปุ่น เขาก็เริ่มเปิดเผยตัวว่าตนเองนั้นเป็นนักข่าว และก็เข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านการเมืองให้กับ นายพลยูเก้น ออตต์ ทูตทหารของนาซีที่โตเกียว ที่ภายหลังทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกันซึ่งนั่นก็เป็นการทำให้เขาได้เข้าไปคลุกวงในของแวดวงทูตฝ่ายอักษะ และด้วยความที่เขาหน้าตาดี สูง สมาร์ท ก็ทำให้เขาเป็นแม่เหล็กดึงดูดสาวๆ แม้กระทั่งผู้ชายด้วยกันเองก็ชื่นชมในตัวเขาด้วย เขาใช้ชีวิตไปกับการเป็นหนุ่มปาร์ตี้ สังสรรค์ตามสังคมต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาและพรรคพวกถูกจับได้โดยทางการญี่ปุ่นในข้อหาว่าเป็นสายลับจารกรรมข้อมูลในเดือนตุลาปี 1941 เนื่องมาจากการที่หนึ่งในสายของฮอตซูมิ โอซากิ คีย์แมนสำคัญคนหนึ่งของกลุ่มซอร์เก้อถูกจับ ถึงแม้ว่าสายคนนั้นจะพยายามกระโดดตึกฆ่าตัวตายแล้วก็ตาม แต่มันดันไม่ตายเลยโดนตัวนำมาทรมานรีดความลับจนซัดทอดมาถึงโอซากิ และซอร์เก้อในที่สุด สุดท้ายเขาก็ถูกลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอในอีกสามปีต่อมา ถึงแม้ซอร์เก้อจะเชื่อว่าตนจะรอดแน่นอนเพราะญี่ปุ่นวางแผนจะแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ แต่ทางการโซเวียตก็บอกเพียงว่า " ริชาร์ด ซอร์เก้อคือใคร ผมไม่รู้จัก ผมจำไม่ได้ ผมความจำเสื่อม "
ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วตัวซอร์เก้อนั้นเป็นสัญญานที่ย้ำเตือนให้กับความผิดพลาดของสตาลิน ที่สตาลินไม่เชื่อข่าวกรองของเขา ทำให้สตาลินรู้สึกอับอายและท้ายที่สุดโซเวียตก็ไม่ได้ปลาบปลื้มเขาสักเท่าไรนัก นี่จึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมกระบวนการช่วยเหลือซอร์เก้อจึงไม่เกิดขึ้น แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการยกย่องเหมือนสายลับคนอื่นๆ ในฝั่งของโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงครมโลกครั้งที่สอง แต่ก็ต้องถือว่าเขาเองเป็นคนที่มีคุณภาพคับแก้ว ถึงขนาดที่เอียน เฟลมมิ่ง บิดาผู้ให้กำเนิดเจมส์ บอนด์ เคยกล่าวยกย่องถึงเขาไว้ว่า " ในความคิดของผม ผมมองว่าเขา(ซอร์เก้อ) เป็นคนที่ผมถือว่าเป็นสายลับที่น่าเกรงขามที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ "