ขอออกตัวก่อนนะครับ ว่านี่เป็นเรื่องของความรู้สึกตัวเองกับเรื่องของคนรอบข้าง ผมไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอะไร ไม่เคยเรียนในด้านนี้แค่อยากจะแชร์ความคิดความรู้สึก จากประสบการณ์ตรงเผื่อจะช่วยให้ใครหลายๆได้รับประโยชน์อะไรไปบ้างเท่านั้น
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาพบว่ากับคนหลายคนรอบๆตัวมีภาวะที่หมอเรียกว่า”โรคซึมเศร้า” ครับ ทุกๆคนก็มีอาการที่คล้ายกันหลักๆคือ ไม่อยากลุกขึ้นมาใช้ชีวิต สูญเสียตัวตนหรือเป้าหมายที่เคยมี รู้สึกเศร้าแบบที่บางที่ก็หาเหตุไม่ได้ชัดเจนว่าคืออะไร หลายๆคนรอบตัวที่ว่า จริงๆก็รวมถึงตัวผมเองด้วยในช่วงหนี่ง แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าเป็นโรงซึมเศร้าหรืออะไร ต้องไปปรึกษาหาหมอมั้ย จริงๆแล้วตอนนั้นก็เรียกว่าไม่คิดอะไรเลยดีกว่าครับ ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ไม่อยากอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำในบางช่วงบางตอน จนตอนที่เริ่มดีขึ้นตั้งสติได้ มาเพื่อนหลายๆคนมาเล่าถึงเรื่องตัวเองให้ฟัง จึงพอได้รู้ครับ ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่บางคนเรียกกันว่า โรคซึมเศร้า หมอหลายคนก็บอกชื่อนี้กับคนที่ผมรู้จัก แต่สำหรับตัวผมขอเรียกว่า ภาวะซึมเศร้า ก็แล้วกัน
ภาวะซึมเศร้า
ผมเลือกใช้คำว่า “ภาวะซึมเศร้า” เพราะในใจผมเองไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นโรค เหมือนอย่างมะเร็งหรือโรคตับ ในความคิดผม ผมว่ามันเป็นภาวะมากกว่า อาจจะมีข้อมูลทางการแพทย์กล่าวว่ามันเป็นโรคเป็นปฎิกริยา หรือการหลังสารเคมีในสมองของเรา แต่ส่วนตัวผมเองก็คิดว่าไม่ว่าจะอารมณ์ไหนๆมันก็คือการหลังสารเคมีในสมองทั้งนั้น แต่ผมเองก็คงไม่ขอเอาความรู้เท่าหางอึ่งของผมไปตัดสินอะไรในเรื่องนี้ที่เค้าศึกษากันมานานแสนนาน เพราะก็อาจจะมีผู้ที่เกิดความผิดปกติของภาวะร่างกายที่ทำให้มันเป็นโรคขึ้นมาจริงๆ ผมจึงไม่ของบอกว่าโรคนี้ต้องเป็นแบบไหน ก็ขอพูดถึงแค่สิ่งที่ได้รับรู้มาจากการเดินทางของชีวิตตัวเองในช่วงนี้แล้วกันครับ
เราไปถึงจุดนั้นกันได้ยังไง
บางคนอาจจะคิดว่าซึมเศร้า เป็นเรื่องของความอ่อนแอ จริงๆแล้วเกือบทุกๆคนที่ไปอยู่ในจุดอย่างน้อยก็เท่าที่ผมรู้จัดนั้นไม่ใช่คนอ่อนแอเลยนะครับ ทุกคนที่ผมสัมผัสล้วนแข็งแกร่ง เข้มแข็งมากไปด้วยซ้ำในช่วงเวลาปกติ มีพลัง มีจุดหมาย และ มีแรงอย่างเหลือเฟือที่จะใช้ชีวิต คนส่วนใหญ่แบกอะไรไว้มาก มากเกินไปกว่าที่คนๆนึงควรรับไว้ด้วยซ้ำ ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความคาดหวังทั้งของตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งตัวผมเองก่อนหน้านั้นก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทำงานเรียกได้ว่าตลอดเวลาถ้าวันนึงมี 24 ชั่วโมง ผมเองก็คงอยากทำให้มันได้ซัก 30 ชั่วโมง คนอย่างพวกเรามักจะมีจุดยึดครับ มีเป้าหมายมีความฝันที่ต้องไปให้ถึง อยากสร้างสิ่งต่างๆ อยากวิ่งไปข้างหน้า ไม่มีเหนื่อยหรอกครับ เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์สุดโต่งกันทั้งนั้น แต่พอถึงทางแยกของเรื่องนี้ ผมจะเรียกมันว่าจุดเสียศูนย์ ทุกคนมักมีจุดเปลี่ยนครับ จุดที่ทำให้เราเปลี่ยนไป เหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียศูนย์ ก็เหมือนลูกข่างครับ เวลาที่มันเร่ิมเสียศูนย์แล้วหลุดออกจากจุดยึดอีกไม่นานมันก็คงล้ม ในจุดนี้มักมีอยู่สองจุดหลักๆ คือ จุดที่รู้สึกว่าสูญเสีย หรือไม่ก็จุดที่เกินขีดจำกัด ไม่ว่าจะสูญเสีย คนรัก ตัวตน หรือ ความเชื่อบางอย่าง ส่วนถ้าเป็นจุดที่เกินขีดจำกัดนั้นก็มักจะเกิดจากความกดดันตัวเองที่มากไปมากจนจิดใตและร่างกายรับไม่ไหว สองอย่างนี้ทำงานคู่กันถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งรับไม่ไหวอีกอย่างก็พังไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยครับ อย่างถ้าเป็นจุดเปลี่ยนของผมเองก็อาจจะเพราะว่าใช้ชีวิตแบบเกินขีดจำกีดมาแต่ไหนแต่ไร แต่คงเป็นการสูญเสียคนรักและเป้าหมายบางส่วนของชีวิตในขณะนั้นไปด้วยทุกอย่างก็เลยยิ่งชัดเจนครับ ในส่วนนี้แต่ละคนให้ความสำคัญกับการสูญเสียแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นจุดยึดแล้วลูกข่างก็คงเสียศูนย์และล้มลงเป็นแน่
จุดยึดที่หายไป
โดยส่วนตัวผมเองสูญเสียคนรักเองอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่มากหรอกครับสำหรับผมความเสียใจคงไม่ได้ต่างจากคนเลิกกันแฟนทั่วๆไป สิ่งที่หลุดติดออกไปด้วยคือเป้าหมายของการใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นแผนชีวิตที่วางเตรียมไว้สิ่งที่เราทำมาตลอดเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นก็ไร้ซึ่งความหมายแล้ว มันก็อาจจะคลายๆกันปลายแสงที่ท้ายอุโมงค์ที่หายวับไป เราก็คงไม่รู้แล้วครับว่าต้องเดินด้วยเส้นทางไหน เคว้งคว้างจนกว่าจะตั้งสติได้ ในเรื่องของความซึมเศร้านี้เป้าหมายคงจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าเป็นจุดยึดที่หายไปสำหรับผม ผมเองเป็นมนุษย์ที่สุดโต้งในแบบนึงครับ ผมใช้ชีวิตในแต่ละช่วงชีวิตด้วยการโฟกัสที่จุดเดียวแล้วไปให้ถึง การไปไม่ถึงไม่มีอยู่ในตัวเลือก ทำแบบนั้นมาตลอดแล้วก็ทำได้มาตลอด ไม่ได้จะบอกว่าเก่งนะครับ แต่เป้าหมายเหล่านั้นมันก็สมเหตุสมผลที่จะทำได้อยู่แล้วถ้าพยายามมากพอ เราสามารถทิ้งทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปกลางทางเพียงเพื่อเดินไปสู่จุดนั้น แต่จะดีหรือมีความสุขในแบบไหนอันนั้นคนละเรื่องกัน เรื่องของเป้าหมายผมเชื่อว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ส่วนจะเป็นอะไรใหญ่เล็กแล้วแต่บุคคล แค่ใช้ชีวิตให้รอดผ่านวันนี้ไปได้อันนั้นก็เรียกว่าเป้าหมายครับ ถ้าเราทำมันหล่นหายไป ถ้าไม่ใช่ส่วนที่ใหญ่มาก เราก็ยังมีส่วนอื่นทดแทนกันได้ครับ แต่ถ้ามันใหญ่มากพอมันก็จะกระทบกันการใช้ชีวิตของเรา ยกตัวอย่างถ้าคุณอยากทำเพื่อครอบครัว ทำงานหาเงินดูแลครอบครัวคุณก็เริ่มเบนแข็มของชีวิตให้เป้าหมายชี้ไปที่จุดนั้นครับ แล้ววันนึงปรากฎว่าตื่นเช้ามาแล้วคนในครอบครัวทั้งหมดของคุณหายไป แน่นอนครับว่ามันจะไม่ใช่แค่คนเหล่านั้นหายไป ความเสียใจจากการสูญเสีย หรือ การโหยหาด้วยความคิดถึง แต่คุณจะไม่อยากทำงานที่คุณเคยทำมาตลอดแล้วครับเพราะไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร
ช่วงชีวิตตอนนั้น
เมื่อจุดยึดหายไปธรรมชาติจิตใจคนเราก็คงเริ่มด้วยการเติมเต็มสิ่งที่หายไป ถ้ามันยังหาสิ่งที่แทนไม่ได้ก็คงเริ่มด้วยความเคว้งคว้างหระครับ ซึ่งมันก็หาแทนไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ เพราะถ้ามันเติมเต็มกันง่ายๆพวกเราคงไม่ต้องไปถึงจุดนั้น พอเคว้งคว้างเราก็จะเริ่มใช้ชีวิตประจำวันแบบเดิมแต่ข้างในไม่เหมือนเดิม ทำสิ่งที่เราต้องทำแต่ก็ไม่รู้ครับว่าทำไปเพื่ออะไร ตรงนี้ใช้เวลาครับ มากน้อยต่างกัน ถ้าคุณหลุดออกจากเรื่องนี้ตั้งแต่จุดนี้ คุณก็จะกลับไปใช้ชีวิตปกติเป็นความเศร้าโดยทั่วไปครับ แต่ถ้าคุณอยู่กันมันนานพอ ร่างกายของคุณเองก็จะเริ่มเปลี่ยนไปตามความเศร้ากิจวัตรประจำวันที่เคยทำแม้แต่แค่ลุกจากเตียงก็ยังไม่อยากทำเลยก็ว่าได้ แต่ไม่อยากกับไม่ทำมันก็ไม่เหมือนกันหรอกครับ สำหรับผม ผมก็ยังมีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบ เราก็ต้องลุกขึ้นมาเพื่อทำมันต่อแต่กว่าจะลุกได้ในแต่ละกันก็เรียกว่า ตื่นเช้ามาก็นอนอยู่นิ่งๆ มองเพดานบ้าง น้ำก็ไม่อยากอาบ ข้าวก็ไม่อยากกิน อยากแค่นอนนิ่งๆอย่างงั้น ไถมือถือบ้างอะไรบ้างอยู่เป็นชั่วโมงๆแหละครับกว่าจะลุกได้ สิ่งแรกที่นึกออกในหัวผมตอนนี้ที่รู้สึกว่าอยู่ในจุดที่โอเคแล้ว คือ ตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นครับ ฮ่าๆ ยิ่งเราไม่ทำอะไร เราก็จะยิ่งจมครับ ถ้าคุณยังเรียกสติได้บ้าง คุณควรจะลุกจากเตียง อาบน้ำ แต่งตัว ยิ้มในหัวเองทุกเช้า กินข้าว ทำทุกอย่างเท่าที่พอจะมีสติทำได้ ผมไม่ได้บอกว่ามันง่าย แต่ถ้าทำได้มันเป็นการเยียวยาอย่างหนึ่งนะครับ การที่เราได้เอาตัวเองไปทำอย่างอื่น เราจะหลุดออกจากห้วงความเศร้าไปชั่วขณะหนึ่ง และ สมองของเราเองก็จะมีเวลาสร้างความคิดใหม่ๆมาเติมเต็มสิ่งที่หายไปครับ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยากคือบางอย่างมันไม่ได้หายไปทั้งหมด และ พร้อมที่จะให้เต็มอะไรไปเพิ่มเลย เพราะใจเรายึดอยู่กับมัน การวางสิ่งเหล่านั้นลงก็จะทำให้เราหลุดพ้นได้แต่ก็เหมือนเดิมแหละครับ การวางลงมันไม่ง่าย
การยอมรับ และ การวางลง
อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ครับ แต่ละคนมีวิธีมาถึงจุดนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกันและต้องวางลงก่อนเลยคือการสู้กับเรื่องต่างๆคนเดียวกัน หลายคนมาถึงจุดนี้ด้วยความคิดแบบนี้กันทั้งนั้น จากนั้นก็แล้วแต่คนครับ หลายคนมักเริ่มจากการสูญเสีย หรือ เกินขีดจำกัด การสูญเสียไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับถ้าหากเรายอมรับมันได้ การยอมรับมันและวางลงให้ได้ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่ามันจะเริ่มจากการสูญเสีย หรือ เกินขีดจำกัด สิ่งจำเป็นในการก้าวต่อไปคือต้องวางลงให้ได้ก่อน วางทั้งหมดลงแล้วตั้งสติใหม่ครับ มันอาจจะเหมือนเวลาที่เราหอบเอกสารที่กองท่วมหัวเราเดินไป แล้วแผ่นนึงตกลงพื้นถ้าเราฝืนเอี้ยวตัวลงเก็บกองเอกสารในมือลงถล่มลงไปกองบนพื้นทั้งหมดเป็นแต่ สิ่งที่เราทำได้คือวางทั้งหมดลง แล้วจัดการทุกอย่างใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะพามันเดินต่อไปได้ ก่อนจะเดินต่อ การฝืนทำอะไรครึ่งๆกลางๆอย่าก้มลงไปเอามือคีบเอกสารที่หล่นแล้วเดินต่อไปก็มีแต่จะทำให้มันล้มลง หรือ อย่างน้อยเอกสารที่เราคีบไว้แบบขอไปทีก็คงยับอยู่ไม่น้อย หรือในกรณีที่มันหนักไปเราก็จะเริ่มคิดได้ครับ วางเราขนมันทีละครึ่งก็ได้ครับ ไม่ต้องแบกไปจนหมดครั้งเดียวหรอกครับ การจะวางลงได้มันก็มีอยู่หลายวิธีครับ แต่ละคนก็มีวิธีที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ถ้ามีใครมาถามผม ผมคิดว่ามันคงต้องเริ่มจากใจเราเอง สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราไม่สามารถปล่อยได้ต่อให้มีคนมาพูดมาให้คำปรึกษา หรือ ยาขนานไหนก็คงช่วยไม่ได้ แต่ “ไม่ต้องเข้มแข็งขนาดนั้นนะครับ” ถึงผมจะบอกว่ามันอยู่ที่ใจเราอย่างเดียว แต่เราไม่ต้องรับมันคนเดียวหรอกครับ มันหนักเกิน ไป เพราะถ้ามันไม่หนัก เราคงรอดไปตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดนี้แล้วครับ ช่วงเวลานั้น เราเองน่าจะอยู่ในช่วงที่อยู่กับตัวเองอย่างมากเกินพอ หลายคนอาจจะมากไปด้วยซ้ำ คนรอบข้าง หรือ ที่ปรึกษาทางจิตเวชก็ช่วยเราได้ครับ เค้าอาจจะไม่ได้ช่วยให้เราตัดสินใจอะไร หรือ ปล่อยอะไรได้ซะทีเดียว เพราะสุดท้ายมันก็อยู่ที่ใจเรานั่นแหละครับ แต่เค้าช่วยถือไว้ให้เราชั่วคราวได้ครับ เวลาที่เราได้ระบายออกมาในทางใดทางหนึ่งมันก็ทำให้เราได้คิดทบทวนเรื่องต่างๆ คนที่รับฟังเราอาจจะช่วยให้เราสามารถให้เหตุผลที่เราจะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปได้ชัดเจนขึ้น และ เมื่อเราได้ระบายออกจนหมดแต่ละครั้งมันก็จะมีชั่วอึดใจนึงที่เราจะไม่ต้องถือมันไว้ หัวสมองเราก็จะโล่งขึ้นเล็กน้อย มีเวลาให้เราได้ตั้งสติขึ้นมากบ้าง จริงๆก็ไม่ใช่แค่การพูดถึงเรื่องอันเป็นต้นเหตุของความเศร้านะครับ คุณสามารถพูดได้ทุกเรื่องเรื่องที่คุยทำให้คุณมีความสุขก่อนหน้านี้ เรื่องของแรงบันดาลใจ คุยเล่นกันไปแบบไหนก็ช่วยทั้งนั้น และ ถ้าคุณอาจจะโชคดีพอที่จะพอสิ่งที่จะมาเติมเต็มสิ่งที่หายไปได้จากบทสนทนา สิ่งแรกที่ผมแนะนำคือหามนุษย์ซักคนที่เราไว้ใจพอที่จะพูดอะไรให้เค้าฟังเท่าที่คุณจะอยากเล่า แนะนำให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีจะไม่แสดงความคิดเห็นในรูปแบบที่ไม่ใช่เหตุผลกับคุณ พูดง่ายๆคือใจเค้าต้องเป็นกลางครับ ไม่เข้าข้างคุณ และ ไม่ตัดสินเรื่องราวใดๆ แค่รับฟังเท่านั้นพอ หรือ ถ้าจะโต้ตอบก็เป็นแบบมีเหตุและผลตามความจริงของโลก คนเหล่านี้จะช่วยตระเตรียมสภาพจิตใจของคุณให้พร้อมจะวางสิ่งที่ถืออยู่ลงได้บ้าง
การเดินทางของชีวิตผ่านเกาะแห่งหนึ่งที่เรียกว่า “ภาวะซึมเศร้า”
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาพบว่ากับคนหลายคนรอบๆตัวมีภาวะที่หมอเรียกว่า”โรคซึมเศร้า” ครับ ทุกๆคนก็มีอาการที่คล้ายกันหลักๆคือ ไม่อยากลุกขึ้นมาใช้ชีวิต สูญเสียตัวตนหรือเป้าหมายที่เคยมี รู้สึกเศร้าแบบที่บางที่ก็หาเหตุไม่ได้ชัดเจนว่าคืออะไร หลายๆคนรอบตัวที่ว่า จริงๆก็รวมถึงตัวผมเองด้วยในช่วงหนี่ง แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าเป็นโรงซึมเศร้าหรืออะไร ต้องไปปรึกษาหาหมอมั้ย จริงๆแล้วตอนนั้นก็เรียกว่าไม่คิดอะไรเลยดีกว่าครับ ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ไม่อยากอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำในบางช่วงบางตอน จนตอนที่เริ่มดีขึ้นตั้งสติได้ มาเพื่อนหลายๆคนมาเล่าถึงเรื่องตัวเองให้ฟัง จึงพอได้รู้ครับ ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่บางคนเรียกกันว่า โรคซึมเศร้า หมอหลายคนก็บอกชื่อนี้กับคนที่ผมรู้จัก แต่สำหรับตัวผมขอเรียกว่า ภาวะซึมเศร้า ก็แล้วกัน
ภาวะซึมเศร้า
ผมเลือกใช้คำว่า “ภาวะซึมเศร้า” เพราะในใจผมเองไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นโรค เหมือนอย่างมะเร็งหรือโรคตับ ในความคิดผม ผมว่ามันเป็นภาวะมากกว่า อาจจะมีข้อมูลทางการแพทย์กล่าวว่ามันเป็นโรคเป็นปฎิกริยา หรือการหลังสารเคมีในสมองของเรา แต่ส่วนตัวผมเองก็คิดว่าไม่ว่าจะอารมณ์ไหนๆมันก็คือการหลังสารเคมีในสมองทั้งนั้น แต่ผมเองก็คงไม่ขอเอาความรู้เท่าหางอึ่งของผมไปตัดสินอะไรในเรื่องนี้ที่เค้าศึกษากันมานานแสนนาน เพราะก็อาจจะมีผู้ที่เกิดความผิดปกติของภาวะร่างกายที่ทำให้มันเป็นโรคขึ้นมาจริงๆ ผมจึงไม่ของบอกว่าโรคนี้ต้องเป็นแบบไหน ก็ขอพูดถึงแค่สิ่งที่ได้รับรู้มาจากการเดินทางของชีวิตตัวเองในช่วงนี้แล้วกันครับ
เราไปถึงจุดนั้นกันได้ยังไง
บางคนอาจจะคิดว่าซึมเศร้า เป็นเรื่องของความอ่อนแอ จริงๆแล้วเกือบทุกๆคนที่ไปอยู่ในจุดอย่างน้อยก็เท่าที่ผมรู้จัดนั้นไม่ใช่คนอ่อนแอเลยนะครับ ทุกคนที่ผมสัมผัสล้วนแข็งแกร่ง เข้มแข็งมากไปด้วยซ้ำในช่วงเวลาปกติ มีพลัง มีจุดหมาย และ มีแรงอย่างเหลือเฟือที่จะใช้ชีวิต คนส่วนใหญ่แบกอะไรไว้มาก มากเกินไปกว่าที่คนๆนึงควรรับไว้ด้วยซ้ำ ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความคาดหวังทั้งของตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งตัวผมเองก่อนหน้านั้นก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทำงานเรียกได้ว่าตลอดเวลาถ้าวันนึงมี 24 ชั่วโมง ผมเองก็คงอยากทำให้มันได้ซัก 30 ชั่วโมง คนอย่างพวกเรามักจะมีจุดยึดครับ มีเป้าหมายมีความฝันที่ต้องไปให้ถึง อยากสร้างสิ่งต่างๆ อยากวิ่งไปข้างหน้า ไม่มีเหนื่อยหรอกครับ เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์สุดโต่งกันทั้งนั้น แต่พอถึงทางแยกของเรื่องนี้ ผมจะเรียกมันว่าจุดเสียศูนย์ ทุกคนมักมีจุดเปลี่ยนครับ จุดที่ทำให้เราเปลี่ยนไป เหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียศูนย์ ก็เหมือนลูกข่างครับ เวลาที่มันเร่ิมเสียศูนย์แล้วหลุดออกจากจุดยึดอีกไม่นานมันก็คงล้ม ในจุดนี้มักมีอยู่สองจุดหลักๆ คือ จุดที่รู้สึกว่าสูญเสีย หรือไม่ก็จุดที่เกินขีดจำกัด ไม่ว่าจะสูญเสีย คนรัก ตัวตน หรือ ความเชื่อบางอย่าง ส่วนถ้าเป็นจุดที่เกินขีดจำกัดนั้นก็มักจะเกิดจากความกดดันตัวเองที่มากไปมากจนจิดใตและร่างกายรับไม่ไหว สองอย่างนี้ทำงานคู่กันถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งรับไม่ไหวอีกอย่างก็พังไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยครับ อย่างถ้าเป็นจุดเปลี่ยนของผมเองก็อาจจะเพราะว่าใช้ชีวิตแบบเกินขีดจำกีดมาแต่ไหนแต่ไร แต่คงเป็นการสูญเสียคนรักและเป้าหมายบางส่วนของชีวิตในขณะนั้นไปด้วยทุกอย่างก็เลยยิ่งชัดเจนครับ ในส่วนนี้แต่ละคนให้ความสำคัญกับการสูญเสียแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นจุดยึดแล้วลูกข่างก็คงเสียศูนย์และล้มลงเป็นแน่
จุดยึดที่หายไป
โดยส่วนตัวผมเองสูญเสียคนรักเองอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่มากหรอกครับสำหรับผมความเสียใจคงไม่ได้ต่างจากคนเลิกกันแฟนทั่วๆไป สิ่งที่หลุดติดออกไปด้วยคือเป้าหมายของการใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นแผนชีวิตที่วางเตรียมไว้สิ่งที่เราทำมาตลอดเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นก็ไร้ซึ่งความหมายแล้ว มันก็อาจจะคลายๆกันปลายแสงที่ท้ายอุโมงค์ที่หายวับไป เราก็คงไม่รู้แล้วครับว่าต้องเดินด้วยเส้นทางไหน เคว้งคว้างจนกว่าจะตั้งสติได้ ในเรื่องของความซึมเศร้านี้เป้าหมายคงจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าเป็นจุดยึดที่หายไปสำหรับผม ผมเองเป็นมนุษย์ที่สุดโต้งในแบบนึงครับ ผมใช้ชีวิตในแต่ละช่วงชีวิตด้วยการโฟกัสที่จุดเดียวแล้วไปให้ถึง การไปไม่ถึงไม่มีอยู่ในตัวเลือก ทำแบบนั้นมาตลอดแล้วก็ทำได้มาตลอด ไม่ได้จะบอกว่าเก่งนะครับ แต่เป้าหมายเหล่านั้นมันก็สมเหตุสมผลที่จะทำได้อยู่แล้วถ้าพยายามมากพอ เราสามารถทิ้งทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปกลางทางเพียงเพื่อเดินไปสู่จุดนั้น แต่จะดีหรือมีความสุขในแบบไหนอันนั้นคนละเรื่องกัน เรื่องของเป้าหมายผมเชื่อว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ส่วนจะเป็นอะไรใหญ่เล็กแล้วแต่บุคคล แค่ใช้ชีวิตให้รอดผ่านวันนี้ไปได้อันนั้นก็เรียกว่าเป้าหมายครับ ถ้าเราทำมันหล่นหายไป ถ้าไม่ใช่ส่วนที่ใหญ่มาก เราก็ยังมีส่วนอื่นทดแทนกันได้ครับ แต่ถ้ามันใหญ่มากพอมันก็จะกระทบกันการใช้ชีวิตของเรา ยกตัวอย่างถ้าคุณอยากทำเพื่อครอบครัว ทำงานหาเงินดูแลครอบครัวคุณก็เริ่มเบนแข็มของชีวิตให้เป้าหมายชี้ไปที่จุดนั้นครับ แล้ววันนึงปรากฎว่าตื่นเช้ามาแล้วคนในครอบครัวทั้งหมดของคุณหายไป แน่นอนครับว่ามันจะไม่ใช่แค่คนเหล่านั้นหายไป ความเสียใจจากการสูญเสีย หรือ การโหยหาด้วยความคิดถึง แต่คุณจะไม่อยากทำงานที่คุณเคยทำมาตลอดแล้วครับเพราะไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร
ช่วงชีวิตตอนนั้น
เมื่อจุดยึดหายไปธรรมชาติจิตใจคนเราก็คงเริ่มด้วยการเติมเต็มสิ่งที่หายไป ถ้ามันยังหาสิ่งที่แทนไม่ได้ก็คงเริ่มด้วยความเคว้งคว้างหระครับ ซึ่งมันก็หาแทนไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ เพราะถ้ามันเติมเต็มกันง่ายๆพวกเราคงไม่ต้องไปถึงจุดนั้น พอเคว้งคว้างเราก็จะเริ่มใช้ชีวิตประจำวันแบบเดิมแต่ข้างในไม่เหมือนเดิม ทำสิ่งที่เราต้องทำแต่ก็ไม่รู้ครับว่าทำไปเพื่ออะไร ตรงนี้ใช้เวลาครับ มากน้อยต่างกัน ถ้าคุณหลุดออกจากเรื่องนี้ตั้งแต่จุดนี้ คุณก็จะกลับไปใช้ชีวิตปกติเป็นความเศร้าโดยทั่วไปครับ แต่ถ้าคุณอยู่กันมันนานพอ ร่างกายของคุณเองก็จะเริ่มเปลี่ยนไปตามความเศร้ากิจวัตรประจำวันที่เคยทำแม้แต่แค่ลุกจากเตียงก็ยังไม่อยากทำเลยก็ว่าได้ แต่ไม่อยากกับไม่ทำมันก็ไม่เหมือนกันหรอกครับ สำหรับผม ผมก็ยังมีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบ เราก็ต้องลุกขึ้นมาเพื่อทำมันต่อแต่กว่าจะลุกได้ในแต่ละกันก็เรียกว่า ตื่นเช้ามาก็นอนอยู่นิ่งๆ มองเพดานบ้าง น้ำก็ไม่อยากอาบ ข้าวก็ไม่อยากกิน อยากแค่นอนนิ่งๆอย่างงั้น ไถมือถือบ้างอะไรบ้างอยู่เป็นชั่วโมงๆแหละครับกว่าจะลุกได้ สิ่งแรกที่นึกออกในหัวผมตอนนี้ที่รู้สึกว่าอยู่ในจุดที่โอเคแล้ว คือ ตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นครับ ฮ่าๆ ยิ่งเราไม่ทำอะไร เราก็จะยิ่งจมครับ ถ้าคุณยังเรียกสติได้บ้าง คุณควรจะลุกจากเตียง อาบน้ำ แต่งตัว ยิ้มในหัวเองทุกเช้า กินข้าว ทำทุกอย่างเท่าที่พอจะมีสติทำได้ ผมไม่ได้บอกว่ามันง่าย แต่ถ้าทำได้มันเป็นการเยียวยาอย่างหนึ่งนะครับ การที่เราได้เอาตัวเองไปทำอย่างอื่น เราจะหลุดออกจากห้วงความเศร้าไปชั่วขณะหนึ่ง และ สมองของเราเองก็จะมีเวลาสร้างความคิดใหม่ๆมาเติมเต็มสิ่งที่หายไปครับ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยากคือบางอย่างมันไม่ได้หายไปทั้งหมด และ พร้อมที่จะให้เต็มอะไรไปเพิ่มเลย เพราะใจเรายึดอยู่กับมัน การวางสิ่งเหล่านั้นลงก็จะทำให้เราหลุดพ้นได้แต่ก็เหมือนเดิมแหละครับ การวางลงมันไม่ง่าย
การยอมรับ และ การวางลง
อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ครับ แต่ละคนมีวิธีมาถึงจุดนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกันและต้องวางลงก่อนเลยคือการสู้กับเรื่องต่างๆคนเดียวกัน หลายคนมาถึงจุดนี้ด้วยความคิดแบบนี้กันทั้งนั้น จากนั้นก็แล้วแต่คนครับ หลายคนมักเริ่มจากการสูญเสีย หรือ เกินขีดจำกัด การสูญเสียไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับถ้าหากเรายอมรับมันได้ การยอมรับมันและวางลงให้ได้ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่ามันจะเริ่มจากการสูญเสีย หรือ เกินขีดจำกัด สิ่งจำเป็นในการก้าวต่อไปคือต้องวางลงให้ได้ก่อน วางทั้งหมดลงแล้วตั้งสติใหม่ครับ มันอาจจะเหมือนเวลาที่เราหอบเอกสารที่กองท่วมหัวเราเดินไป แล้วแผ่นนึงตกลงพื้นถ้าเราฝืนเอี้ยวตัวลงเก็บกองเอกสารในมือลงถล่มลงไปกองบนพื้นทั้งหมดเป็นแต่ สิ่งที่เราทำได้คือวางทั้งหมดลง แล้วจัดการทุกอย่างใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะพามันเดินต่อไปได้ ก่อนจะเดินต่อ การฝืนทำอะไรครึ่งๆกลางๆอย่าก้มลงไปเอามือคีบเอกสารที่หล่นแล้วเดินต่อไปก็มีแต่จะทำให้มันล้มลง หรือ อย่างน้อยเอกสารที่เราคีบไว้แบบขอไปทีก็คงยับอยู่ไม่น้อย หรือในกรณีที่มันหนักไปเราก็จะเริ่มคิดได้ครับ วางเราขนมันทีละครึ่งก็ได้ครับ ไม่ต้องแบกไปจนหมดครั้งเดียวหรอกครับ การจะวางลงได้มันก็มีอยู่หลายวิธีครับ แต่ละคนก็มีวิธีที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ถ้ามีใครมาถามผม ผมคิดว่ามันคงต้องเริ่มจากใจเราเอง สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราไม่สามารถปล่อยได้ต่อให้มีคนมาพูดมาให้คำปรึกษา หรือ ยาขนานไหนก็คงช่วยไม่ได้ แต่ “ไม่ต้องเข้มแข็งขนาดนั้นนะครับ” ถึงผมจะบอกว่ามันอยู่ที่ใจเราอย่างเดียว แต่เราไม่ต้องรับมันคนเดียวหรอกครับ มันหนักเกิน ไป เพราะถ้ามันไม่หนัก เราคงรอดไปตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดนี้แล้วครับ ช่วงเวลานั้น เราเองน่าจะอยู่ในช่วงที่อยู่กับตัวเองอย่างมากเกินพอ หลายคนอาจจะมากไปด้วยซ้ำ คนรอบข้าง หรือ ที่ปรึกษาทางจิตเวชก็ช่วยเราได้ครับ เค้าอาจจะไม่ได้ช่วยให้เราตัดสินใจอะไร หรือ ปล่อยอะไรได้ซะทีเดียว เพราะสุดท้ายมันก็อยู่ที่ใจเรานั่นแหละครับ แต่เค้าช่วยถือไว้ให้เราชั่วคราวได้ครับ เวลาที่เราได้ระบายออกมาในทางใดทางหนึ่งมันก็ทำให้เราได้คิดทบทวนเรื่องต่างๆ คนที่รับฟังเราอาจจะช่วยให้เราสามารถให้เหตุผลที่เราจะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปได้ชัดเจนขึ้น และ เมื่อเราได้ระบายออกจนหมดแต่ละครั้งมันก็จะมีชั่วอึดใจนึงที่เราจะไม่ต้องถือมันไว้ หัวสมองเราก็จะโล่งขึ้นเล็กน้อย มีเวลาให้เราได้ตั้งสติขึ้นมากบ้าง จริงๆก็ไม่ใช่แค่การพูดถึงเรื่องอันเป็นต้นเหตุของความเศร้านะครับ คุณสามารถพูดได้ทุกเรื่องเรื่องที่คุยทำให้คุณมีความสุขก่อนหน้านี้ เรื่องของแรงบันดาลใจ คุยเล่นกันไปแบบไหนก็ช่วยทั้งนั้น และ ถ้าคุณอาจจะโชคดีพอที่จะพอสิ่งที่จะมาเติมเต็มสิ่งที่หายไปได้จากบทสนทนา สิ่งแรกที่ผมแนะนำคือหามนุษย์ซักคนที่เราไว้ใจพอที่จะพูดอะไรให้เค้าฟังเท่าที่คุณจะอยากเล่า แนะนำให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีจะไม่แสดงความคิดเห็นในรูปแบบที่ไม่ใช่เหตุผลกับคุณ พูดง่ายๆคือใจเค้าต้องเป็นกลางครับ ไม่เข้าข้างคุณ และ ไม่ตัดสินเรื่องราวใดๆ แค่รับฟังเท่านั้นพอ หรือ ถ้าจะโต้ตอบก็เป็นแบบมีเหตุและผลตามความจริงของโลก คนเหล่านี้จะช่วยตระเตรียมสภาพจิตใจของคุณให้พร้อมจะวางสิ่งที่ถืออยู่ลงได้บ้าง