S Curve ของชีวิต

วันนี้ว่าง และพอดีเพิ่งทำงบดุลส่วนตัวเสร็จซึ่งปกติจะทำทุกปี

เลยมาเขียนบทความสาระเบาๆมาแชร์ให้อ่านครับ

จากกราฟงบดุลส่วนตัว  จะทรงๆ มา 2-3. ปี ก่อนจะลงทุนเพิ่ม ทำให้ทรัพย์สินเพิ่มและรายรับเพิ่มมากขึ้น เป็นการต้อ  S curve อีกครั้ง
ส่วนหนี้สินก็พยายามให้ลดลง ต่อเนื่องจากการที่จะ early  retired  ตัว้อง อีกไม่กี่ปีจากนี้



S Curve ของชีวิต


คนเราการจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้  หากยังดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆเราก็คงไปถึงจุดหมายได้เหมือนกันแต่อาจจะช้า  หรืออาจไปไม่ถึงจุดหมายเลยก็ได้ หากอยากไปถึงจุดหมายเร็วๆเราคงต้องหาวิธีทำให้เกิด S Curve เกิดขึ้นซึ่งจะทำได้หลายอย่าง

1.คุณล่ะ  มี S Curve   แบบไหน

ในอดีตคนเราส่วนใหญ่หวัง S Curve ในการเปลี่ยนแปลงของชีวิตด้วยการศึกษาหาความรู้ซึ่งส่วนใหญ่ทำในสถานศึกษาซึ่งบางคนหวังเพียงแค่ให้มีใบปริญญามาทำงานต่อยอดของชีวิต แต่บางคนก็หวังทั้งได้ใบปริญญาและความรู้มาต่อยอดการทำงานของชีวิตต่อไป
นั่นคือหากคนเราส่วนใหญ่ได้รับการศึกษา ซึ่งอาจจะได้รับปริญญาหรือไม่ก็ตาม  แต่หากคุณมีความรู้
ในชีวิต  ก็ต้องมี S    Curveอย่างน้อย 1  ครั้ง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกประเทศถึงมีนโยบายส่งเสริมการศึกษา
บางคนก็มี S Curve ต่อเนื่อง ด้วยการแต่งงานกับคนที่มีฐานะร่ำรวยซึ่งเป็นการต่อยอด S Curve ครั้งที่ 2
และไม่แปลกใจที่ในยุคปัจจุบันผู้หญิงบางคนชอบที่จะหาสามีที่รวยๆเพื่อมาต่อยอดชีวิตของตัวเอง
หรือบางคนอาจจะซื้อล็อตเตอรี่เพื่อหวังถูกรางวัลที่ 1ส่วน คนบางคนก็อาจจะซื้อหวยเพื่อหวังถูกหวย
หรือแย่ที่สุดบางคนอาจจะหวัง  s Curve จากการเล่นการพนัน ซึ่งคนที่เริ่มเส้นทางสายนี้ส่วนใหญ่ 99.99% คือ หายนะ  ซึ่งมีเยาวชนจำนวนมากเลือกเดินทางสายนี้ทั้งที่ได้รับการสั่งสอนอบรมตักเตือนมาแล้วจากสถานศึกษา    แต่ก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเพราะการพนันเกิดจากวงจรของนิสัยเกิดจากสารเคมีในสมองซึ่งมีการวิจัยมาแล้วเป็นโรคชนิดหนึ่งหากใครติดการพนันต้องได้รับการบำบัดโดยเฉพาะเด็กในยุคปัจจุบันมีโอกาสติดพนันออนไลน์ได้ง่ายมากซึ่งจะทำให้คนนั้นเสียอนาคต

ส่วนวิธีที่จะทำให้เกิด S Curve หรือความมั่งคั่งทั่วๆไปคนส่วนใหญ่จะใช้ การกู้เงินจากธนาคารเพื่อไปลงทุนต่างๆลงทุนในธุรกิจ    หรืออาจจะใช้ margin เพื่อเล่นหุ้น หรือบางคนอาจจะหวังให้ผลโตเป็น s Curve จากหุ้น ipo
 
2.คนส่วนใหญ่ล้มเหลวในการต่อยอด s Curve ของชีวิต

ป็นที่น่าแปลกใจว่าคนส่วนใหญ่หลังจากจบการศึกษาแล้ว  การหา S Curve ต่อยอดของชีวิตส่วนใหญ่มักไม่ประสบความสำเร็จ
จากการสังเกตจากประสบการณ์
พบว่าคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ประสบความสำเร็จเกิดจาก     ติดกับดักหนี้สิน
และหนี้สินส่วนใหญ่ที่ทำให้การต่อยอด S Curve ประสบความล้มเหลวก็คือหนี้สินจากบ้านที่อยู่อาศัยที่ไม่ใช่บ้านพักเพื่อการลงทุน  และหนี้สินจากบัตรเครดิตเพื่ออุปโภคบริโภค
นั่นทำให้คนคนนั้นไม่สามารถต่อยอดและความมั่งคั่งของชีวิตได้

เมื่ออยู่ในวังวนชีวิตไม่เจริญก้าวหน้าก็ต้องหาตัวช่วยทำให้บางคนส่วนใหญ่หวังพึ่งจากโชคชะตาฟ้าดิน หวังพี่งโชคลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจากต้นไม้ จากเทวรูป  etc.

นอกจากนี้
บางคนก็หวัง S Curve จากบุคคลอื่นที่หวังจะให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น  จากการพึ่งนักการเมือง   ผมไม่แปลกใจว่าบางคนจะเลือกพรรคฝ่ายซ้ายหรือบางคนจะเลือกพรรคฝ่ายขวา  เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกันและต่างก็ได้ลองผิดลองถูกมาแล้วว่าเลือกฝ่ายไหนที่ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น
แต่กระนั้นผมมีความเชื่อว่าชีวิตเราต้องคุมชะตาชีวิตด้วยตัวเองไม่ใช่หวังพึ่งคนอื่น  คุณจะเลือกใครไปบริหารประเทศนั้นก็อย่าไปหวังมากว่าจะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น เราควรอยู่ได้ด้วยขาของตัวเองไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวาบริหารประเทศ
และควรเคารพการตัดสินใจของผู้อื่นไม่ว่าผลการเลือกตั้งออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม  หากคุณไม่เห็นด้วยคุณก็ควรจะปรับตัวให้อยู่รอดในสถานการณ์นั้นๆอยู่กับปัจจุบันในทางพุทธศาสนาสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน

หากเราทำปัจจุบันให้ดีในอนาคตก็จะดีไปด้วยเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
จะดีจะชั่วจะร้ายหรือดีก็ขึ้นอยู่กับตัวเราไม่ใช่ผู้อื่น

ที่สำคัญ

อย่าไปโทษคนอื่น
 
3.สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญไปตามวัฏจักรของชีวิต

มีคำกล่าวว่าหากเวลา 10 ปีผ่านไปหากคุณไม่มีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตแสดงว่าคุณอยู่ผิดที่
ถ้าคุณอยู่ถูกที่ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างไรก็ตามในทางพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ทุกอย่างย่อมเป็นตามวัฏจักรของชีวิตมีเกิดแก่เจ็บตายเพราะเมื่อถึงจุดจุดจุดหนึ่ง    ความมั่งคั่งส่วนตัว ของบุคคลนั้นๆ ก็ต้องย่อมเสื่อมสลายไปตามวัฏจักรของชีวิต
แต่ก็นั้นบุคคลนั้นก็ต้องเตรียมตัวส่งต่อไปให้คนรุ่นต่อไปเพื่อให้เกิด S Curve ต่อธุรกิจเป็นวงจรต่อไปเพื่อต่อยอดให้เกิดความมั่งคั่งมากขึ้นในตระกูล
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลที่ร่ำรวยมักจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆเพราะมีการปลูกฝังการต่อ S Curve ความมั่งคั่งของตระกูลข้อความมั่งคั่งสามารถส่งต่อได้
ปัจจุบันเราอยู่ในโลกดิจิตอลการหา S Curve ในชีวิตเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าอดีตมากนักแต่ในทางกลับกันความมั่งคั่งที่สะสมก็เสื่อมสลายหายไปได้ง่ายกว่าเดิม   และรวดเร็วกว่าเดิมมากได้เช่นกัน

4.S Curve ในแง่ความสุขและความมั่งคั่งในอนาคต  ทียั่งยืน

มองในมุมมองความมั่งคั่งหากจะหา S Curve นั่นคือเราต้องแสวงหาการต่อยอดการลงทุนของชีวิต
แต่ในทางกลับกันหากมองในความสุขในทางธรรมะคือ   ความสุขที่ยั่งยืนก็คือต้องรู้จักพอและมีการแบ่งปัน
หากเอาเมุมมองจากความมั่งคั่งและในแง่ความสุขมารวมกัน  และเดินทางสายกลางก็คงเข้าได้กับคำว่า

Economic Sharing  หากแปลเป็นภาษาไทยก็คือรวยอย่างพอเพียงและแบ่งปันความมั่งคั่งให้ผู้อื่น

หากจะหาคำตรงกันข้ามกับภาษาไทยก็คงเป็นวลีที่ว่า  “รวยกระจุกจนกระจาย”

5.ปัญหาที่เกิดจากการมี S Curve ในชีวิตได้ไม่เท่ากัน

ผลแทรกซ้อนในการเกิด S Curve ในชีวิตได้ไม่เท่ากันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในความมั่งคั่งเ  กิดความไม่พอใจความอิจฉาริษยา   การแย่งทรัพยากรทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก

ผมมีความเชื่อว่าคนเราจะรวยจะจนนั้นอยู่ที่   ความคิดอยู่ที่ทัศนคติ

แต่ถึงกระนั้นเราไม่สามารถทําให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ในชีวิตได้   ในความเป็นจริงเพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เมื่อ 2000 กว่าปีแล้วว่าคนเราแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามหลักของบัว 4 เหล่าผู้ปกครองควรจะเยียวยาหรือหาทางช่วยบัวที่อยู่ใต้โคลนตมและอยู่ใต้น้ำเพื่อให้ดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขไม่เกิดปัญหาในสังคมแต่ขณะเดียวกันต้องปลูกฝังแนวคิดบัวที่อยู่พ้นน้ำให้มีแนวคิดจิตสาธารณะแบ่งปันให้ผู้อื่น
หากเป็นคำในภาษาอังกฤษก็คงอาจจะเข้าได้กับคำว่า  Empathy   หรือแปลเป็นไทยได้ว่า   "ใจเขาใจเรา"

ซึ่งทั้ง Economic  sharing  และ Empathy

ผมเชื่อว่า จะเป็นหัวใจของความสงบสุขของประเทศและ โลกทั้งปัจจุบันและในอนาคต
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่