กำลังพลรบพม่า ศึกเสียกรุงครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ครั้งไหนมากกว่ากัน??

ศึกเสียกรุงครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนอง ยกกำลังพลล้อมกรุง มากกว่าหรือน้อยกว่า ศึกเสียกรุงครั้งที่ 2 โดยเนเมียวสีหบดี??
ในศึกแต่ละครั้งมีกำลังพลรบเท่าไหร่ครับ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 4
สงครามเสียกรุง พ.ศ. ๒๑๑๒ พงศาวดารพม่าอ้างว่ามีกำลังทหารมากถึง ๕๔๖,๐๐๐ คน ช้าง ๕,๓๐๐ ม้า ๕๓๐,๐๐๐ (น่าจะเป็น ๕๓,๐๐๐ มากกว่า) มีการเปรียบเปรยว่าเสมอกับพลของอัมรินทราธิราช แบ่งเป็นทัพกษัตริย์ใหญ่ ๕ ทัพคือ

- ทัพหลวงพระเจ้าบุเรงนอง มี ๔ ทัพย่อย แต่ละทัพมีช้าง ๑๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๐,๐๐๐ รวมเป็น ช้าง ๔๐๐ ม้า ๔,๐๐๐ พลทหาร ๔๐,๐๐๐

- ทัพพระมหาอุปราชามังรายกฺยอจฺวา (မင်းရဲကျော်စွာ นันทบุเรง) มี ๑๑ ทัพย่อย แต่ละทัพมีช้าง ๑๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๐,๐๐๐ รวมเป็น ช้าง ๑,๑๐๐ ม้า ๑๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๑๐,๐๐๐

- ทัพพระเจ้าแปรสะโตธรรมราชา (သတိုးဓမ္မရာဇာ) มี ๑๑ ทัพย่อย แต่ละทัพมีช้าง ๑๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๐,๐๐๐ รวมเป็น ช้าง ๑,๑๐๐ ม้า ๑๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๑๐,๐๐๐

- ทัพพระเจ้าตองอูมังของ (မင်းခေါင်) มี ๑๑ ทัพย่อย แต่ละทัพมีช้าง ๑๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๐,๐๐๐ รวมเป็น ช้าง ๑,๑๐๐ ม้า ๑๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๑๐,๐๐๐

- ทัพพระเจ้าอังวะสะโตมังจอ (သတိုးမင်းစော) มี ๑๑ ทัพย่อย แต่ละทัพมีช้าง ๑๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๐,๐๐๐ รวมเป็น ช้าง ๑,๑๐๐ ม้า ๑๑,๐๐๐ พลทหาร ๑๑๐,๐๐๐

รวมเป็น ๔๔ ทัพ ประกอบด้วย ช้าง ๔,๔๐๐ ม้า ๔๔,๐๐๐ พลทหาร ๔๔๐,๐๐๐ ประกอบด้วยกำลังในหัวเมืองมอญพม่าและไทใหญ่จำนวนมาก มีเจ้าฟ้าไทใหญ่หลายเมืองคุมทัพย่อยกระจายอยู่ในทัพต่างๆ

- ทัพมังรายกฺยอถาง (မင်းရဲကျော်ထင်) โอรสพระเจ้าตองอู มี ๕ ทัพย่อย ควบคุมกองทัพล้านนาคือทัพพญาแสนหลวง ทัพพญาสามล้าน ทัพพญาน่าน ทัพเจ้าฟ้าเชียงตุง และทัพหลักของตนเอง ยกจากเชียงใหม่ไปรวมกับอีก ๔๔ ทัพจากหงสาวดี

-ทัพออกญาธรรมราชา (สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช) รวมกับขุนนางหงสาวดีคือ พญากฺยันดอ พญาลาว พญาพระราม รวมกำลังจากเมืองพิษณุโลกเป็นช้าง ๓๐๐ ม้า ๔,๐๐๐ พลทหาร ๖,๐๐๐ (อีกฉบับว่าม้า ๓,๔๐๐ พลทหาร ๖๐,๐๐๐) ตรงกับพงศาวดารไทยที่ระบุว่าให้พระมหาธรรมราชานำกำลังจากหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้ง ๗ เมืองลงมา


ส่วนพงศาวดารของไทยที่เก่าๆ หน่อยเช่น พระราชพงษาวดารความเก่า ตามต้นฉบับหลวงเขียนครั้งกรุงธนบุรี เมื่อจุลศักราช ๑๑๓๖ และฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่ชำระสมัยรัชกาลที่ ๑ ระบุว่ามีกำลังพลถึง ๙๐๐,๐๐๐ ฉบับที่ชำระสมัยหลังชำระแก้ให้เกินจริงมากขึ้นเป็น "ร้อยหมื่น"


กำลังพลในพงศาวดารอาจจะดูมากเกินจริงไปบ้าง แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ในสมัยนั้นจะสามารถเกณฑ์กำลังพลได้ถึงหลักแสนขึ้นไป เพราะการปกครองของหงสาวดีในยุคนั้นมีการกระจายอำนาจสูง มีพระราชวงศ์ปกครองหัวเมืองต่างๆ ในฐานะกษัตริย์เป็นสิทธิขาด มีกำลังทหารเป็นของตนเอง นอกจากนี้กษัตริย์หัวเมืองต่างๆ ยังมีอำนาจเหนือหัวเมืองน้อยที่อยู่ใกล้เคียง จึงทำให้แต่ละหัวเมืองสามารถเกณฑ์ไพร่พลได้ง่าย

นอกจากนี้ สันนิษฐานว่าเป็นด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ในสมัยนั้นยังไม่ได้พัฒนามากเท่าสมัยหลัง จึงต้องเน้นวิธีเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมากรบในระยะประชิดมากกว่าซึ่งก็ต้องใช้ชีวิตทหารจำนวนมากเข้าแลก ดังที่ปรากฏในพงศาวดารว่าพระเจ้าบุเรงนองต้องทุ่มกำลังมหาศาลเพื่อถมคูพระนครฝั่งตะวันออกได้สำเร็จ ถึงขนาดต้องเอาศพทหารมาถมคู



สงครามเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ มีกำลังน้อยกว่าสมัยพระเจ้าบุเรงนองมาก ทัพที่ยกมาไม่ใช่ทัพหลวงของกษัตริย์ และใช้วิธีเกณฑ์ไพร่พลตามหัวเมืองรายทางที่ตีได้มากกว่าจะเกณฑ์กองทัพใหญ่ตั้งแต่แรก ต่างจากสมัยหงสาวดีที่ปกครองหัวเมืองเหล่านั้นอยู่ก่อนแล้วเรียกระดมพลโดยตรง จึงอาจเป็นเหตุที่กำลังพลในสมัยนี้ไม่สูงเท่าสมัยหงสาวดี และยากต่อการสอดส่องดูแลหรือหวังความจงรักภักดีได้อย่างชัดเจน อย่างที่ปรากฏในพงศาวดารว่าพระเมืองไชย (มังไชย) พระยาแพร่ที่ถูกพม่าเกณฑ์เข้ามายังภักดีกับทางอยุทธยาก็หาเหตุถอยทัพไปไม่ยอมสู้รบ

นอกจากนี้กองทัพพม่าไม่ได้ยกทัพหลวงลงมาเองเพราะพระเจ้ามังระเสด็จไปปราบปรามมณีปุระ เมื่อเสร็จแล้วก็ต้องมารบกับจีนต่อ จึงอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้กำลังพลน้อยกว่า ซึ่งถ้าไม่มีศึกจีนก็เป็นไปได้ว่าพระเจ้ามังระจะเสด็จตามลงมาอยุทธยาด้วย


ยุทธวิธีที่กองทัพพม่าใช้ค่อนข้างรัดกุมพอสมควรคือใช้ยุทธศาสตร์คีมหนีบยกทัพมาสองทาง และปราบปรามหัวเมืองทั้งเหนือใต้ของอยุทธยาก่อนจะเข้ามาบรรจบพร้อมกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มกำลังพลแล้วยังเป็นการสร้างฐานลำเลียงเสบียงจากทั้งเหนือใต้ และโดดเดี่ยวอยุทธยาจากหัวเมืองรอบข้าง เริ่มจากเนมฺโยสีหปเต๊ะ (နေမျိုး သီဟပတေ့) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่สายเชียงใหม่ยกทหาร ๒๘ ทัพ ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ พลทหาร ๒๐,๐๐๐ ไปปราบปรามล้านนาและล้านช้าง เมื่อยกไปถึงเมืองนายได้เกณฑ์พลไทใหญ่อีก ๓,๐๐๐ แบ่งเป็น ๗ ทัพย่อยคุมโดยเจ้าฟ้าไทใหญ่ ๗ เมืองเป็นทัพหน้า หลังจากปราบปรามหัวเมืองล้านนาล้านช้างหมดแล้วพักทัพอยู่เพื่อรอให้พ้นฤดูฝน แล้วจึงเกณฑ์ไพร่พลจากหัวเมืองฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินลงมาตีกรุงศรีอยุทธยา เริ่มจาก

- ทัพหน้า ๒๐ ทัพรวมพลทหาร ๑๐,๐๐๐ กับเรืออีก ๓๐๐ ให้ยกไปตีหัวเมืองรายทาง

- ทัพจากหัวเมืองล้านช้าง ๑๑ ทัพ รวมพลทหาร ๘,๐๐๐ ช้าง ๑๐๐ ม้า ๓๐๐ ยกล่วงหน้าไปทางบก

- ทัพจากหัวเมืองล้านนา ๑๕ ทัพ รวมพลทหาร ๑๒,๐๐๐ ช้าง ๒๐๐ ม้า ๗๐๐

- ทัพใหญ่ของเนมโยสีหปเต๊ะ ๑๓ ทัพ เรือรบ ๓๐๐ ลำ รวมพลทหาร ๔๓,๐๐๐ ม้า ๒๐๐ ช้าง ๔๐๐

แล้วจึงลงมาตีหัวเมืองรายทาง เกณฑ์ไพร่พลจากเมืองบ้านตาก เมืองระแหง เมืองกำแพงเพชร เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองรัตสมา เมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองลับแล เมืองธานี เมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์ เมืองอ่างทอง เป็น ๑๓ ทัพ (บางเมืองปรากฏในพงศาวดารไทยว่าพม่ายังตีไม่ได้ แต่อาจจะตีมาจากพื้นที่ใกล้เคียงก็เป็นได้) ให้อุดินนัดจอคุมเป็นทัพหน้าไปตีอยุทธยาอีก

กำลังทหารในสายเชียงใหม่ รวมกับเชลยที่จับได้ทั้งหมด น่าจะราว ๘-๙ หมื่น


สายทวาย มีมหานรธา (မဟာနော်ရထာ) เป็นแม่ทัพใหญ่ เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองมอญคือจากหงสาวดี เมาะตะมะ มะริด ตะนาวศรี มารวมกันที่เมืองทวาย เป็นกำลังพลทั้งหมด ๓๐,๐๐๐ ช้าง ๒๐๐ ม้า ๒,๐๐๐

หลังจากนั้นได้รุกไล่ตีหัวเมืองรายทางของอยุทธยามาเรื่อยๆ แล้วเกณฑ์ไพร่พลจากเมืองราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ไชยา ชุมพร เฉลียง แบ่งเป็น ๗ ทัพ ให้มังกรีกามณิจันทะเจ้าเมืองพุกาม (ไทยเรียกปกันหวุ่น) ควบคุมเป็นทัพหน้า กำลังน่าจะเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นราว ๔ หมื่น

เมื่อรวมกำลังทั้งสองทัพ น่าจะประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ถึง ๑๓๐,๐๐๐ ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่