แม่ดูเหมือนจะเก็บกดและเป็นโรคเครียด

แม่หนูเป็นคนค่อนข้างอ่อนไหวง่ายค่ะ ขี้กลัวขี้ระแวง จะคอยระมัดระวังในทุกๆเรื่อง. ตัวหนูเองอายุเพิ่งจะ18ปี มีน้องอีกสองคนยังอายุน้อยกันมากๆเลย แล้วน้องมีพ่อเป็นคนยุโรปค่ะ. พ่อเป็นพวกชอบทะเลาะกับแม่เหมือนกันเป็นพวกปากไม่ค่อยดี บ่นจุกบ่นจิกไปเรื่อย ซึ่งมันก็พอที่จะทำให้เราเครียดตามไปด้วยในบางครั้ง. ปัญหาหลักๆเลยก็คงจะเป็นเพราะว่าพ่อไม่ได้ทำงานต่องคอยดูแลน้อง แล้วแม่ก็ต้องออกไปทำงาน ไหนจะค่าเช้าบ้าน ค่าดูแลน้อง ค่าไปโรงเรียนเรา และยังมีเงินที่เขาอยากจะเก็บไปเปิดร้าน take away เองอีกเพราะกลัวว่าเรากับน้องโตขึ้นไปจะไม่มีสมบัติอะไรเลย. เรื่องนี้ตัวหนูเองก็เคยบอกกับแม่แล้วว่าเรามาอยู่ถึงที่นี้แล้วรัฐบาลคอยดูแลไม่มีอะไรต้องห่วงกว่าน้องจะโตเราเองก็คงมีงานที่มั่นคงพอจะดูน้องแล้วเพราะอายุห่างกันตั้ง 12 16 ปี แต่อย่างที่บอกว่าแม่กลัวว่าตัวเองจะอายุไม่ถึงห้าสิบเพราะเครียดและทำงานหนัก ไหนจะที่บ้าน ไหนจะที่ทำงาน ไหนจะตัวเราเองอีก.

ตัวเราเองนิสัยต่างกับแม่ค่อนข้างต่างจากแม่มาก แม่ชอบบอกว่าเราเหมือนพ่อเราทั้งๆที่ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันเลย บางครั้งก็ทำตัวเหมือนจะเข้าใจแม่จนเกินไปจนเหมือนเด็กแก่แดดคิดจะสั่งสอนผู้ใหญ่ บางครั้งก็ดื้อและขี้เกียจจนเป็นภาระสำหรับแม่ เราอยู่ห่างจากแม่ประมาณ5ปีกว่าตอนรอวีซ่าเพื่อจะมาที่นี้ ติดต่อกันทางเดียวคือโทรศัพท์ เรามานี้ตอนอายุ14แล้ว แม่ในอดีตของเราเปลี่ยนไปมาก แม่ทุกข์ใจตลอดเวลา แม่โมโหและเครียดง่ายมาก บวกด้วยพ่อเป็นฝรั่งที่ค่อนข้างปากไว และดูไม่อบอุ่นเหมือนคนที่แม่ต้องการจะพึ่งพาแม่เลยมีความรู้สึกว่าพ่อไม่ใช่เสาหลักของบ้าน. และด้วยความที่เราเป็นลูกคนโตและพูดภาษาไทยกับแม่ได้แม่จะเล่าทุกอย่างให้เราฟัง ทะเลาะกับพ่อ หนีออกจากบ้านตอนที่ยังไม่มีน้อง วีซ่าก็ยังไม่ได้ แม่กลัวเราไม่ได้มาและไม่มีอนาคต ตอนเราอยู่ไทยแม่ไม่เคยปริปากพูดหรือเล่าให้เราหรือญาติที่ไทยฟังเลย พอเรามาถึงที่นี้เราก็เริ่มขาดการติดต่อกับญาติที่ไทยไปโดยสิ้นเชิง เพราะแม่มีอคติกับญาติเราในหลายๆอย่างเป็นมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดแล้วด้วยซ้ำ.

ล่าสุดแม่มาเล่าให้ฟังว่ามีคนแถวบ้านที่เป็นฝรั่ง สองคนเป็นแฟนกัน เคยทำร้ายแม่นานแล้วก่อนที่เราจะมาอยู่ที่นี้ พวกเขาทำร้ายแม่เราจนจะโหลกยุบเข้าไป ถ้าเอามือจับก็จะรู้ได้เลย และตอนนั้นแม่เรายังไม่มีวีซ่าและคนที่อยู่แถวนั้นเขาค่อนข้างจะบ้านนอกกลัวจะมีปัญหาไปถึงธุรกิจของเขาแม่เลยไม่กว่าแจ้งความกับตำรวจ ซึ้งทุกวันนี้สองคนนี้ก็จะคอยระรานแม่เรา ด่าบ้างพูดเหน็บแนมบ้าง และพยายามจะทำให้แม่เราสติแตก และทุกคั้งที่แม่พูดถึงคนสองคนนี้แม่เราจะโกรธมากและควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย รวมถึงปัญหาอื่นๆด้วย. และด้วยความที่เราเป็นพวกพยายามพูดใจเย็นให้แม่ฟัง แล้วคุยกันด้วยเหตุผล แต่ยิ่งเราทำมันเหมือนเราเอาน้ำมันราดบนไฟให้มันวายมาถึงตัวเราเองด้วย ว่าไม่เคยคิดจะช่วยเหลือเขาเลย ถ้าพวกนั้นมาทำร้ายเขาเราคงปล่อยให้เขาตาย บางครั้งแม่ก็บอกว่าเขาอยากตายไปให้พ้นๆจากเราและพ่อเรา. เรากับพ่อเองก็เคยจะไปกะทืบสองคนนั้นให้แม่ด้วยซ้ำ แต่มันกลายเป็นว่าแม่บอกว่าแม่ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจาเราเลยแม่แค่อยากระบายให้เราฟัง แต่เรากับพ่อไม่เคยเป็นผู้ฟังที่ดีเลย จนบางครั้งเราหัวเราะออกมาแล้วบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่แม่เข้าใจเลย แม่ก็จะตะโกนเข้ามาอีกเพราะมันเหมือนเราหัวเราะเยาะเย้ยแม่ ในเวลาที่แม่พูแล้วเราจะอธิบายแต่มันเหมือนกับการเถียง ไม่เข้าข้าง ขัดแย้ง และเข้าข้างคนอื่นที่แม่มีปัญหาด้วย. ทุกครั้งที่บทสนทนาแย่ๆมันเกิดขึ้นมันจะไม่เคยจบลงด้วยดีเหลายๆครั้งเราก็เงียบ เพราะเราเงอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นและกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปแม่เราจะโมโหขึ้นมาอีก แต่พอเราเงียบแม่บอกว่านั้นคือการที่เราไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือหรือรับฟังเขาอีกแล้ว.

หนูเป็นเหมือนเด็กติดโทรศัพท์ เพื่อที่พยายามจะคลายเครียด ไปโรงเรียน ไปต่อยมวย ไปทำงาน ทำตัวยุ่งๆเข้าไว้เพื่อที่จะได้มีเวลาอยูบ้านให้น้อยลงและจะได้ไม่ต้องมีเวลาทะเลาะกัน พอเริ่มมาอยู่ในเมือง อยู่คนเดียวมากขึ้น เรากับแม่ก็มีระยะห่างที่มากขึ้น เวลาแม่จะบ่นหรือระบายแม่ก็จะต้องโทรหาเราเอาเองเป็นส่วนมาก แต่เราไม่ได้ขาดการติดต่อยังต้องคอยรายงานว่าไปไหน ทำอะไรอยู่เหมือนปกติ. อาจจะเป็นเพราะด้วยแม่ไม่ใช่คนอ่อนหวานคิยกอดคอยบอกรักเราตั้งแต่เด็กๆแล้วด้วย บวกกับความเงียบของเราไปอีกมันเลยเหมือนคนที่ไม่ค่อยสนใจคนอื่น มีโลกส่วนตัวอยู่แต่กับโทรศัพท์.

หนูสาบานจริงๆว่าตลอดสี่ปีที่กลับมาอยู่กับแม่ เราลองทุกวิถีทางเพื่อจะเปลี่ยนแม่ คุยกับเขาแต่เราไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้มากนอกจากสร้างระยะห่างจากแม่ได้เลย. ส่วนตัวและไม่เคยคิดอยากจะเอาปัญหาของตัวเองมาโพสให้สาธารณะอ่านเลย เพราะกลัวความคิดเห็นที่อาจจะหาว่าตัวเราเองนั้นแหละเห็นแก่ตัวหรือด่าทอครอบครัวเรา.

คำถามหนูคือหนูควรจะทำยังไงดี แม่หนูไม่สามารถทำใจกับสิ่งที่ตัวเขาเองควบคุมไม่ได้เลย แม่เรายึดกับอดีตมากๆ. มันจะมีวิธีไหนไหมที่เราจะทำให้ครอบครัวกลับมาเป็นครอบครัว ทำให้เราสามารถคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องจริงๆ ถึงแม่เราจะเขียนไป อ่านไป คิดไปแล้วว่ามันก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนทุกอย่างได้เลยนอกจากรอเราโตขึ้นอีกสักห้าปีแล้วเลิกเป็นภาระของแม่ได้แล้ว. ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านจนจบมากๆนะคะ ไม่ต้องแสดงความคิดเห็นก็ได้แค่ให้เราได้ระบายอะไรบ้างก็พอ.

ขอบคุณค่ะ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่