เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา บังชิฮยอก ซีอีโอแห่งบิ๊กฮิต เอนเตอร์เทนเมนท์ ได้รับเชิญในฐานะศิษย์เก่าไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีรับปริญญามหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในสุนทรพจน์ชิ้นนี้ บังชิฮยอกได้เล่าถึงแรงขับดันในการทำงานของเขาว่ามาจากความโกรธเกรี้ยวและเดือดดาลที่มีต่อปัญหาในวงการเพลงที่เขาและคนทำงานรวมถึงแฟนคลับของศิลปินต้องพบเจอ และเขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเดินตามความสุขที่ทุกคนเป็นคนกำหนดขึ้นเอง และการไม่ประนีประนอมต่อปัญหาและเส้นทางชีวิตที่คนอื่นเป็นคนขีดขึ้นให้
ถอดเทป-แปลอังกฤษ โดย อัน ซองมี สำนักข่าว Korea Herald
http://kpopherald.koreaherald.com/view.php?ud=201902271750579774162_2
——————————————
ท่านอธิการบดีโอเซจอง แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลที่เคารพ คณาจารย์ บัณฑิต และญาติของบัณฑิตทุกครอบครัว ผม บังชิฮยอก ซีอีโอบริษัทบิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์
สภาพอากาศวันนี้สดใสและงดงาม ดั่งจะร่วมเฉลิมฉลองให้การสำเร็จการศึกษาของทุกท่านในวันนี้ ผมขอแสดงความยินดีต่อบัณฑิตทุกท่าน
เมื่อตอนที่ท่านอธิการบดีได้ขอให้ผมมากล่าวสุนทรพจน์ในงานวันจบการศึกษา ผมได้รับปากท่านอธิการบดีในทันที เพราะนี่เป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับศิษย์เก่าอย่างผมที่จะได้เข้าร่วม แต่ก่อนที่จะขึ้นมายืนที่โพเดียมแห่งนี้ ผมได้ครุ่นคิดอยู่นาน เพราะตัวผมนั้นนับได้ว่าเป็นคนรุ่นเก่า ผมกังวลว่าสิ่งที่ผมจะพูดนั้นอาจฟังดูเหมือนพวก kkondae (แสลงเกาหลี หมายถึงพวกคนที่แก่หัวรั้นที่ชอบวางท่าสั่งสอนคนอื่น) ผมยังกังวลอีกด้วยว่าสิ่งที่ผมจะพูดถึงนั้นจะมีความหมายต่อบรรดาบัณฑิตที่จะเริ่มต้นก้าวใหม่ในวันนี้หรือไม่
แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็พบว่าสุนทรพจน์ในพิธีมอบปริญญาบัตรนี้เป็นพื้นที่ให้ผู้กล่าวได้บอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ในชีวิตให้กับบรรดาบัณฑิต ซึ่งบางครั้งก็เป็นในฐานะของรุ่นพี่ที่จะบอกเล่าสู่รุ่นน้อง ดังนั้นผมขอเลิกกังวลเรื่องว่าสิ่งที่ผมจะพูดนั้นจะฟังดูเหมือนพวกคนแก่หัวดื้อหรือไม่ และจะพยายามบอกเล่าเกี่ยวกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ผมอาจจะขอโอ้อวดเกี่ยวกับตัวเองเล็กน้อย และจะบอกเล่าถึงการเดินทางของที่ชีวิตผมที่จะเชื่อมโยงถึงชีวิตของคุณเช่นกัน
ผมเข้าเรียนมัธยมปลายในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ในเวลานั้นหากคุณเป็นนักเรียนที่เรียนดี ในระดับมหาวิทยาลัยคุณก็จะเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ ดังนั้นทางเลือกแรกของผมก็เป็นการเข้าเรียนในคณะนิติเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าผมมีความมุ่งมั่นในการเรียนกฎหมายอะไร แต่เป็นเพราะผมวางเป้าหมายตามที่คนอื่นกำหนดมาให้ผมว่านี่คือบันไดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ผมในตอนนั้นไม่มีทั้งความปรารถนาและความฝันใดใด
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาทุกที ในตอนนั้นคะแนนของผมมันค่อนข้างจะก้ำกึ่ง ผมเลยต้องเลือกระหว่างยื่นคะแนนสมัครคณะนิติศาสตร์แล้วเสี่ยงที่จะสอบไม่ติดและต้องรอสอบใหม่ปีถัดไป หรือจะสมัครเข้าเรียนในคณะอื่นที่ไม่ใช่นิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลแห่งนี้ ซึ่งผมเลือกอย่างหลัง อย่างที่ผมได้บอกไป ผมไม่มีความมุ่งมาดปราถนาที่จะเรียนกฎหมาย และผมก็ไม่อยากรอสอบใหม่อีกครั้ง ในตอนนั้นผมค้นหาว่ามีวิชาไหนที่น่าเลือกเป็นสาขาวิชาเอก ผมก็ได้รู้จักกับสาขาวิชาสุนทรียศาสตร์ ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่คาดหวังว่าผมจะเลือกเรียนกฎหมายต่างคัดค้านการตัดสินใจของผมอย่างหนักแน่น แต่ผมไม่ยอมและขู่พวกเขากลับว่า “หากผมสอบไม่ติด(คณะนิติ) มันจะกลายเป็นโชคร้ายนะครับ” นี่คือที่มาว่าผมเข้ามาเรียนในภาควิชาสุนทรียศาสตร์ได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้มาก่อนว่าสุนทรียศาสตร์คืออะไร แต่น่าแปลกมากที่มันช่างเหมาะเจาะกับผม วิชาเรียนต่างๆ ล้วนน่าสนใจ ผมสนุกกับการลงเรียนวิชาต่างๆ ของภาควิชา แม้แต่วิชาที่คนอื่นบอกว่ายาก นั่นอาจจะเป็นเพราะผมมีความสนใจในเรื่องศิลปะและการถกกันเรื่อยเปื่อยก็เป็นได้ ในตอนนั้นผมพักเรื่องดนตรีที่ผมสนใจฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้งเรียนมัธยมต้น และหลงลืมความฝันที่จะประกอบอาชีพในสายดนตรีไปเสียสิ้น
แล้วผมกลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ได้อย่างไร? พูดตามจริงผมเองก็จำไม่ค่อยได้ หลายคนมักคิดว่าการที่บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลจะเลือกเส้นทางชีวิตในสายดนตรีนั้น มันจะต้องมีเรื่องราวหรือการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่แม้ผมจะนึกย้อนไป มันก็ไม่ได้มีช่วงเวลายากลำบากอะไรแบบนั้น ถ้าพูดให้ตอนนี้แล้วล่ะก็ (ที่ผมมาทำงานสายดนตรี)มันเพราะผมทำดนตรี พวกคุณฟังแล้วผิดหวังกันรึเปล่า?
ผมเริ่มทำงานเพลงประหนึ่งถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่าง ผมเริ่มเป็นโปรดิวเซอร์เต็มตัวตั้งแต่ปี 1997 และร่วมกับคุณพัคจินยอง ก่อตั้งบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนท์ขึ้นมา หลังจากนั้นผมลาออกจากเจวายพี แล้วก็ตั้งบริษัทบิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์ และทำงานที่นี่ทั้งในฐานะผู้บริหารและโปรดิวเซอร์ เรื่องตลกคือหลังออกจากเจวายพี ตอนนั้นมีทางเลือกเข้ามามากมายแต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าทำไมถึงตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่
ที่ผมเล่าเรื่องของตัวเองมาเสียยืดยาวนี้ ก็เพื่อที่จะบอกว่าบางการตัดสินใจสำคัญๆ หรือช่วงเวลาที่มีความหมายในชีวิตผมจริงๆแล้วก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น และผมจำเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผมไม่ใช่คนทะเยอทะยานที่วางแผนการภาพใหญ่เอาไว้ ไม่ใช่นักฝันผู้ยิ่งใหญ่ พูดอย่างเจาะจงคือผมไม่เคยมีความฝันที่แน่นอน ดังนั้นในแต่ละครั้งที่ผมต้องตัดสินใจ ผมตัดสินใจไปบนฐานของสิ่งที่ผมต้องการจะทำในเวลานั้นๆ
เมื่อคุณมองที่กิจกรรมล่าสุดของบีทีเอสและบิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์ มันยากที่จะเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าไป บีทีเอสชนะรางวัลบิลบอร์ดท้อปโซเชี่ยลอาร์ทติสท์ 2 ปีซ้อน และขายบัตรคอนเสิร์ต 40,000 ใบที่สนามซิตี้ฟิลด์หมดเกลี้ยงทันที เมื่อเร็วๆนี้บีทีเอสได้รับเชิญไปเป็นผู้ประกาศรางวัลที่งานแกรมมี่อวอร์ด สร้างอีกสถิติของการเป็น “วงแรก” สื่อต่างประเทศถึงขั้นอวยว่าบีทีเอสคือ “บีทเทิ่ลส์แห่งยุคสมัยของยูทิวบ์” นี่ยังไม่รวมเรื่องที่บีทีเอสเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่ทำสเตเดียมทัวร์ในเมืองใหญ่รอบโลกได้
ด้วยความสำเร็จนี้ทำให้ผมได้รับเกียรติมีชื่อติดในทำเนียบ “25 ผู้สร้างนวัตกรรมชั้นนำ” ของนิตยสารบิลบอร์ด ขณะที่บิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์ถูกประเมินว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอุตสาหกรรมบันเทิงและมีมูลค่าบริษัทถึงหลักพันล้าน(Unicorn Company)
เวลาที่ได้ยินเรื่องราวนี้ผ่านข่าว ทุกคนมักคิดว่ามันต้องมีความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้แน่ๆ หรือไม่ก็บังชิฮยอกต้องเป็นคนที่ทะเยอทะยานวางแผนการสำหรับอนาคตแล้วทำมันให้สำเร็จไปทีละอย่างแน่ๆ แต่เมื่อได้ยินผมบอกว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้มีความฝันหรือความทะเยอทะยานขนาดนั้น คุณก็จะสงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ และที่ผมพูดมานั้นไม่ได้แปลว่าที่ผมมายืนในจุดที่ผมอยู่ในตอนนี้ได้เพียงเพราะผมทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ผมขอเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่นสักหน่อย
ผมเป็นคนที่ไม่ได้มีความฝันมากมายอะไร แต่ผมเป็นคนที่มีความไม่สบอารมณ์อยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมคิดว่าวลีนี้อธิบายความเป็นตัวผมได้ดีที่สุด เมื่อมองกลับไปถึงสถานะของบิ๊กฮิตและบีทีเอสในปัจจุบัน ภาพที่แจ่มชัดขึ้นมาในความคิดของผมคือตัวผมเป็นคนที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
โลกใบนี้เต็มไปด้วยการประนีประนอม หลายคนพึงพอใจกับการที่จะต้องเปลี่ยน(สิ่งที่ตัวเองต้องการ)แม้ว่ามันจะมีหนทางที่ดีกว่านั้น พวกเขาให้เหตุผลกับกับประนีประนอมหลากหลายเหตุผล ตั้งแต่เรื่องที่ไม่อยากเด่นออกมาจากคนอื่น ไม่อยากที่จะสร้างปัญหา หรือกระทั่งคิดว่าเรื่องนี้ก็ต้องทำแบบนี้นี่แหละ แต่โดยธรรมชาติของผมแล้ว ผมเป็นคนไม่ประนีประนอม เมื่อเป็นเรื่องงานของผม ผมจะออกปากต่อว่าเสมอถ้าพบว่ายังไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ แม้ในปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมโดยตรงก็ตาม และถ้าหลังจากนั้นสถานการณ์ของปัญหายังไม่ดีขึ้นผมก็จะรู้สึกโกรธจัด
บางคนอาจจะจำผมได้ในบทบาทเมนเทอร์จากรายการ “Star Audition: The Great Birth.” คุณอาจจะจำภาพที่ผมแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวเมื่อผู้เข้าแข่งขันไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด ผมรู้ว่าผมดูไม่ใช่คนที่น่าคบหาเสียเท่าไหร่ ตั้งแต่นั้นมาผมตระหนักว่าการแสดงออกถึงความโกรธนั้นไม่ได้ส่งผลดี ผมเลยไม่ค่อยได้เกรี้ยวกราดแบบนั้นแล้ว สาเหตุที่ผมเล่าถึงรายการนี้ก็เพราะนั่นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่จะอธิบายว่าตัวผมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจนั้นเป็นอย่างไร
นิสัยแบบนี้ของผมนั้นสะท้อนอยู่ในงานของผม รวมถึงอยู่ในบริษัทที่ผมตั้งขึ้นด้วย ผมโกรธความรู้สึกพึงพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองแทนที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่พอใจธรรมเนียมปฏิบัติที่จะยอมรับสิ่งธรรมดาสามัญด้วยเหตุผลที่หลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้นผมรู้สึกไม่มีความสุขเป็นที่สุดเมื่อได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงอุตสาหกรรมดนตรี วงการนี้มันไร้แก่นสาร ไม่ยุติธรรม และไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง เมื่อผมเลือกเดินในเส้นทางอาชีพสายนี้และรู้จักกับมัน ก็ยิ่งทำให้ผมโกรธมากขึ้น ผมรู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่ผมรักที่สุดอย่างดนตรีถูกปฏิบัติด้วยอย่างไม่สมควรและถูกหาประโยชน์จากแวดวงนี้
นับตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นนักแต่งเพลง ผมทำงานในวงการเพลงมา 21 ปีแล้ว แต่เพื่อนร่วมงานของผม รุ่นน้องของผม ยังคงเผชิญกับความยากลำบากและความรู้สึกท้อแท้ต่อความเป็นจริงที่เป็นไป หลายคนยังรู้สึกอับอายที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองทำงานในวงการนี้ เพราะธรรมเนียมปฎิบัติที่เน่าเฟะของวงการ และความไม่เป็นธรรมและการถูกดูแคลนจากสังคม เด็กรุ่นใหม่ก็ยังคงมองว่าแม้จะทำงานอย่างหนัก แต่ค่ายเพลงก็จะจ่ายค่าตอบแทนให้เพียงเล็กน้อย
สถานการณ์ของลูกค้าของเราก็ไม่ต่างกันนัก แฟนที่รักในเคป๊อปถูกลดค่าเป็นแค่ติ่ง(ต้นฉบับใช้คำว่า groupies ความหมายคือกลุ่มเด็กสาวที่ตามกรี๊ดนักร้อง)ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นคนสำคัญที่ผลักดันกระแสโลกาภิวัตน์ก็ตาม พวกเขาไม่สามารถประกาศอย่างภาคภูมิใจได้ว่าพวกเขาชอบเพลงของไอดอลเคป๊อป นี่ทำให้ผมรู้สึกโกรธ ผมไม่เข้าใจว่าพวกเขาถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ได้อย่างไรในช่วงเวลาที่วงการเพลงและสังคมควรชื่นชมและเคารพพวกเขา
ศิลปินของเราที่กำลังได้รับชื่อเสียงระดับโลก กำลังทำงานเพื่อปลอบประโลมและกระตุ้นจิตใจของแฟนๆ ก็ถูกโจมตีอย่างไม่มีมูลจากบุคคลนิรนาม มีหลายครั้งที่งานที่กลั่นออกมาจากเลือด เหงื่อ และหยาดน้ำตาของพวกเรา ถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องเพื่อหาประโยชน์เข้ากระเป๋าของพวกฉ้อฉล
เพราะแบบนี้ผมถึงได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา ผมได้ต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ และตอนนี้มันก็ยังดำเนินอยู่
ผมไม่ใช่นักปฏิวัติ แต่ผมไม่สามารถมองข้ามความไม่สมเหตุสมผลและเรื่องไม่ปกติในวงการเพลงไปได้ การเพิกเฉย การยอมรับ และการประนีประนอมไม่ใช่หนทางในการดำรงชีวิตของผม ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ หรือมีแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคต แต่เพราะตัวผมเป็นประจักษ์พยานที่รู้ซึ้งถึงความอยุติธรรมนี้
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าความโกรธนั้นกลายมาเป็นอาชีพของผม รู้สึกโกรธเพื่อที่เพื่อนร่วมวงการจะได้รับการประเมินค่าอย่างเป็นธรรมและการดูแลสมเหตุสมผล รู้สึกโกรธต่อการโจมตีและการดูแคลนที่ศิลปินและแฟนคลับได้รับ ต่อสู้เพื่อให้สิ่งที่ผมมองว่าเป็นเรื่องพื้นฐานในระดับสามัญสำนึกอย่างการอุทิศให้กับดนตรีที่ผมรักและอยู่กับผมมาตลอดชีวิตให้เป็นจริงขึ้นมา เช่นเดียวกับที่สู้เพื่อความเคารพและทัศนคติที่ถูกต้องที่มีให้กับศิลปินและแฟนคลับ ท้ายที่สุดมันเป็นทางเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุข
“บังชิฮยอก” ชายผู้ไม่มีความฝันยิ่งใหญ่ และความโกรธเกรี้ยวที่ผลักดันความสำเร็จ
ถอดเทป-แปลอังกฤษ โดย อัน ซองมี สำนักข่าว Korea Herald http://kpopherald.koreaherald.com/view.php?ud=201902271750579774162_2
——————————————
ท่านอธิการบดีโอเซจอง แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลที่เคารพ คณาจารย์ บัณฑิต และญาติของบัณฑิตทุกครอบครัว ผม บังชิฮยอก ซีอีโอบริษัทบิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์
สภาพอากาศวันนี้สดใสและงดงาม ดั่งจะร่วมเฉลิมฉลองให้การสำเร็จการศึกษาของทุกท่านในวันนี้ ผมขอแสดงความยินดีต่อบัณฑิตทุกท่าน
เมื่อตอนที่ท่านอธิการบดีได้ขอให้ผมมากล่าวสุนทรพจน์ในงานวันจบการศึกษา ผมได้รับปากท่านอธิการบดีในทันที เพราะนี่เป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับศิษย์เก่าอย่างผมที่จะได้เข้าร่วม แต่ก่อนที่จะขึ้นมายืนที่โพเดียมแห่งนี้ ผมได้ครุ่นคิดอยู่นาน เพราะตัวผมนั้นนับได้ว่าเป็นคนรุ่นเก่า ผมกังวลว่าสิ่งที่ผมจะพูดนั้นอาจฟังดูเหมือนพวก kkondae (แสลงเกาหลี หมายถึงพวกคนที่แก่หัวรั้นที่ชอบวางท่าสั่งสอนคนอื่น) ผมยังกังวลอีกด้วยว่าสิ่งที่ผมจะพูดถึงนั้นจะมีความหมายต่อบรรดาบัณฑิตที่จะเริ่มต้นก้าวใหม่ในวันนี้หรือไม่
แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็พบว่าสุนทรพจน์ในพิธีมอบปริญญาบัตรนี้เป็นพื้นที่ให้ผู้กล่าวได้บอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ในชีวิตให้กับบรรดาบัณฑิต ซึ่งบางครั้งก็เป็นในฐานะของรุ่นพี่ที่จะบอกเล่าสู่รุ่นน้อง ดังนั้นผมขอเลิกกังวลเรื่องว่าสิ่งที่ผมจะพูดนั้นจะฟังดูเหมือนพวกคนแก่หัวดื้อหรือไม่ และจะพยายามบอกเล่าเกี่ยวกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ผมอาจจะขอโอ้อวดเกี่ยวกับตัวเองเล็กน้อย และจะบอกเล่าถึงการเดินทางของที่ชีวิตผมที่จะเชื่อมโยงถึงชีวิตของคุณเช่นกัน
ผมเข้าเรียนมัธยมปลายในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ในเวลานั้นหากคุณเป็นนักเรียนที่เรียนดี ในระดับมหาวิทยาลัยคุณก็จะเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ ดังนั้นทางเลือกแรกของผมก็เป็นการเข้าเรียนในคณะนิติเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าผมมีความมุ่งมั่นในการเรียนกฎหมายอะไร แต่เป็นเพราะผมวางเป้าหมายตามที่คนอื่นกำหนดมาให้ผมว่านี่คือบันไดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ผมในตอนนั้นไม่มีทั้งความปรารถนาและความฝันใดใด
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาทุกที ในตอนนั้นคะแนนของผมมันค่อนข้างจะก้ำกึ่ง ผมเลยต้องเลือกระหว่างยื่นคะแนนสมัครคณะนิติศาสตร์แล้วเสี่ยงที่จะสอบไม่ติดและต้องรอสอบใหม่ปีถัดไป หรือจะสมัครเข้าเรียนในคณะอื่นที่ไม่ใช่นิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลแห่งนี้ ซึ่งผมเลือกอย่างหลัง อย่างที่ผมได้บอกไป ผมไม่มีความมุ่งมาดปราถนาที่จะเรียนกฎหมาย และผมก็ไม่อยากรอสอบใหม่อีกครั้ง ในตอนนั้นผมค้นหาว่ามีวิชาไหนที่น่าเลือกเป็นสาขาวิชาเอก ผมก็ได้รู้จักกับสาขาวิชาสุนทรียศาสตร์ ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่คาดหวังว่าผมจะเลือกเรียนกฎหมายต่างคัดค้านการตัดสินใจของผมอย่างหนักแน่น แต่ผมไม่ยอมและขู่พวกเขากลับว่า “หากผมสอบไม่ติด(คณะนิติ) มันจะกลายเป็นโชคร้ายนะครับ” นี่คือที่มาว่าผมเข้ามาเรียนในภาควิชาสุนทรียศาสตร์ได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้มาก่อนว่าสุนทรียศาสตร์คืออะไร แต่น่าแปลกมากที่มันช่างเหมาะเจาะกับผม วิชาเรียนต่างๆ ล้วนน่าสนใจ ผมสนุกกับการลงเรียนวิชาต่างๆ ของภาควิชา แม้แต่วิชาที่คนอื่นบอกว่ายาก นั่นอาจจะเป็นเพราะผมมีความสนใจในเรื่องศิลปะและการถกกันเรื่อยเปื่อยก็เป็นได้ ในตอนนั้นผมพักเรื่องดนตรีที่ผมสนใจฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้งเรียนมัธยมต้น และหลงลืมความฝันที่จะประกอบอาชีพในสายดนตรีไปเสียสิ้น
แล้วผมกลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ได้อย่างไร? พูดตามจริงผมเองก็จำไม่ค่อยได้ หลายคนมักคิดว่าการที่บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลจะเลือกเส้นทางชีวิตในสายดนตรีนั้น มันจะต้องมีเรื่องราวหรือการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่แม้ผมจะนึกย้อนไป มันก็ไม่ได้มีช่วงเวลายากลำบากอะไรแบบนั้น ถ้าพูดให้ตอนนี้แล้วล่ะก็ (ที่ผมมาทำงานสายดนตรี)มันเพราะผมทำดนตรี พวกคุณฟังแล้วผิดหวังกันรึเปล่า?
ผมเริ่มทำงานเพลงประหนึ่งถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่าง ผมเริ่มเป็นโปรดิวเซอร์เต็มตัวตั้งแต่ปี 1997 และร่วมกับคุณพัคจินยอง ก่อตั้งบริษัทเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนท์ขึ้นมา หลังจากนั้นผมลาออกจากเจวายพี แล้วก็ตั้งบริษัทบิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์ และทำงานที่นี่ทั้งในฐานะผู้บริหารและโปรดิวเซอร์ เรื่องตลกคือหลังออกจากเจวายพี ตอนนั้นมีทางเลือกเข้ามามากมายแต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าทำไมถึงตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่
ที่ผมเล่าเรื่องของตัวเองมาเสียยืดยาวนี้ ก็เพื่อที่จะบอกว่าบางการตัดสินใจสำคัญๆ หรือช่วงเวลาที่มีความหมายในชีวิตผมจริงๆแล้วก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น และผมจำเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผมไม่ใช่คนทะเยอทะยานที่วางแผนการภาพใหญ่เอาไว้ ไม่ใช่นักฝันผู้ยิ่งใหญ่ พูดอย่างเจาะจงคือผมไม่เคยมีความฝันที่แน่นอน ดังนั้นในแต่ละครั้งที่ผมต้องตัดสินใจ ผมตัดสินใจไปบนฐานของสิ่งที่ผมต้องการจะทำในเวลานั้นๆ
เมื่อคุณมองที่กิจกรรมล่าสุดของบีทีเอสและบิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์ มันยากที่จะเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าไป บีทีเอสชนะรางวัลบิลบอร์ดท้อปโซเชี่ยลอาร์ทติสท์ 2 ปีซ้อน และขายบัตรคอนเสิร์ต 40,000 ใบที่สนามซิตี้ฟิลด์หมดเกลี้ยงทันที เมื่อเร็วๆนี้บีทีเอสได้รับเชิญไปเป็นผู้ประกาศรางวัลที่งานแกรมมี่อวอร์ด สร้างอีกสถิติของการเป็น “วงแรก” สื่อต่างประเทศถึงขั้นอวยว่าบีทีเอสคือ “บีทเทิ่ลส์แห่งยุคสมัยของยูทิวบ์” นี่ยังไม่รวมเรื่องที่บีทีเอสเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่ทำสเตเดียมทัวร์ในเมืองใหญ่รอบโลกได้
ด้วยความสำเร็จนี้ทำให้ผมได้รับเกียรติมีชื่อติดในทำเนียบ “25 ผู้สร้างนวัตกรรมชั้นนำ” ของนิตยสารบิลบอร์ด ขณะที่บิ๊กฮิตเอนเตอร์เทนเมนท์ถูกประเมินว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอุตสาหกรรมบันเทิงและมีมูลค่าบริษัทถึงหลักพันล้าน(Unicorn Company)
เวลาที่ได้ยินเรื่องราวนี้ผ่านข่าว ทุกคนมักคิดว่ามันต้องมีความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้แน่ๆ หรือไม่ก็บังชิฮยอกต้องเป็นคนที่ทะเยอทะยานวางแผนการสำหรับอนาคตแล้วทำมันให้สำเร็จไปทีละอย่างแน่ๆ แต่เมื่อได้ยินผมบอกว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้มีความฝันหรือความทะเยอทะยานขนาดนั้น คุณก็จะสงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ และที่ผมพูดมานั้นไม่ได้แปลว่าที่ผมมายืนในจุดที่ผมอยู่ในตอนนี้ได้เพียงเพราะผมทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ผมขอเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่นสักหน่อย
ผมเป็นคนที่ไม่ได้มีความฝันมากมายอะไร แต่ผมเป็นคนที่มีความไม่สบอารมณ์อยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมคิดว่าวลีนี้อธิบายความเป็นตัวผมได้ดีที่สุด เมื่อมองกลับไปถึงสถานะของบิ๊กฮิตและบีทีเอสในปัจจุบัน ภาพที่แจ่มชัดขึ้นมาในความคิดของผมคือตัวผมเป็นคนที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
โลกใบนี้เต็มไปด้วยการประนีประนอม หลายคนพึงพอใจกับการที่จะต้องเปลี่ยน(สิ่งที่ตัวเองต้องการ)แม้ว่ามันจะมีหนทางที่ดีกว่านั้น พวกเขาให้เหตุผลกับกับประนีประนอมหลากหลายเหตุผล ตั้งแต่เรื่องที่ไม่อยากเด่นออกมาจากคนอื่น ไม่อยากที่จะสร้างปัญหา หรือกระทั่งคิดว่าเรื่องนี้ก็ต้องทำแบบนี้นี่แหละ แต่โดยธรรมชาติของผมแล้ว ผมเป็นคนไม่ประนีประนอม เมื่อเป็นเรื่องงานของผม ผมจะออกปากต่อว่าเสมอถ้าพบว่ายังไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ แม้ในปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมโดยตรงก็ตาม และถ้าหลังจากนั้นสถานการณ์ของปัญหายังไม่ดีขึ้นผมก็จะรู้สึกโกรธจัด
บางคนอาจจะจำผมได้ในบทบาทเมนเทอร์จากรายการ “Star Audition: The Great Birth.” คุณอาจจะจำภาพที่ผมแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวเมื่อผู้เข้าแข่งขันไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด ผมรู้ว่าผมดูไม่ใช่คนที่น่าคบหาเสียเท่าไหร่ ตั้งแต่นั้นมาผมตระหนักว่าการแสดงออกถึงความโกรธนั้นไม่ได้ส่งผลดี ผมเลยไม่ค่อยได้เกรี้ยวกราดแบบนั้นแล้ว สาเหตุที่ผมเล่าถึงรายการนี้ก็เพราะนั่นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่จะอธิบายว่าตัวผมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจนั้นเป็นอย่างไร
นิสัยแบบนี้ของผมนั้นสะท้อนอยู่ในงานของผม รวมถึงอยู่ในบริษัทที่ผมตั้งขึ้นด้วย ผมโกรธความรู้สึกพึงพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองแทนที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่พอใจธรรมเนียมปฏิบัติที่จะยอมรับสิ่งธรรมดาสามัญด้วยเหตุผลที่หลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้นผมรู้สึกไม่มีความสุขเป็นที่สุดเมื่อได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงอุตสาหกรรมดนตรี วงการนี้มันไร้แก่นสาร ไม่ยุติธรรม และไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง เมื่อผมเลือกเดินในเส้นทางอาชีพสายนี้และรู้จักกับมัน ก็ยิ่งทำให้ผมโกรธมากขึ้น ผมรู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่ผมรักที่สุดอย่างดนตรีถูกปฏิบัติด้วยอย่างไม่สมควรและถูกหาประโยชน์จากแวดวงนี้
นับตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นนักแต่งเพลง ผมทำงานในวงการเพลงมา 21 ปีแล้ว แต่เพื่อนร่วมงานของผม รุ่นน้องของผม ยังคงเผชิญกับความยากลำบากและความรู้สึกท้อแท้ต่อความเป็นจริงที่เป็นไป หลายคนยังรู้สึกอับอายที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองทำงานในวงการนี้ เพราะธรรมเนียมปฎิบัติที่เน่าเฟะของวงการ และความไม่เป็นธรรมและการถูกดูแคลนจากสังคม เด็กรุ่นใหม่ก็ยังคงมองว่าแม้จะทำงานอย่างหนัก แต่ค่ายเพลงก็จะจ่ายค่าตอบแทนให้เพียงเล็กน้อย
สถานการณ์ของลูกค้าของเราก็ไม่ต่างกันนัก แฟนที่รักในเคป๊อปถูกลดค่าเป็นแค่ติ่ง(ต้นฉบับใช้คำว่า groupies ความหมายคือกลุ่มเด็กสาวที่ตามกรี๊ดนักร้อง)ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นคนสำคัญที่ผลักดันกระแสโลกาภิวัตน์ก็ตาม พวกเขาไม่สามารถประกาศอย่างภาคภูมิใจได้ว่าพวกเขาชอบเพลงของไอดอลเคป๊อป นี่ทำให้ผมรู้สึกโกรธ ผมไม่เข้าใจว่าพวกเขาถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ได้อย่างไรในช่วงเวลาที่วงการเพลงและสังคมควรชื่นชมและเคารพพวกเขา
ศิลปินของเราที่กำลังได้รับชื่อเสียงระดับโลก กำลังทำงานเพื่อปลอบประโลมและกระตุ้นจิตใจของแฟนๆ ก็ถูกโจมตีอย่างไม่มีมูลจากบุคคลนิรนาม มีหลายครั้งที่งานที่กลั่นออกมาจากเลือด เหงื่อ และหยาดน้ำตาของพวกเรา ถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องเพื่อหาประโยชน์เข้ากระเป๋าของพวกฉ้อฉล
เพราะแบบนี้ผมถึงได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา ผมได้ต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ และตอนนี้มันก็ยังดำเนินอยู่
ผมไม่ใช่นักปฏิวัติ แต่ผมไม่สามารถมองข้ามความไม่สมเหตุสมผลและเรื่องไม่ปกติในวงการเพลงไปได้ การเพิกเฉย การยอมรับ และการประนีประนอมไม่ใช่หนทางในการดำรงชีวิตของผม ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ หรือมีแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคต แต่เพราะตัวผมเป็นประจักษ์พยานที่รู้ซึ้งถึงความอยุติธรรมนี้
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าความโกรธนั้นกลายมาเป็นอาชีพของผม รู้สึกโกรธเพื่อที่เพื่อนร่วมวงการจะได้รับการประเมินค่าอย่างเป็นธรรมและการดูแลสมเหตุสมผล รู้สึกโกรธต่อการโจมตีและการดูแคลนที่ศิลปินและแฟนคลับได้รับ ต่อสู้เพื่อให้สิ่งที่ผมมองว่าเป็นเรื่องพื้นฐานในระดับสามัญสำนึกอย่างการอุทิศให้กับดนตรีที่ผมรักและอยู่กับผมมาตลอดชีวิตให้เป็นจริงขึ้นมา เช่นเดียวกับที่สู้เพื่อความเคารพและทัศนคติที่ถูกต้องที่มีให้กับศิลปินและแฟนคลับ ท้ายที่สุดมันเป็นทางเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุข