การประกาศรวม 2 ธนาคาร คือธนาคารทีเอ็มบี และธนาคารธนชาต ที่มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding MOU) ระหว่าง ING Groep N.V. (ING), บมจ. ทุนธนชาต (TCAP), Bank of Nova Scotia (BNS), ธนาคารธนชาต (TBANK) และธนาคารทหารไทย (TMB) เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบธนาคารไทย
น่าสนใจว่า การลงนามครั้งนี้ มีคู่สัญญา 5 ฝ่าย ได้แก่ Bank of NovaScotia (BNS), ING Grope N.V. (ING), ธนาคาร ธนชาต (TBANK), บมจ. ทุนธนชาต (TCAP) และธนาคารทหารไทย (TMB) ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะเริ่มต้นกระบวนการตรวจสอบสถานะการเงิน (Due Diligence) ต่อเนื่องจากถึงการเจรจาร่วมกันเกี่ยวกับสัญญาหลัก (Definitive Agreement) ระหว่างคู่สัญญา
คาดว่าหลังการรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ ING และ TCAP จะเป็นผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารใหม่ ซึ่งคาดว่าทั้งคู่จะมีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 20% ในธนาคารใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการรวมกิจการ โดย” กระทรวงการคลัง” จะคงสถานะผู้ถือหุ้นใหญ่ต่อไป
ขณะเดียวกัน การลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กระทรวงการคลัง จะต้องหาเงินเพิ่มประมาณ 1 หมื่นล้านเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในธนาคารใหม่ ขณะที่ทีเอ็มบี ก็จะต้องเพิ่มทุน 1 แสนล้านเพื่อการนี้
ต่างจาก”ธนชาต” ที่จะต้อง”ลด”ขนาดลง เพราะมีขนาดสินทรัพย์ที่ใหญ่กว่าทีเอ็มบีอยู่มาก โดยในเบื้องต้น ธนาคารฯได้แจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ก่อนการรวมกิจการ ธนาคารธนชาต จะดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อเสริมบทบาทการดำเนินธุรกิจ Financial Holding Company ของทุนธนชาตให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมทั้งลดขนาดกิจการลงให้ใกล้เคียงกับขนาดของทีเอ็มบี ภายหลังการเพิ่มทุน เพื่อความเหมาะสมในการรวมกิจการ
ซึ่งในเบื้องต้น ธนชาตจะเสนอขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยและเงินลงทุนอื่นให้แก่ผู้ถือหุ้นธนชาตตามสัดส่วนการถือหุ้น ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ธนชาต จำกัด(มหาชน) บริษัทธนชาตประกันภัย จำกัด(มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด และบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด(มหาชน) และเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด(มหาชน) บริษัท ปทุมไรชมิท แอนด์ แกรนารี จำกัด(มหาชน) รวมถึงเงินลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์บางบริษัท
ที่สำคัญก็คือ “ทุนธนชาต” จะยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 20% และร่วมอยู่ในคณะกรรมการบริหารของธนาคารใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่า ในความจริงแล้ว”ธนชาต” ไม่ได้ถูกทีเอ็มบี ฮุบเหมือนที่เคยเป็นข่าว เพราะอย่างที่บอกธนชาตต้องลดขนาดตัวเองลง ขณะที่ทีเอ็มบีต้องเพิ่มขนาดตัวเองขึ้นเพื่อให้สามารถใส่ชุดแต่งงานที่พอดีกันได้
“ความใหญ่”ของธนาคารใหม่ที่มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านคน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทย จึงเป็นสัญญาณว่า งานนี้วงการธนาคารน่าจะต้องสั่นสะเทือนแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การลงนามครั้งนี้เป็นเพียงบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding MOU) นั่นหมายความว่า กระบวนการต่างๆดำเนินต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในรูปแบบนิติบุคคลเดียวตามกฎสถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (Single Presence Rule) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทุกอย่างจึงลงตัว
TMB รวมธนชาต...ดีลนี้วงการแบงก์สะเทือน
น่าสนใจว่า การลงนามครั้งนี้ มีคู่สัญญา 5 ฝ่าย ได้แก่ Bank of NovaScotia (BNS), ING Grope N.V. (ING), ธนาคาร ธนชาต (TBANK), บมจ. ทุนธนชาต (TCAP) และธนาคารทหารไทย (TMB) ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะเริ่มต้นกระบวนการตรวจสอบสถานะการเงิน (Due Diligence) ต่อเนื่องจากถึงการเจรจาร่วมกันเกี่ยวกับสัญญาหลัก (Definitive Agreement) ระหว่างคู่สัญญา
คาดว่าหลังการรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ ING และ TCAP จะเป็นผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารใหม่ ซึ่งคาดว่าทั้งคู่จะมีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 20% ในธนาคารใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการรวมกิจการ โดย” กระทรวงการคลัง” จะคงสถานะผู้ถือหุ้นใหญ่ต่อไป
ขณะเดียวกัน การลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กระทรวงการคลัง จะต้องหาเงินเพิ่มประมาณ 1 หมื่นล้านเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในธนาคารใหม่ ขณะที่ทีเอ็มบี ก็จะต้องเพิ่มทุน 1 แสนล้านเพื่อการนี้
ต่างจาก”ธนชาต” ที่จะต้อง”ลด”ขนาดลง เพราะมีขนาดสินทรัพย์ที่ใหญ่กว่าทีเอ็มบีอยู่มาก โดยในเบื้องต้น ธนาคารฯได้แจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ก่อนการรวมกิจการ ธนาคารธนชาต จะดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อเสริมบทบาทการดำเนินธุรกิจ Financial Holding Company ของทุนธนชาตให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมทั้งลดขนาดกิจการลงให้ใกล้เคียงกับขนาดของทีเอ็มบี ภายหลังการเพิ่มทุน เพื่อความเหมาะสมในการรวมกิจการ
ซึ่งในเบื้องต้น ธนชาตจะเสนอขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยและเงินลงทุนอื่นให้แก่ผู้ถือหุ้นธนชาตตามสัดส่วนการถือหุ้น ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ธนชาต จำกัด(มหาชน) บริษัทธนชาตประกันภัย จำกัด(มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด และบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด(มหาชน) และเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด(มหาชน) บริษัท ปทุมไรชมิท แอนด์ แกรนารี จำกัด(มหาชน) รวมถึงเงินลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์บางบริษัท
ที่สำคัญก็คือ “ทุนธนชาต” จะยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 20% และร่วมอยู่ในคณะกรรมการบริหารของธนาคารใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่า ในความจริงแล้ว”ธนชาต” ไม่ได้ถูกทีเอ็มบี ฮุบเหมือนที่เคยเป็นข่าว เพราะอย่างที่บอกธนชาตต้องลดขนาดตัวเองลง ขณะที่ทีเอ็มบีต้องเพิ่มขนาดตัวเองขึ้นเพื่อให้สามารถใส่ชุดแต่งงานที่พอดีกันได้
“ความใหญ่”ของธนาคารใหม่ที่มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านคน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทย จึงเป็นสัญญาณว่า งานนี้วงการธนาคารน่าจะต้องสั่นสะเทือนแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การลงนามครั้งนี้เป็นเพียงบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding MOU) นั่นหมายความว่า กระบวนการต่างๆดำเนินต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในรูปแบบนิติบุคคลเดียวตามกฎสถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (Single Presence Rule) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทุกอย่างจึงลงตัว