***บทสรุป 1 ปีกับการไปทำงานที่ออสเตรเลียด้วยวีซ่า Work and Holiday***

สวัสดีค่ะ หลังจากที่เราได้ไปใช้ชีวิต 1 ปีที่ประเทศออสเตรเลียด้วย Work and Holiday วีซ่า ก็อยากจะกลับมารีวิวชีวิตตลอด 1 ปีให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้าง สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านกระทู้เก่าๆ ของเราสามารถกลับไปย้อนอ่านได้ตามนี้เลยค่ะ

(CR) *** Work and Holiday life in Sydney ออสซี่จ๋าเราต้องรอด ***
https://pantip.com/topic/37555476

CR เล่าประสบการณ์เข้ารพ.เพราะกรวยไตอักเสบเฉียบพลันที่ออสเตรเลียกับการเคลมประกัน Allianz ฉบับเด็ก Work and Holiday Visa
https://pantip.com/topic/38054370

ครั้งหนึ่งในชีวิตกับแนวประการังที่ยาวที่สุดในโลก Great Barrier Reef @ Cairns, Australia ฉบับเด็ก Work & Holiday Visa
https://pantip.com/topic/38182593

ตอนนี้เรากลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่ไทยค่ะ ต้นเดือนหน้าจะบินกลับไปซิดนีย์ด้วยวีซ่าชนิดนี้ในปีที่ 2 ใครสนใจติดตามเพจของเราได้นะคะ >>

Facebook Page : Alone in the wild : ออสซี่จ๋าเราต้องรอด
( Link นี้ก็ได้ค่ะ >>> https://www.facebook.com/Aussiejourney.diary/ )

ใครที่ไม่รู้ว่า Work and Holiday visa คืออะไร...โดนหลอกไปทำงานหรือเปล่า? จะบอกว่าวีซ่าชนิดนี้รัฐบาลออสเตรเลียได้ให้โควต้าคนไทยที่เรียนจบป.ตรีแต่อายุไม่เกิน 31 ปีจำนวน 500 คนต่อปี สามารถไปทำงานและเรียนที่ออสเตรเลียได้อย่างอิสระเสรีโดยไม่ผ่านเอเจนซี่ใดๆ เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยเงื่อนไขคือทำงานได้มากที่สุดไม่เกิน 6 เดือนต่อหนึ่งนายจ้าง (ก็คือหลัง 6 เดือนก็เปลี่ยนนายจ้างใหม่) วีซ่าชนิดนี้มีข้อดีคือเราไม่ผ่านเอเจนซี่ใดๆ เราดำเนินการเองทั้งหมดทั้งหางาน ขอวีซ่า การเดินทาง หาบ้าน ฯลฯ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการไปถูกมาก แต่ข้อเสียคือไปตายเอาดาบหน้านั่นเอง 5555

โดยวีซ่าชนิดนี้สามารถต่อได้สูงสุด 3 ปีแล้วนะคะ แต่ตอนต่อวีซ่าอายุก็ต้องไม่เกิน 31 เน้อ โดยเงื่อนไขในการต่อวีซ่าปีที่ 2 คือคุณจะต้องขึ้นไปทำงาน Hospitality ในเขตทางเหนือ (งานบริการต่างๆ พวกเสริฟ์ , House keeping) หรือทำงานฟาร์มในเขตใดๆ ก็ได้ในออสเตรเลียเป็นระยะเวลา 88 วันหรือประมาณ 3 เดือนในปีที่ 1 ก็สามารถขอต่อวีซ่าปีที่ 2 ได้ ส่วนเงื่อนไขในการขอต่อวีซ่าปีที่ 3 คือต้องไปทำงานฟาร์ม 6 เดือนในเขตใดๆ ก็ได้ในออสเตรเลียในปีที่ 2 จึงจะขอต่อวีซ่าปีที่ 3 ได้ (รายละเอียดวีซ่าปีที่ 3 รอข้อมูลจาก Australia immigration อีกครั้งนะคะเพราะเพิ่งประกาศเมื่อปลายปีที่แล้ว เรายังไม่ชัวร์) เราคิดว่าวีซ่าตัวนี้มีขึ้นเพื่ออุดช่องว่างการขาดแคลนแรงงานในเขตทางเหนือของออสเตรเลียซึ่งเป็นเขตกันดารนั่นเองค่ะ เพราะคนส่วนใหญ่จะไปเมืองทางใต้ๆ เช่น ซิดนีย์ เมลเบริน์ บริสเบน เพิร์ท ซะเป็นส่วนใหญ่

เนื่องจากตอนที่เราไปนั้นอายุเรา 29 ปลายๆ แล้วค่ะ ทำให้เราสามารถต่อวีซ่าได้แค่ปีที่ 2 เท่านั้น โดยแผนในปีแรกของเราก็คือเราจะบินไปอยู่ซิดนีย์ 6 เดือนแล้วจะย้ายไปเมืองแคนส์ (Cairns) ทางเหนืออีก 6 เดือนเพื่อจะหางาน Hospitality เพื่อต่อวีซ่าในปีที่ 2 ค่ะ


เนื่องจากเรามี Background ด้าน Marketing ที่เมืองไทยมาก่อนประมาณเกือบ 6 ปี และตอนบินไปซิดนีย์บริษัทที่เราไปสมัครงานคือ Event Agency ซึ่งเพื่อนคนอังกฤษที่เราทำงานด้วยที่เมืองไทยเป็นคนแนะนำค่ะ เมื่อเราได้ไปสัมภาษณ์เราก็ได้งานนี้ค่ะ คือตอนนั้นบอกเลยเก่งอย่างเดียวไม่ได้ต้องโชคช่วยด้วย ก่อนจะบินมาเราบอกตัวเองเลยว่าให้วางอีโก้ความเป็น Senior Marketer ที่ไทยไว้ มาที่นี่ทุกคนคือเริ่มใหม่จากศูนย์ ทุกอย่างคือการเรียนรู้ เค้าให้ทำอะไรก็จงทำไป โดย CEO เราเค้าเป็นเจ้าของอีก 4 บริษัท เราทำหน้าที่เป็น Marketing Coordinator ให้กับ Event Agency ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ Admin ให้กับบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดด้วยค่ะ

วันแรกที่เราไปทำงานรู้สึกเลยว่ามันเป็นความโก้เก๋มากๆ เพราะออฟฟิสเราอยู่กลางเมืองเลย ตรงข้ามตึก Queen Victoria Building แล้วคือเข้าใจมั้ยว่าสำหรับมนุษย์ออฟฟิศที่ไทยธรรมดาๆอย่างเราไม่เคยฝันว่าวันหนึ่งเราจะมาเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ซิดนีย์ได้เลย แรกๆยอมรับว่าเห่อมากกกกก แต่พอทำงานไปสักพักก็ชินค่ะ 5555  ส่วนบรรยากาศการทำงานกับฝรั่งก็อย่างที่รู้ๆกันคือพูดตรงและแรง บางทีเราก็แบบแรงไปปะวะ แต่พอเลิกงานก็กอดคอชวนกันไปกินเบียร์ค่ะไม่มีอะไรค่ะ 5555 การทำงานออฟฟิศเราไม่ต้องเหนื่อยไปแบกไปหามแบบงานบริการก็จริง...แต่ความเครียดก็มีมากกว่าค่ะ ตอนนั้นเราเป็นไมเกรนบ่อยมากๆ ใครที่ทำงาน Event จะรู้ดีเลยว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา เราเคยมีงาน Event ที่เมือง Adelaide เจ็ดโมงเช้า...สามทุ่มคืนก่อนวันงานสตาฟโทรมาบอกเราว่าหกล้มขาเคล็ดพรุ่งนี้ไปทำงานไม่ได้แล้ว..คือเราก็ต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตรงหน้า หลังๆเครียดมากจริงๆค่ะเพราะปัญหาเยอะเหลือเกิน แต่เอาจริงๆ ก็ถือว่าดีแล้วแหละที่ได้งานที่นี่ เพราะฉะนั้นเราจะไม่บ่นเยอะค่ะ 555

ตึก Queen Victoria Building ค่ะ

คนออสซี่รักการดื่มมาก หลังเที่ยงคือดื่มได้เลยไม่โดนหาว่าขี้เหล้า แต่การดื่มของคนที่นี่คือเลิกงานห้าโมงเย็นมนุษย์ออฟฟิศจะตรงดิ่งไปที่บาร์ทันทีค่ะ ดื่มแค่แก้วสองแก้วเม้ากับเพื่อนๆพอเป็นกระไสระบายความเครียดแล้วสองสามทุ่มก็กลับบ้านนอน ไม่ใช่กินจนเช้าวันใหม่แบบบ้านเรา ออฟฟิศเราวันศุกร์จะเลิกสี่โมงเย็นค่ะ โดยบ่ายสามนายจะซื้อเบียร์มาเป็นลังแระแล้วก็แจกทุกคน เราก็แบบโอ้ยโทรศัพท์ลูกค้าก็ต้องรับ...เบียร์ก็ต้องดื่ม 5555

นอกจากงานออฟฟิศแล้วตอนนั้นเราหางานพิเศษทำเพิ่มด้วยค่ะ งานแรกคือเป็นคนขายตั๋ว Comedy Club ทำงานวีคละแค่ 3 วัน เวลาหกโมงเย็นถึงสามทุ่มครึ่ง ได้ $20/ชม. งานสบายเงินสบาย ส่วนอีกงานซึ่งเราชอบมากๆ คือเพ้นท์หน้าเด็กค่ะ คือเราชอบเด็กและเราชอบระบายสี งานนี้ทำแค่บางเสาร์อาทิตย์ที่มี Event ได้ค่าแรงสวยๆชม.ละ $35-50 แต่คืออยากทำมันทุกวันเลยค่ะงานนี้ 555

สวนสาธารณะในซิดนีย์

ส่วนเสาร์อาทิตย์เราก็มักจะออกไปข้างนอกค่ะ บอกเลยอยู่ซิดนีย์มีอะไรให้ไปดูไปทำตลอด แค่เปิดดูทีวีเรายังรู้สึกเลยอ่ะว่าเสียเวลา (เว่อร์มาก 555) เรารักซิดนีย์ตรงที่เราชอบทะเลค่ะ และซิดนีย์ก็มีชายหาดมากมายเหลือเกิน เราไปมันทุกอาทิตย์..ไปจนกว่าผิวจะแทน 5555 คือเข้าใจว่ากรุงเทพร้อนและมีมลพิษ คนก็เลยเอะอะก็ไปห้าง แต่ที่นี่อากาศดี วิวสวย เสาร์อาทิตย์เราก็มักจะไปอาบแดดตามหาดต่างๆ (ไม่เล่ามากเดี๋ยวจะซ้ำกับกระทู้เก่า ไปอ่านเอาได้นะคะ) บางทีก็ไปนอนเล่นที่สวนสาธารณะค่ะ คนที่นี่รักการทำกิจกรรมกลางแจ้งมาก เราก็ชอบค่ะเพราะอากาศดี วิวก็ดี เพื่อนส่วนใหญ่ที่เราไป Hang out ด้วยจะเป็นเพื่อนออสซี่ไม่ก็คนอังกฤษที่ทำงานออฟฟิศเดียวกันหรือออฟฟิศข้างเคียงค่ะ แล้วก็จะมีรูมเมทที่เป็นคนญี่ปุ่น คือเรามาต่างบ้านต่างเมืองเราก็พยายามจะทำอะไรที่แปลกใหม่ค่ะ มีไปเรียน Surf ไปดูจิงโจ้ ไปปีนเขา ฯลฯ

หลังจากอยู่ซิดนีย์มาได้สักพักเราก็บินไปเที่ยว Melbourne 4 วันค่ะ โดนหัวใจคือการไป Great Ocean Road ค่ะ โดยการไปครั้งนี้เราไปคนเดียวค่ะ หลังจบทริปได้เพื่อนมาอีกเยอะแยะ ปีนี้นัดกับหมออเมริกันกับสาวใหญ่คนอังกฤษที่เจอกันในทริปจะไปเที่ยวนิวซีแลนด์ด้วยกันด้วยค่ะ

Great Ocean Road

ชีวิตของเราในซิดนีย์ก็ไม่ได้เรียกว่าสุขมากเหลือเกิน..เรียกว่ากลางๆค่อนไปทางดีแล้วกัน การเงินก็ไม่เดือดร้อน เราไปช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้าเกือบทุกวัน 555 แล้วเราชอบเมืองด้วย ซิดนีย์คืออยู่ตรงกลางของความสงบและเมืองใหญ่ มีความปลอดภัยในชีวิตค่อนข้างสูง ผู้คนกลางๆไม่ดีไม่ร้าย อาจเป็นเพราะเราก็ผ่านโลกมาพอสมควรก็เลยไม่ได้คาดหวังมาก เราพยายามมองโลกแง่บวก คิดว่าจะมีสักกี่คนที่ได้มาใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนจริงๆแบบนี้ คือการมาเที่ยวกับการมาอยู่มาทำงานมันก็ต่างกันนะคะ เราโชคดีด้วยที่ไ่ด้งานตรงนี้ทำให้เราได้สัมผัสวัฒนธรรมและวิถีชีวิตคนออสซี่จริงๆ ก่อนจะไปเมืองนอกเราบอกตัวเองทุกครั้งว่าเรามาหาความแปลกใหม่และฝึกภาษา เพราะฉะนั้นเราจะพยายามคบกับเพื่อนต่างชาติให้มากที่สุด เพื่อนคนไทยมีเยอะแล้วเนาะที่ไทย จะหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องคิดเหมือนเรานะคะ ความสุขในชีวิตคนเราต่างกัน บางคนมา Work and Holiday เพื่อเก็บเงินจริงๆ และก็คบแต่กับคนไทยเพราะสบายใจ...คือถ้ามีความสุขแล้วไม่เดือดร้อนใครก็ทำไปเถอะค่ะ ไม่ต้องเอาชีวิตใครเป็นบรรทัดฐาน

หลังจากอยู่ซิดนย์มา 5 เดือนกว่าๆ ฟ้าก็ผ่าลงกลางวันเเสกๆค่ะ (ตัดอารมณ์มั้ย 555) คือบริษัทเรามีงาน Event ใหญ่มากๆๆๆๆ ซึ่งตามแผนเราจะออกสิ้นเดือนกรกฏาค่ะ แต่งาน Event นี้ต้องเตรียมตั้งแต่มิถุนา ซึ่งนายก็ไม่อยากให้เราทำงานครึ่งๆ กลางๆ แล้วออกเพราะงานนี้สำคัญมาก เราจึงถูกขอให้ออกก่อนค่ะ (โคตรเศร้า) ทำให้จากเดิมเราจะไปแคนส์สิ้นกค. เราจึงต้องเปลี่ยนแผนไปเดือนมิถุนาแทนค่ะ

จะบอกว่าตอนจะไปเศร้ามาก ร้องไห้ล่วงหน้าไป 3 อาทิตย์ (โคตรเว่อร์ 555) คือเรารักซิดนีย์มาก เราเคยไปอยู่ต่างประเทศมาหลายที่แต่ไม่เคยรู้สึกที่ไหนเป็นบ้านเหมือนที่นี่เลยค่ะ ก่อนจะไปแบบดราม่าจัด เพื่อนก็จัดงานเลี้ยงปลอบแต่ก็ไม่ช่วยอะไร 5555 ชีวิต Chapter แรกจบแล้วค่ะ ไปแคนส์คือเริ่มใหม่หมดจากศูนย์...ตอนนี้แหละค่ะบททดสอบที่ยากหินกว่าได้เริ่มขึ้นแล้ว...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่