อันนี้เป็น review + diary ย้อนหลังตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน บันทึกการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต และไปแบบ ฉายเดี่ยวซะด้วย จะเป็นไงกันลองดูละกันครับ

แรกเริ่มจากที่ทางเว็บ official ของ series anime Love Live! Sunshine ได้ประกาศตั๋ว concert Aqours 4th Love Live! Sailing to the sunshine รอบพิเศษขึ้นมา พร้อมที่พัก 3 วัน 2 คืน ราคา 52,000 เยน สำหรับผู้ที่ถือ passport ต่างประเทศเท่านั้น (ปกติแล้วคอนที่ญี่ปุ่น จะต้องซื้อซีดีเพลง ส่งโค้ดลุ้นเอา หรือ รอรอบปกติที่ต้องเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้น) เลยลองกดสมัครไปดู ผ่านทาง Yokoso Japan แต่ก็สมัครไปคนเดียว
ซึ่งผลก็คือ ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ได้นั่นเอง
ผลนี่ลุ้นมากๆ เพราะมันจะประกาศ คนที่ไม่ได้ Day 1 > คนที่ได้ Day 1 > คนที่ไม่ได้ Day 2 > คนที่ได้ Day 2 ตอนที่เมลเข้ามานี่ กดไปมือสั่นไปเลยทีเดียว (รู้สึกเหมือนสุ่มกาชา ระดับโลก ได้ 555)
ซึ่งในกำหนดการบอกว่า ให้มารับตั๋วที่หน้างาน 1 วันก่อนวันแสดงจริง ซึ่งของผมเป็นรอบ Day 2 อาทิตย์ที่ 18 พฤศจิ ต้องไปรับบัตร เสาร์ที่ 17 พฤศจิ และเพื่อความปลอดภัยกันเครื่องบินดีเลย์และหลงทาง เลยตัดสินใจไปตั้งแต่วันที่ 16 เลย และกำหนดกลับ วันที่ 19 ตอนเย็น อันนี้เสียดายมากๆที่ไม่ได้อยู่เที่ยวนานๆไปเลย เพราะว่าช่วง 9-11 ต้องลาไปสอบ 3 วัน และวันที่ 20 มีภาระงานบังคับที่ลาไม่ได้ เลยได้แค่เต็มที่ 4 วัน 😭
ตั๋วที่จอง จองไปกับการบินไทย ได้ช่วงโปรของการบินไทยพอดี ไปกลับ 19,000 บาท เพราะตอนนั้นพวก Scoot, Airasia X ราคาขั้นต่ำ 16,000 แถมโปรต่างๆก็ไม่คลุมช่วงที่ไปอีก เลยยอมกดโปรของการบินไทยไปเอา full service เวลาที่กดจองไปประมาณ 1 เดือนก่อนไปพอดี (แต่แล้วไม่ทันไร หลังก็หักจนได้ เพราะถัดมาไม่กี่วัน มันก็หลุด Airasia X ไปกลับรวม 14,000 แต่ช่างมัน เอาก็เอาวะ ไปครั้งแรกก็ขอ full service ละกัน)
วันที่ 15 เดินทางจากหาดใหญ่ลงสุวรรณภูมิ ตอน 21.35 ถึงประมาณ 23.00 จากนั้นนอนค้างที่สนามบินหน้าเค้าเตอร์เลย แต่นอนหลับๆตื่นๆ เพราะคนเดินไปมาเยอะมาก
เข้าสู่ Day 1 16/11/61
04.00 ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปที่ชั้น B ไปรอแลกเงินที่ Superrich อันนี้แนะนำไปยืนๆรอตั้งแต่ 05.00 เลยนะครับ เพราะคนมารอแลกเยอะมาก พอเปิด 05.30 ผมได้คิวที่สองพอดี แลกไป 20,000 บาท เจ้าหน้าที่บอกว่าเพิ่มอีก 370 บาท จะได้ 70,000 เยนพอดี (Rate 0.291) เลยจัดไปครับ
06.15 ก็ไปต่อคิวเชคอินที่เค้าเตอร์การบินไทย ต่อแถวประมาณครึ่งชม เสร็จ ก็ผ่านตรวจ Passport ไปรอตามปกติ ช่วงนี้ก็เดินเข้ามาถ่ายรูปเล่นๆ คุยกับแม่ก่อนขึ้นเครื่องครับ

07.30 Board ขึ้นเครื่อง ไฟล์ท TG 676 บินตอน 08.00 สรุปได้นั่งเจ้าปลาวาฬ A380 ปกติไม่เคยนั่งเครื่องใหญ่ระดับนี้มาก่อน ถือว่าตื่นเต้นพอสมควรเลย แต่ทว่า...

ไอปลาวาฬตูดแหกกกก เพราะช่องเก็บของปิดไม่ได้ เครื่องดีเลย์หนักมาก ได้บินจริงคือ 12.30 ตอนแรกแก้ไข 30 นาที จากนั้นบอกว่าซับซ้อนกว่าที่คิดเลยขอเป็น 1.5 ชั่วโมง และสุดท้ายแก้ไขไม่สำเร็จเปลี่ยนเครื่องเลย
ส่วนตัวของผมก็ลำบากเล็กน้อย เพราะตามแพลน ช่วงเย็นๆค่ำๆจะเดินเที่ยวสำรวจตลาด Ameyoko เลยต้องเป็นหมันไป แต่ที่หนักกว่าคือทางฝรั่งที่ต้องต่อเครื่องไปอเมริกานี่แหละที่ต้องเลื่อนไฟล์ทกันวุ่นวายหมดเลย ช่วงที่รอก็ได้แซนวิชกับน้ำเปล่ามากินก็แก้หิวได้นิดหน่อย
12.30 หลังจากย้ายเครื่องเรียบร้อยก็เตรียมบินได้ ผมนั่ง Economy ที่นั่งก็โอเคดี นั่งสบายดี ยืดแขนขาได้พอควร มีผ้าห่มกับหมอนมาให้ แต่ไม่ได้แกะผ้าห่มเลย เพราะแอร์ก็ไม่ได้เย็นมาก ถ้าห่มผ้านี่ร้อนตาย จอ Entertainment ก็พอใช้ ทัชสกรีนกดไม่ค่อยติด ปุ่มกดก็รอนานหน่อย

อาหารมื้อเที่ยง (ที่ควรจะเป็นอาหารเช้า) เป็นสตูว์หมู ผลไม้รวม โยเกิร์ต อร่อยเลยทีเดียว ชอบสตูว์มาก เคี้ยวหนุบๆ แล้วน้ำในเนื้อออกมานี่แหล่มมาก ผักก็เคี่ยวจนนิ่มดี
นั่งดู Deadpool + The MEG พลางๆ ของการบินไทยมีหูฟังมาให้ด้วย แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบเท่าไร เลยเอาหูฟังตัวเองมาเสียบแทน เบื่อๆก็ดู Inflight view ไปเรื่อยๆ

เครื่องดื่มก็มาเป็นรอบๆครับ ส่วนตัวชอบน้ำผลไม้รวมที่ติดมากับอาหารเที่ยง กับน้ำแอปเปิ้ล ส่วนไวน์แดงลองแล้วไม่ไหว ออกขมเยอะมาก (ปกติเป็นคนไม่ถูกกับรสขมอยู่แล้ว แต่ก็กินเหล้า เบียร์ ไวน์ได้สบาย แต่อันนี้ไม่ไหวจริงๆ) เครื่องดื่มไม่ได้ขอเพิ่มนอกรอบ เพราะนั่งติดหน้าต่างขี้เกียจลุกไปฉี่หลายรอบ

ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า
ส่วนมื้อช่วงเย็นๆ สปาเก็ตตี้ไก่ซอสเห็ด ซอสอร่อยดีครับ แต่เส้นแอบแข็งไปนิดนึง ถ้าให้นิ่มกว่านี้จะเยี่ยมเลย

สุดท้ายก็ถึงญี่ปุ่น 20.45 ตามเวลาที่นั่น ผมเปลี่ยนเป็น Sim DTAC สำหรับเที่ยวต่างประเทศที่ครบวันคือหักทิ้งได้เลย สัญญาณโดยรวมดี เจอดับช่วงที่นั่งรถไฟเข้าโตเกียวเล็กน้อย นอกนั้นในเขตโตเกียว อุเอโนะ แทบไม่มีหลุดเลย
เข้าแถวตรวจตม. ยาวมาก คนจะเยอะไปไหน ประมาณ 30 นาทีกว่าจะถึงคิว เพราะมีเจ้าหน้าที่แค่ 4 คนเอง ถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรเลย ถ่ายรูปสแกนนิ้วก็ผ่านฉลุยเลย รับกระเป๋าเดินมาถึงศุลกากร เค้าก็แค่ถามว่ามาญี่ปุ่นมาทำอะไร ตอนนั้นตอบไปว่า “เลฟ-บุ-ไลฟ-บุ-ชัน-ชาย คอน-เสิท-โตะ” เพราะเตรียมคำตอบมาแล้ว แต่ต้องให้พูดสองรอบ คงฟังไม่ออก แล้วก็ถามว่าอยู่กี่อีกวัน อันนี้ไม่ได้เตรียมมาเป็นญี่ปุ่นเลยตอบเป็นอังกฤษไป เจ้าหน้าที่ยกกระเป๋าเขย่าๆเล็กน้อยแล้วก็ผ่านไปเลย (สรุป เอกสารตั๋วคอน ที่พัก ใบภาระงาน ไม่ได้หยิบใช้เลย แต่แนะนำว่ายังไงก็ควรเตรียมไปนะครับ เผื่อเหลือดีกว่าขาด)

21.30 สุดท้ายก็รีบวิ่งไปชั้นล่าง ไปที่เคาน์เตอร์ รถไฟของ Keisei Skyliner เพราะรถไฟจะหมดช่วง 23.00 แล้วที่พักผมได้ย่าน Ueno เลยนั่งตรงจาก Narita Terminal 1 > สถานี Keisei Ueno เลย (หยุดแค่ terminal 2, 3 กับ สถานี Nippori) ใช้เวลา 44 นาที ตรงทั้งเวลารถออกจนถึงเลยทีเดียว โดยตั๋วจะเป็นที่นั่งระบุโดยตรงเลยว่ารถตู้ไหน นั่งตรงไหน ราคาประมาณ 2470 เยน (720 บาท)

22.45 หลังจากนั้นก็เดินออกจากสถานี ตอนนี้แหละที่ได้สัมผัสอากาศเย็นของญี่ปุ่นจริงๆแล้ว อากาศเย็นสบายมาก อุณหภูมิประมาณ 13 องศา มันเย็นแบบแห้งๆไม่ค่อยชื้น ตอนนั้นใส่แค่เสื้อเชิ้ต เสื้อกันหนาว กางเกงขายาว แทบไม่หนาวเลยออกแนวสบายด้วยซ้ำ
จากนั้นเดินเข้าที่พักครับ วันแรกผมจอง Hostel ไปก่อนเนื่องจากในแพ็คเกจไม่ได้รวมคืนวันที่ 16 ไว้ นอนที่ Capsule net omotenashi no oyado ครับ (คืนละ 3500 Y ประมาณ 980 บาท) ตอนแรกหาไม่เจอ เพราะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบวกทางเข้าดูหรูเกิ้นนึกว่าเป็นพวกโรงแรมใหญ่ จนเปิดรูปหน้าโรงแรมเท่านั้นแหละ โป๊ะเลย เดินวนเดินผ่านมาสองรอบแล้วจ้า 555

[ขอเซฟรูปมาจากในเน็ตนะครับ พอดีลืมถ่ายมา]
เข้าไปก็ให้ถอดรองเท้าเข้าฝากที่ล็อคเกอร์ครับ ถ้าจะออกไปไหนก็ต้องมาขอกุญแจไปไขรองเท้าที่ล็อคเกอร์เท่านั้น
ส่วนกระเป๋าทางเดินเอาขึ้นไปไม่ได้ต้องวางไว้ที่ฟร้อน แต่กระเป๋าสะพายเอาขึ้นไปได้ครับ
ที่นี่มีทั้งหมด 6 ชั้น
ชั้นใต้ดินเป็นห้องซาวน่า แยกชายหญิง ปิดเวลา 04.00-05.00 แค่ชั่วโมงเดียว
ชั้นแรกเป็น Front
ชั้นสองเป็น Common room มีการ์ตูน ร้านอาหารให้บริการด้วย ถ้าใครอ่านญี่ปุ่นออกคงสิงได้เป็นวันๆ

ชั้นสามเป็นห้องพักเดี่ยว
ชั้นสี่เป็นห้องพักรวมชาย
ชั้นห้าเป็นห้องพักรวมหญิง
ห้องพักรวมจะเป็นตู้นอนสองชั้น มีเครื่องซักผ้า ห้องอาบน้ำเดี่ยว 2 ห้อง ห้องส้วม 3 ห้อง ล็อคเกอร์ขนาดเล็ก1ตู้ ตู้กดน้ำ ห้องส้วม + ห้องอาบน้ำจะแยกคนละมุมเลย ห้องส้วมเป็นแบบอัตโนมัติหมดเลย ไม่มีสายฉีดก้น (อันนี้เสียใจ) พอลองๆใช้ก็ไม่ยาก แต่ต้องขยับก้นบ่อยๆให้มันล้างทั่วถึงแค่นั้นเอง
ที่นี่เค้าจะให้กุญแจเหมือนเป็นสายรัดข้อมือ มีบาร์โค้ดไว้ติ้ดเวลาซื้ออาหารกับตู้กดน้ำ แล้วค่อยจ่ายตังตอน Check out ครับ

อันนี้แอบมึนๆ ตอนแรกจะกดน้ำจากตู้แล้วหาที่ใส่เหรียญไม่เจอ จนเห็นไฟกระพริบเลยลองเอาบาร์โค้ดไปติ้ดดูเท่านั้นแหละ 555

แต่ความมึนยังไม่จบ ด้วยหลังจากลองกดน้ำในชั้นแล้ว เดินลงมาที่ฟร้อน เพื่อที่จะเอาของในกระเป๋าเดินทาง มีคนเดินออกมาทางประตูหลังของชั้น 1 แล้วเก็บรองเท้า เลยเดินงงๆเข้าไปดู เชี่ยยย 7-11 อยู่เชื่อมกับโรงแรมเลย เวรเอ้ยยยย กดตู้ทำไมฟระ 55
จากนั้นก็หิวๆครับ เลยเดินออกจากโรงแรมไปเดินเล่นหาอะไรกิน ตอนนั้นเวลาเลยเที่ยงคืนไปเล็กน้อยแล้ว ร้านส่วนมากเลยปิดหมด ร้านที่เปิดอยู่ คนญี่ปุ่นก็อยู่กันเต็มไปหมด แถมดูไม่ค่อยน่าสนใจ เลยกลับมาที่โรงแรม ไปกินราเมงที่ชั้นสองครับ จ่ายเงินก็แบบเดิมครับ ตี๊ดบาร์โค้ด รสชาติก็ธรรมดาประมาณฮาจิบังบ้านเรา แต่ไม่ค่อยอิ่มเลยไปเพิ่มโอเด้งที่ 7-11 มาด้วย รสชาติก็ประมาณ Lawson บ้านเรานี่แหละครับ
ตู้นอนขึ้นลำบากหน่อยเพราะบันไดค่อนข้างแคบ ตู้นอนมีทั้งนาฬิกาปลุก ทีวี แอร์ ไฟ คือต้องมานั่งคลำเล่นพักใหญ่เลย จากนั้นก็ปรับแผนการเดินทางเล็กน้อย เพราะว่าพอดูร้านอาหารแถวอุเอโนะจะเปิดประมาณ 10.00-10.30 ซึ่งผิดคาดเพราะคิดว่าจะเปิดเช้ากว่านี้ ช่วงเช้าเลยจะเปลี่ยนไปเที่ยวสวนอุเอโนะแล้วค่อยมา Check out ไปหาร้านอาหารกินเป็นมื้อควบเช้า เที่ยง แล้วไปเดิน Akihabara เดินกลับมา Check in โรงแรม แล้วไป Tokyo dome เพื่อไปรับบัตร
First time Japan ตะลุย Tokyo เพื่อไปดู Concert Aqours 4th Love Live! ฉบับลุยเดี่ยวยังไหว
แรกเริ่มจากที่ทางเว็บ official ของ series anime Love Live! Sunshine ได้ประกาศตั๋ว concert Aqours 4th Love Live! Sailing to the sunshine รอบพิเศษขึ้นมา พร้อมที่พัก 3 วัน 2 คืน ราคา 52,000 เยน สำหรับผู้ที่ถือ passport ต่างประเทศเท่านั้น (ปกติแล้วคอนที่ญี่ปุ่น จะต้องซื้อซีดีเพลง ส่งโค้ดลุ้นเอา หรือ รอรอบปกติที่ต้องเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้น) เลยลองกดสมัครไปดู ผ่านทาง Yokoso Japan แต่ก็สมัครไปคนเดียว
ซึ่งผลก็คือ ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งในกำหนดการบอกว่า ให้มารับตั๋วที่หน้างาน 1 วันก่อนวันแสดงจริง ซึ่งของผมเป็นรอบ Day 2 อาทิตย์ที่ 18 พฤศจิ ต้องไปรับบัตร เสาร์ที่ 17 พฤศจิ และเพื่อความปลอดภัยกันเครื่องบินดีเลย์และหลงทาง เลยตัดสินใจไปตั้งแต่วันที่ 16 เลย และกำหนดกลับ วันที่ 19 ตอนเย็น อันนี้เสียดายมากๆที่ไม่ได้อยู่เที่ยวนานๆไปเลย เพราะว่าช่วง 9-11 ต้องลาไปสอบ 3 วัน และวันที่ 20 มีภาระงานบังคับที่ลาไม่ได้ เลยได้แค่เต็มที่ 4 วัน 😭
ตั๋วที่จอง จองไปกับการบินไทย ได้ช่วงโปรของการบินไทยพอดี ไปกลับ 19,000 บาท เพราะตอนนั้นพวก Scoot, Airasia X ราคาขั้นต่ำ 16,000 แถมโปรต่างๆก็ไม่คลุมช่วงที่ไปอีก เลยยอมกดโปรของการบินไทยไปเอา full service เวลาที่กดจองไปประมาณ 1 เดือนก่อนไปพอดี (แต่แล้วไม่ทันไร หลังก็หักจนได้ เพราะถัดมาไม่กี่วัน มันก็หลุด Airasia X ไปกลับรวม 14,000 แต่ช่างมัน เอาก็เอาวะ ไปครั้งแรกก็ขอ full service ละกัน)
วันที่ 15 เดินทางจากหาดใหญ่ลงสุวรรณภูมิ ตอน 21.35 ถึงประมาณ 23.00 จากนั้นนอนค้างที่สนามบินหน้าเค้าเตอร์เลย แต่นอนหลับๆตื่นๆ เพราะคนเดินไปมาเยอะมาก
เข้าสู่ Day 1 16/11/61
04.00 ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปที่ชั้น B ไปรอแลกเงินที่ Superrich อันนี้แนะนำไปยืนๆรอตั้งแต่ 05.00 เลยนะครับ เพราะคนมารอแลกเยอะมาก พอเปิด 05.30 ผมได้คิวที่สองพอดี แลกไป 20,000 บาท เจ้าหน้าที่บอกว่าเพิ่มอีก 370 บาท จะได้ 70,000 เยนพอดี (Rate 0.291) เลยจัดไปครับ
06.15 ก็ไปต่อคิวเชคอินที่เค้าเตอร์การบินไทย ต่อแถวประมาณครึ่งชม เสร็จ ก็ผ่านตรวจ Passport ไปรอตามปกติ ช่วงนี้ก็เดินเข้ามาถ่ายรูปเล่นๆ คุยกับแม่ก่อนขึ้นเครื่องครับ
07.30 Board ขึ้นเครื่อง ไฟล์ท TG 676 บินตอน 08.00 สรุปได้นั่งเจ้าปลาวาฬ A380 ปกติไม่เคยนั่งเครื่องใหญ่ระดับนี้มาก่อน ถือว่าตื่นเต้นพอสมควรเลย แต่ทว่า...
ไอปลาวาฬตูดแหกกกก เพราะช่องเก็บของปิดไม่ได้ เครื่องดีเลย์หนักมาก ได้บินจริงคือ 12.30 ตอนแรกแก้ไข 30 นาที จากนั้นบอกว่าซับซ้อนกว่าที่คิดเลยขอเป็น 1.5 ชั่วโมง และสุดท้ายแก้ไขไม่สำเร็จเปลี่ยนเครื่องเลย
ส่วนตัวของผมก็ลำบากเล็กน้อย เพราะตามแพลน ช่วงเย็นๆค่ำๆจะเดินเที่ยวสำรวจตลาด Ameyoko เลยต้องเป็นหมันไป แต่ที่หนักกว่าคือทางฝรั่งที่ต้องต่อเครื่องไปอเมริกานี่แหละที่ต้องเลื่อนไฟล์ทกันวุ่นวายหมดเลย ช่วงที่รอก็ได้แซนวิชกับน้ำเปล่ามากินก็แก้หิวได้นิดหน่อย
12.30 หลังจากย้ายเครื่องเรียบร้อยก็เตรียมบินได้ ผมนั่ง Economy ที่นั่งก็โอเคดี นั่งสบายดี ยืดแขนขาได้พอควร มีผ้าห่มกับหมอนมาให้ แต่ไม่ได้แกะผ้าห่มเลย เพราะแอร์ก็ไม่ได้เย็นมาก ถ้าห่มผ้านี่ร้อนตาย จอ Entertainment ก็พอใช้ ทัชสกรีนกดไม่ค่อยติด ปุ่มกดก็รอนานหน่อย
อาหารมื้อเที่ยง (ที่ควรจะเป็นอาหารเช้า) เป็นสตูว์หมู ผลไม้รวม โยเกิร์ต อร่อยเลยทีเดียว ชอบสตูว์มาก เคี้ยวหนุบๆ แล้วน้ำในเนื้อออกมานี่แหล่มมาก ผักก็เคี่ยวจนนิ่มดี
นั่งดู Deadpool + The MEG พลางๆ ของการบินไทยมีหูฟังมาให้ด้วย แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบเท่าไร เลยเอาหูฟังตัวเองมาเสียบแทน เบื่อๆก็ดู Inflight view ไปเรื่อยๆ
เครื่องดื่มก็มาเป็นรอบๆครับ ส่วนตัวชอบน้ำผลไม้รวมที่ติดมากับอาหารเที่ยง กับน้ำแอปเปิ้ล ส่วนไวน์แดงลองแล้วไม่ไหว ออกขมเยอะมาก (ปกติเป็นคนไม่ถูกกับรสขมอยู่แล้ว แต่ก็กินเหล้า เบียร์ ไวน์ได้สบาย แต่อันนี้ไม่ไหวจริงๆ) เครื่องดื่มไม่ได้ขอเพิ่มนอกรอบ เพราะนั่งติดหน้าต่างขี้เกียจลุกไปฉี่หลายรอบ
ก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า
ส่วนมื้อช่วงเย็นๆ สปาเก็ตตี้ไก่ซอสเห็ด ซอสอร่อยดีครับ แต่เส้นแอบแข็งไปนิดนึง ถ้าให้นิ่มกว่านี้จะเยี่ยมเลย
สุดท้ายก็ถึงญี่ปุ่น 20.45 ตามเวลาที่นั่น ผมเปลี่ยนเป็น Sim DTAC สำหรับเที่ยวต่างประเทศที่ครบวันคือหักทิ้งได้เลย สัญญาณโดยรวมดี เจอดับช่วงที่นั่งรถไฟเข้าโตเกียวเล็กน้อย นอกนั้นในเขตโตเกียว อุเอโนะ แทบไม่มีหลุดเลย
เข้าแถวตรวจตม. ยาวมาก คนจะเยอะไปไหน ประมาณ 30 นาทีกว่าจะถึงคิว เพราะมีเจ้าหน้าที่แค่ 4 คนเอง ถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรเลย ถ่ายรูปสแกนนิ้วก็ผ่านฉลุยเลย รับกระเป๋าเดินมาถึงศุลกากร เค้าก็แค่ถามว่ามาญี่ปุ่นมาทำอะไร ตอนนั้นตอบไปว่า “เลฟ-บุ-ไลฟ-บุ-ชัน-ชาย คอน-เสิท-โตะ” เพราะเตรียมคำตอบมาแล้ว แต่ต้องให้พูดสองรอบ คงฟังไม่ออก แล้วก็ถามว่าอยู่กี่อีกวัน อันนี้ไม่ได้เตรียมมาเป็นญี่ปุ่นเลยตอบเป็นอังกฤษไป เจ้าหน้าที่ยกกระเป๋าเขย่าๆเล็กน้อยแล้วก็ผ่านไปเลย (สรุป เอกสารตั๋วคอน ที่พัก ใบภาระงาน ไม่ได้หยิบใช้เลย แต่แนะนำว่ายังไงก็ควรเตรียมไปนะครับ เผื่อเหลือดีกว่าขาด)
21.30 สุดท้ายก็รีบวิ่งไปชั้นล่าง ไปที่เคาน์เตอร์ รถไฟของ Keisei Skyliner เพราะรถไฟจะหมดช่วง 23.00 แล้วที่พักผมได้ย่าน Ueno เลยนั่งตรงจาก Narita Terminal 1 > สถานี Keisei Ueno เลย (หยุดแค่ terminal 2, 3 กับ สถานี Nippori) ใช้เวลา 44 นาที ตรงทั้งเวลารถออกจนถึงเลยทีเดียว โดยตั๋วจะเป็นที่นั่งระบุโดยตรงเลยว่ารถตู้ไหน นั่งตรงไหน ราคาประมาณ 2470 เยน (720 บาท)
22.45 หลังจากนั้นก็เดินออกจากสถานี ตอนนี้แหละที่ได้สัมผัสอากาศเย็นของญี่ปุ่นจริงๆแล้ว อากาศเย็นสบายมาก อุณหภูมิประมาณ 13 องศา มันเย็นแบบแห้งๆไม่ค่อยชื้น ตอนนั้นใส่แค่เสื้อเชิ้ต เสื้อกันหนาว กางเกงขายาว แทบไม่หนาวเลยออกแนวสบายด้วยซ้ำ
จากนั้นเดินเข้าที่พักครับ วันแรกผมจอง Hostel ไปก่อนเนื่องจากในแพ็คเกจไม่ได้รวมคืนวันที่ 16 ไว้ นอนที่ Capsule net omotenashi no oyado ครับ (คืนละ 3500 Y ประมาณ 980 บาท) ตอนแรกหาไม่เจอ เพราะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบวกทางเข้าดูหรูเกิ้นนึกว่าเป็นพวกโรงแรมใหญ่ จนเปิดรูปหน้าโรงแรมเท่านั้นแหละ โป๊ะเลย เดินวนเดินผ่านมาสองรอบแล้วจ้า 555
เข้าไปก็ให้ถอดรองเท้าเข้าฝากที่ล็อคเกอร์ครับ ถ้าจะออกไปไหนก็ต้องมาขอกุญแจไปไขรองเท้าที่ล็อคเกอร์เท่านั้น
ส่วนกระเป๋าทางเดินเอาขึ้นไปไม่ได้ต้องวางไว้ที่ฟร้อน แต่กระเป๋าสะพายเอาขึ้นไปได้ครับ
ที่นี่มีทั้งหมด 6 ชั้น
ชั้นใต้ดินเป็นห้องซาวน่า แยกชายหญิง ปิดเวลา 04.00-05.00 แค่ชั่วโมงเดียว
ชั้นแรกเป็น Front
ชั้นสองเป็น Common room มีการ์ตูน ร้านอาหารให้บริการด้วย ถ้าใครอ่านญี่ปุ่นออกคงสิงได้เป็นวันๆ
ชั้นสี่เป็นห้องพักรวมชาย
ชั้นห้าเป็นห้องพักรวมหญิง
ห้องพักรวมจะเป็นตู้นอนสองชั้น มีเครื่องซักผ้า ห้องอาบน้ำเดี่ยว 2 ห้อง ห้องส้วม 3 ห้อง ล็อคเกอร์ขนาดเล็ก1ตู้ ตู้กดน้ำ ห้องส้วม + ห้องอาบน้ำจะแยกคนละมุมเลย ห้องส้วมเป็นแบบอัตโนมัติหมดเลย ไม่มีสายฉีดก้น (อันนี้เสียใจ) พอลองๆใช้ก็ไม่ยาก แต่ต้องขยับก้นบ่อยๆให้มันล้างทั่วถึงแค่นั้นเอง
ที่นี่เค้าจะให้กุญแจเหมือนเป็นสายรัดข้อมือ มีบาร์โค้ดไว้ติ้ดเวลาซื้ออาหารกับตู้กดน้ำ แล้วค่อยจ่ายตังตอน Check out ครับ
อันนี้แอบมึนๆ ตอนแรกจะกดน้ำจากตู้แล้วหาที่ใส่เหรียญไม่เจอ จนเห็นไฟกระพริบเลยลองเอาบาร์โค้ดไปติ้ดดูเท่านั้นแหละ 555
แต่ความมึนยังไม่จบ ด้วยหลังจากลองกดน้ำในชั้นแล้ว เดินลงมาที่ฟร้อน เพื่อที่จะเอาของในกระเป๋าเดินทาง มีคนเดินออกมาทางประตูหลังของชั้น 1 แล้วเก็บรองเท้า เลยเดินงงๆเข้าไปดู เชี่ยยย 7-11 อยู่เชื่อมกับโรงแรมเลย เวรเอ้ยยยย กดตู้ทำไมฟระ 55
จากนั้นก็หิวๆครับ เลยเดินออกจากโรงแรมไปเดินเล่นหาอะไรกิน ตอนนั้นเวลาเลยเที่ยงคืนไปเล็กน้อยแล้ว ร้านส่วนมากเลยปิดหมด ร้านที่เปิดอยู่ คนญี่ปุ่นก็อยู่กันเต็มไปหมด แถมดูไม่ค่อยน่าสนใจ เลยกลับมาที่โรงแรม ไปกินราเมงที่ชั้นสองครับ จ่ายเงินก็แบบเดิมครับ ตี๊ดบาร์โค้ด รสชาติก็ธรรมดาประมาณฮาจิบังบ้านเรา แต่ไม่ค่อยอิ่มเลยไปเพิ่มโอเด้งที่ 7-11 มาด้วย รสชาติก็ประมาณ Lawson บ้านเรานี่แหละครับ
ตู้นอนขึ้นลำบากหน่อยเพราะบันไดค่อนข้างแคบ ตู้นอนมีทั้งนาฬิกาปลุก ทีวี แอร์ ไฟ คือต้องมานั่งคลำเล่นพักใหญ่เลย จากนั้นก็ปรับแผนการเดินทางเล็กน้อย เพราะว่าพอดูร้านอาหารแถวอุเอโนะจะเปิดประมาณ 10.00-10.30 ซึ่งผิดคาดเพราะคิดว่าจะเปิดเช้ากว่านี้ ช่วงเช้าเลยจะเปลี่ยนไปเที่ยวสวนอุเอโนะแล้วค่อยมา Check out ไปหาร้านอาหารกินเป็นมื้อควบเช้า เที่ยง แล้วไปเดิน Akihabara เดินกลับมา Check in โรงแรม แล้วไป Tokyo dome เพื่อไปรับบัตร