วิทยาศาสตร์ในอาณาจักรบาบิโลน

เผยแพร่: 15 ก.พ. 2562 15:58  โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

ภาพจำลอง สวนลอยบาบิโลน


นักประวัติวิทยาศาสตร์ได้รู้มานานแล้วว่า ปราชญ์กรีกได้ความรู้วิทยาศาสตร์จากชาวอียิปต์ และชาวบาบิโลน ซึ่งต่างก็มีอารยธรรมของตนเองมาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล

โดยเฉพาะอารยธรรมอียิปต์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งถือกำเนิดในลุ่มแม่น้ำ Nile ที่อุดมสมบูรณ์ เพราะทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลาที่เป็นฤดูฝน น้ำในแม่น้ำจะเอ่อท่วมฝั่ง นำโคลนเลนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ยมาสู่บริเวณทั้งสองฟากฝั่งทำให้บริเวณนั้นมีสภาพที่เหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรมหลังน้ำลด ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ผลกระทบด้านลบของเหตุการณ์ก็มี คือ เส้นแบ่งพื้นที่ในการทำงานมากินของชาวบ้านได้ถูกน้ำชะล้างและทำลายไปจนหมดสิ้นด้วย ดังนั้นชาวบ้านจึงต้องมีการแบ่งพื้นที่อาศัย และที่ทำมาหากินกันใหม่ทุกปี ความจำเป็นนี้ทำให้ชาวบ้านพยายามคิดวิธีคำนวณพื้นที่ขึ้นมา เพื่อจะได้ครอบครองเนื้อที่เท่าเดิมก่อนเหตุการณ์น้ำท่วม และได้นิยมแบ่งพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งสามารถคำนวณหาพื้นที่ได้ง่ายโดยเอาความยาวคูณกับความกว้าง คุณค่าของความรู้นี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านโดยตรงแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อองค์ฟาโรห์ด้วย เพราะเจ้าของพื้นที่ทุกคนต้องเสียภาษีตามความมากน้อยของพื้นที่ๆ ตนครอบครอง

นอกจากจะมีความรู้เรื่องพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้ว ชาวอียิปต์ยังมีความรู้เรื่องสมบัติของสามเหลี่ยมมุมฉากด้วย โดยเฉพาะสามเหลี่ยมที่มีด้านยาว 3, 4 และ 5 หน่วยความยาวว่า ถ้าด้านตรงข้ามมุมฉากมีความยาว 5 หน่วย ด้านที่ประกอบมุมฉากจะมีความยาว 3 และ 4 หน่วยเสมอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด จนกระทั่งปราชญ์กรีกชื่อ Pythagoras ได้พบว่า พื้นที่ของจัตุรัสบนด้านตรงข้ามมุมฉาก มีค่าเท่ากับผลรวมของจัตุรัสบนด้านประกอบมุมฉากเสมอ นั่นคือ 52 = 32 + 42 ทฤษฎีนี้จึงได้ชื่อว่า ทฤษฎีของ Pythagoras

ชาวอียิปต์ยังมีความสามารถด้านวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมอีกด้วย โดยมีผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือ การสร้างมหาปิรามิดเป็นสถานฝังพระศพของฟาโรห์ ซึ่งนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกโบราณ โดยใช้เทคโนโลยีการสกัด ตัด หิน การใช้คาน เชือก พื้นเอียง และแรงงานคน ในการขนย้าย และยกก้อนหินขนาดมโหฬารขึ้นซ้อนกัน ทั้งที่คนเหล่านั้นไม่รู้จักกฏของคานที่ Archimedes ได้พบในปี 2,000 ปีต่อมา

นอกจากนี้ชาวอียิปต์ก็ยังมีความสามารถทางดาราศาสตร์ด้วย เพราะเป็นชนชาติแรกที่สร้างปฏิทิน เมื่อ 4,200 ปีก่อนจากการสังเกตพบว่า ปีหนึ่งนานประมาณ 360 วัน และดวงจันทร์โคจรรอบโลกโดยใช้เวลา 28 วัน การมีจินตนาการ ทำให้พระนักบวชชาวอียิปต์เห็นกลุ่มดาวอยู่กันเป็นรูปสัตว์และเทวดา จึงตั้งชื่อกลุ่มดาวตามจินตนาการที่เห็น

ในด้านการคมนาคม ชาวอียิปต์โบราณรู้จักสร้างเรือเพื่อใช้ในการขนส่งสิ่งของ และผู้โดยสารขึ้น-ล่องตามลำน้ำ Nile และใช้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติที่มีภูมิลำเนาอยู่รายรอบทะเล Mediteranean จึงได้นำความรู้จากชนต่างเผ่ามาใช้ในการพัฒนาอารยธรรมของตน

ชนชาติแรกที่ชาวอียิปต์โบราณติดต่อคือ ชาวบาบิโลนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักร Babylonia ที่อยู่ในดินแดนที่เรียกว่า Mesopotamia (คำๆ นี้แปลว่า พื้นที่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ Tigris กับ Euphrates) อันมีรูปเป็นจันทร์เสี้ยว และมีอาณาเขตตั้งแต่อียิปต์ไปจนจรดอาณาจักร Elam (ประเทศอิหร่าน)
อาณาจักรBabylonia-วิกิพิเดีย

แม้หลักฐานต่างๆ ทางวัตถุจะสาบสูญไปมากและนานแล้ว แต่คัมภีร์ Genesis ของชาวคริสเตียนก็ยังกล่าวถึง ชาวเมืองบาบิโลนว่า คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคดโกง ทุจริต ทะเยอทะยาน และชอบประพฤติผิดศีลธรรม ทำให้ทั้งเมืองมีแต่โสเภณี และทุรชน บาบิโลนจึงเป็นเมืองบาปของโลก และมีชื่อเสียงในทางตรงกันข้ามกับ Jerusalem ซึ่งเป็นนครบุญ

แต่ในเวลาเดียวกันเมืองบาบิโลนก็มีตำนานมากมาย เช่นว่า มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นผลงานสถาปัตยกรรมระดับจักรวาล ซึ่งได้แก่ สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Garden of Babylon) ที่นับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ และหอคอยบาเบล (Tower of Babel) ที่วิศวกรตั้งใจจะสร้างให้สูงถึงสวรรค์ แต่เมื่อพระเจ้าทรงทราบจุดมุ่งหมายของผู้สร้าง จึงทรงบันดาลให้ผู้คนที่สร้างหอคอยสนทนากันโดยใช้ภาษาที่แตกต่างกัน และหลากหลาย ทำให้ไม่สามารถเจรจาสร้างความร่วมมือกันได้ การสร้างหอคอยจึงไม่บรรลุผล

Herodutus ซึ่งเป็นบิดาของประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงนครบาบิโลนว่ามีพื้นที่ 630 ตารางกิโลเมตร มีอาคารที่สร้างด้วยอิฐดินสีน้ำตาลขุ่น เพราะได้จากการขุดดินโคลนมาทำ เมืองมีกำแพงล้อมยาว 100 กิโลเมตร และหนา 7 เมตร กำแพงมีประตูที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 100 บาน สำหรับประชาชนในการเข้า-ออกเมือง และมีประตูสำคัญที่สุดคือ ประตู Ishtar ที่สูง 23 เมตร โดยบานประตูถูกประดับด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินเรียงกันเป็นรูปสัตว์ชื่อ mushhushshu ที่มีศีรษะเป็นมังกร ลำตัวเป็นวัว สองขาหน้าเป็นขาแมว สองขาหลังเป็นขานกอินทรีย์ และมีหางเป็นหางแมงป่อง เมื่อถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ชาวบาบิโลนจะจัดงานสดุดีเทพ Marduk ซึ่งเป็นเทพสูงสุดของชาวบาบิโลน ผู้ทรงควบคุมการเคลื่อนที่ของดาวทุกดวงในท้องฟ้า และทรงเป็นเทพผู้ปกป้องเมือง ในงานนี้ประชาชนจะนำรูปปั้นของเทพ Marduk ขึ้นรถม้า เดินนำขบวนผ่านประตูเมือง Ishtar ไปตามถนนให้ชาวบ้านได้สักการะทั่วกัน

งานสถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งของชาวบาบิโลนคือ สวนลอยแห่งบาบิโลน ซึ่งเป็นสวนที่กษัตริย์ Nebuchadnezzar ที่ 2 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อพระสนม Amytis จะได้ทรงคลายความคิดถึงที่มีต่อบ้านเกิด สวนลอยนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงที่ถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ คล้ายพีระมิดขั้นบันไดแห่ง Saqqara ของอียิปต์

การสร้างสวนที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ แสดงให้เห็นความสามารถของวิศวกรยุคนั้น ในการขุดคลอดและการทดน้ำขึ้นที่สูง เพื่อหล่อเลี้ยงต้นไม้ในสวน แต่เมื่อถึงวันนี้สวนลอยได้อันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว เพราะอิฐดิบที่ใช้ในการสร้าง ทำมาจากดินโคลนหลังจากที่ได้นำมาตากแดด จึงไม่สามารถยืนยงได้เหมือนหินที่ชาวอียิปต์ใช้ในการสร้างปิระมิด

กระนั้นอาณาจักรบาบิโลเนียก็ยังมีสิ่งก่อสร้างอีกหนึ่งที่ยังคงสภาพอยู่ได้บ้าง นั่นคือ ziqqurat ซึ่งตรงกับคำ siqquratu ในภาษาบาบิโลเนียที่แปลว่า ยอดเขา ซิกกูรัตมีโครงสร้างคล้ายปิระมิดคือถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ 3-7 ชั้น และมีขั้นบันไดเชื่อมระหว่างชั้นเป็นเส้นทางขึ้น-ลง ชั้นบนสุดเป็นสถานที่บูชาเทพ Marduk เพราะชั้นที่อยู่สูงขึ้นๆ จะมีขนาดเล็กลงๆ ซิกกูรัตจึงเปรียบเสมือนเอกภพที่มีชั้นล่างสุดเป็นนรก ชั้นกลางเป็นโลกมนุษย์ และชั้นบนสุดเป็นสวรรค์ นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า หอคอย Babel แห่งบาบิโลน แท้ที่จริงคือ ซิกกูรัตที่มีฐานล่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีด้านยาว 30 เมตร


ภาพวาดกำแพงเมืองบาบิโลน และ วิหาร Temple of Bel โดย William Simpson

ชาวบาบิโลนยังรู้จักใช้ดินเหนียวในการทำอักษรลิ่ม (cuneiform) เพื่อบันทึกข้อความด้วย โดยตัดปลายต้นอ้อให้แหลมเพื่อใช้แกะลวดลายบนดินเหนียวที่ชื้น แล้วนำไปตากแดด สิ่งประดิษฐ์นี้จึงมีผลทำให้เราทุกวันนี้รู้และเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้นเมื่อ 4,000 ปีก่อนได้โดยการอ่านจารึกอักษรลิ่มที่ถูกเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญของโลกเช่นที่ Louvre ในฝรั่งเศส และที่ British Museum (พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ) ในอังกฤษ เป็นต้น

การอ่านจารึกอักษรลิ่มแสดงให้เห็นว่า กษัตริย์ Sargon แห่งเมือง Akkad ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ 2034-2279 ปีก่อนคริสตกาล และทรงโปรดให้สร้างเมืองชื่อ Babylon (คำนี้เป็นคำในภาษากรีกที่ตรงกับคำ Babel ในภาษา Hebrew ที่แปลว่า งุนงง หรือสับสน) และเมืองได้เจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร โดยมีกษัตริย์ทรงปกครองหลายพระองค์ แต่คนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ กษัตริย์ Hamurabi ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ 1792-1750 ปีก่อนคริสตกาล และทรงมีชื่อเสียงในผลงานออกกฎหมาย Hamurabi จำนวน 282 กฏที่ถูกแกะสลักเป็นภาษาอักษรลิ่มลงบนเสาหิน basalt ที่สูง 2 เมตรให้ประชาชนทุกคนรับทราบ และปฏิบัติตาม โดยได้กำหนดบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนมีการแก้แค้นกันเองจนเกินขอบเขตด้วย

ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ก็เป็นพรสวรรค์อีกด้านหนึ่งที่ชาวบาบิโลนมี คือมีความเก่งด้านการนับที่ไม่ใช่เลขฐานสิบ แต่เป็นเลขฐาน 60 เช่น สมมติว่าชาวบาบิโลนเขียน 16 เลข 1 ในที่นี้ไม่ได้แทน 10 แต่เป็นเลข 60 ดังนั้น 16 จึงหมายถึง 66 การนับเยี่ยงนี้มีผลทำให้มีการแบ่งเวลา 1 ชั่วโมงออกเป็น 60 นาทีและ 1 นาที ถูกแบ่งแยกออกเป็น 60 วินาทีที่เรายังใช้กันจนทุกวันนี้ หรือแม้แต่มุมรอบจุดก็ถูกแบ่งออกเป็น 360 องศา นักคณิตศาสตร์ชาวบาบิโลนยังสามารถหาพื้นที่สามเหลี่ยมและคำนวณปริมาตรของลูกบาศก์ได้ด้วย

เมื่อครั้งที่ Austen Henry Layard ขุดพบซากปรักหักพังที่เมือง Nineveh นั้นเขาได้พบเครื่องประดับ และภาชนะมากมายที่ทำด้วยทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์ การเห็นรูปทรงและลวดลายบนเครื่องใช้ และเครื่องประดับเหล่านี้ทำให้เรารู้ว่า ช่างชาวบาบิโลนมีความสามารถในการหล่อ ตัด และดัดแปลงโลหะเป็นอาวุธและของใช้ ในความเป็นจริงชาวอียิปต์โบราณได้พบวิธีถลุงทองแดงก่อนชาติอื่น และได้นำความรู้นี้มาถ่ายทอดให้ชาวบาบิโลน เพราะทองแดงหลอมเหลวที่อุณหภูมิต่ำกว่าเหล็ก ดังนั้น ช่างจึงนิยมถลุงทองแดงเพื่อนำมาทำเป็นภาชนะ ส่วนทองคำและเงินนั้น มีเนื้อค่อนข้างอ่อน จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ทำภาชนะ และอาวุธ แต่ใช้ทำเครื่องประดับมากกว่า นายช่างชาวบาบิโลนยังได้พบวิธีทำทองแดงบริสุทธิ์ให้มีเนื้อแข็งขึ้น โดยการเจือทองแดงด้วยดีบุกเล็กน้อย ทำให้ได้ทองสัมฤทธิ์ (bronze) ที่มีเนื้อแข็งมาก เพื่อใช้สร้างอาวุธสำหรับกองทัพของอาณาจักร Babylonia จึงมีช่างทองคำ ช่างทองแดง ช่างดีบุก และช่างทองสัมฤทธิ์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโลหะเป็นจำนวนมาก

แม้จะมีความสามารถมากมายหลายด้าน แต่ความสามารถสูงสุดของชาวบาบิโลน คือ ความสามารถทางดาราศาสตร์ จากการเฝ้าสังเกตดูการโคจรดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จนรู้ว่า การเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ในท้องฟ้า มีผลต่อฤดูกาลบนโลก ดังนั้น นักดูดาวและเดือนเหล่านั้นจึงอนุมานต่อว่า ถ้าสามารถรู้ตำแหน่งของดาวได้อย่างถูกต้อง การพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ บนโลกก็จะแม่นยำตามไปด้วย และนี่ก็คือที่มาของวิชาโหราศาสตร์ ในคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึงปราชญ์ 3 คนที่เดินทางมาเข้าเฝ้าทารกเยซู ซึ่งคงเป็นโหรที่มาจากอาณาจักร Babylonia จะอย่างไรก็ตาม บันทึกตำแหน่งของดาวต่างๆ บนท้องฟ้าที่นักดูดาวชาวบาบิโลนได้จดไว้ ทำให้เราทุกวันนี้เห็นสภาพของท้องฟ้าในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนได้ เพราะดาวฤกษ์เหล่านั้นทุกดวงต่างก็เคลื่อนที่ช้ามาก

ตามปกติโหรชาวบาบิโลนมักศึกษาการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ซึ่งในเวลานั้นมี 5 ดวงคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี กับดาวเสาร์ และโหรเชื่อว่าตำแหน่งของดาวเคราะห์เหล่านี้ทุกดวงควบคุมวิถีชีวิตของคนทุกคนบนโลก

การเฝ้าสังเกตตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ทำให้นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลนสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการสร้างนาฬิกาน้ำ (clepsydra) ซึ่งปล่อยให้น้ำไหลออกจากภาชนะเก็บน้ำจนหมด และนับเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 1 ใน 24 ส่วนของวัน และเวลา 1 วันได้จากการเริ่มเก็บน้ำในภาชนะตั้งแต่จังหวะแรกที่เห็นดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า จนกระทั่งถึงเวลาที่มันโผล่อีกครั้งหนึ่ง โดยให้ปริมาณน้ำที่เก็บเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าแบ่งน้ำนั้นออกเป็น 24 ส่วนเท่าๆ กัน ก็จะได้น้ำที่ถ้าปล่อยให้ไหลออกจากภาชนะหมดจะใช้เวลานาน 1 ชั่วโมง และชาวบาบิโลนใช้นาฬิกาน้ำในการจับเวลาหาเสียงของผู้แทนราษฎรกับเวลาเทศน์ของนักบวช
อ่านเพิ่มเติมจาก Before Nature: Cuneiform Knowledge and the History of Science โดย Francesca Rochberg จัดพิมพ์โดย University of Chicago Press ปี 2016

MGRonline
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่