สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ขออนุญาตคัดลอกสเตตัสบน facebook ของอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่ง มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน
เมื่อวานเพิ่งสอนเรื่อง HIV Counseling ให้กับน้อง ๆ
หลังสอน ก็เห็นข่าวไม่ค่อยดี เรื่อง communication ระหว่างหมอกับผู้ป่วยและญาติ ซึ่งไม่ทราบว่าใครถูกผิดมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่สามารถรู้ข้อเท็จจริงได้ทั้งหมด แต่เห็นใจทั้งสองฝ่ายจริง ๆ เพราะไม่ว่าใครจะถูกจะผิด ที่แน่ ๆ คือเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งหมด
จากประสบการณ์ หากจะถามว่าที่เป็นอาจารย์มาหลายปี อะไรสอนยากที่สุด ก็จะเห็นเป็นเรื่อง communication, manner, patience, flexibility นี่แหละ
ทักษะทางคลินิกยากรองลงมา ความรู้สอนง่ายสุด
เรื่อง communication, manner, patience, flexibility หรือเรียกรวม ๆ ว่า soft / non-technical skills นี้ส่วนใหญ่น้อง ๆ จะให้ความสำคัญเป็นลำดับท้าย ๆ น้อง ๆ จะสนใจเรื่องความรู้ เรื่องหัตถการ การตรวจการรักษามากกว่า ซึ่งสิ่งที่น้องให้ความสำคัญนั้นก็ถูกต้องแล้ว แต่ไม่อยากให้น้องลืมว่าในการทำงาน ชีวิตจริงนั้น non-technical skills สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
ปัญหาก็คือเวลาครูแนะนำ ตักเตือน สั่งสอนเรื่องพวกนี้ น้องจะหงุดหงิด รำคาญ บางคนก็อาจจะ “แรง” ถึงขนาดว่าพวกอาจารย์ก็แค่ถูกจ้างมาสอน อย่ามาทำเป็นสั่งสอนเรื่องอื่น พ่อแม่ยังไม่กล้าว่าเลย
ครูไม่โกรธคนที่มีความคิดแบบนี้หรอกนะคะ ครูสงสารมากกว่าว่าน้องคงยังไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องเหล่านี้มาก่อน น้องมีความไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง
ไม่ได้พิมพ์ผิดจาก “ไม่มีความรู้” เป็น “มีความไม่รู้” นะคะ หมายความตามที่พิมพ์จริง ๆ
บางคนก็รำคาญว่าอาจารย์แก่ ๆ ขี้บ่น เรื่องมาก ทำไมต้องประดิษฐ์คำพูดให้มันเว่อร์วัง (ตามศัพท์เด็กยุคนี้) พูดง่าย ๆ ตรง ๆ เข้าใจง่าย ๆ ดี พูดกับเพื่อนก็อย่างนี้ พูดกับที่บ้านก็อย่างนี้
ครูไม่เถียงหรอกค่ะว่าเพื่อนรับเราได้ ที่บ้านรับเราได้ แต่เมื่อเติบโตขึ้น เรามีสังคมอื่นนอกเหนือจากเพื่อน นอกเหนือจากที่บ้าน
และคนในสังคมเหล่านั้น เขาไม่ได้รักเรา ยอมรับเราเหมือนเพื่อน เหมือนที่บ้าน
ซ้ำร้าย เพื่อนบางคน หรือบางครั้งพ่อแม่เราก็ยังรับเราไม่ได้เลย แต่เขาก็อภัยให้เราได้เมื่อเขาอารมณ์เย็นลง
แต่คนอื่น อาจจะไม่ให้อภัยเราแบบนั้น หรือแย่ที่สุด หากเราไม่สำนึก ไม่ปรับเปลี่ยน แม้แต่คนที่รักเราที่สุดก็ยังอาจจะยอมรับเราไม่ได้
อีกอย่างคือคนเรามีความเคยชินกับการทำอะไรซ้ำ ๆ เมื่อทำบ่อยเข้า เราก็จะชินชา คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
ปกติของเรา แต่อาจจะเป็นความกระด้าง เย่อหยิ่ง จองหอง ไม่มีมารยาท หรือหยาบคาย ในสายตาของคนอื่น
ยกตัวอย่างที่เคยทราบมา ขอโทษด้วยนะคะหากหยาบคาย น้องบางคนบอกเพื่อนว่า
“E dok นี่ ku เตือน mueng เพราะ ku หวังดีนะ”
“I here นี่ ku บอก mueng ตั้งกี่ครั้งแล้วไม่ sueg จำ บอกครั้งสุดท้ายแล้วนะ I sud”
แล้วก็ยังมีอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อนหลายคนฟังแล้วก็หัวเราะ ไม่คิดอะไร แต่บางคนก็ตาแดง น้ำตาคลอ และบางคนก็กำหมัด
เราบอกว่าเราไม่คิดอะไร แต่เราอาจจะทำร้ายใครหลาย ๆ คนไปแล้ว
ถ้าคนที่เราทำร้าย เป็นคนที่รักและหวังดีกับเรา เราก็อกตัญญู
หรือถ้าเป็นคนที่เราต้องให้การดูแล ตามหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งเขาก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจอยู่แล้ว เรายังใช้คำพูดหรือกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมไปทำร้ายเขาอีก ก็น่าสงสารเขามาก
การเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหยาบคาย
หลายปีมาแล้ว มีคนไข้อายุ 80 กว่า ๆ มา admit ด้วย cardiac tamponade และมี bilateral pleural effusion จาก metastatic CA breast คนไข้นอนอยู่ 2-3 วัน จากที่เหนื่อยมากตอนแรก พอได้รับการรักษา ก็ดีขึ้น
วันแรก ๆ มีลูก ๆ ของอาม่าผลัดกันมาเยี่ยมหลายคน จนอาม่าหายเหนื่อย นั่ง ๆ นอน ๆ บนเตียงได้ กินอาหารได้ ลูกก็พาหลานชายของอาม่ามาเยี่ยม หลานคนนี้อายุประมาณ 12 ปีในขณะนั้น อาม่าได้พบหลานก็หน้าตาสดชื่นแจ่มใสมีความสุข คุยกับหลาน หัวเราะเสียงดังเป็นบางครั้ง พอเหนื่อยก็หยุดฟังหลานเล่าเรื่องที่โรงเรียน ยิ้มแย้มแจ่มใส ตาเป็นประกาย
พอเดินเข้าไปใกล้เตียง อาม่าก็เรียก
“อาจารย์ หลานชายมาเยี่ยมเห็นไหม นี่หลานชายคนโตของอาม่าเลยนะ”
“เห็นแล้วค่ะ หลานอาม่าน่ารักจังค่ะ”
“อีเป็นหลานชายคนโตของอาม่านะหมอ เรียนเก่งด้วย” อาม่าเงียบไปพักหนึ่งแล้วหันมามองหน้า “อาจารย์ อาม่าจะได้อยู่จนเห็นหลานรับปริญญาไหม”
ถึงตรงนี้ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เพราะด้วยอายุ 80 กว่าปีของอาม่า ถึงจะไม่มีโรคอะไรก็บอกได้ยากว่าอาม่าจะมีอายุยืนยาวไปได้อีกร่วม 10 ปี จนหนุ่มน้อยได้รับปริญญาหรือเปล่า แล้วนี่อาม่ายังเป็น stage 4 cancer ที่ไม่ตอบสนองต่อ chemotherapy แล้ว
จะตอบอาม่าว่าได้สิ ก็โกหกไม่เป็น ครั้นจะบอกความจริง พอสบตาอาม่าก็สงสาร พ่อเด็กหรือลูกชายของอาม่าก็อยู่ตรงนั้น เขาเองก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน เพราะทราบ prognosis ดีพอสมควร
สุดท้ายก็โน้มตัวลงไปจับมืออาม่าไว้ทั้งสองข้าง แล้วบอกว่า
“อาม่าคะ วันนี้อาม่าไม่เหนื่อยแล้วใช่ไหมคะ” อาม่าพยักหน้า “อาม่ามีความสุขที่หลานชายคนโต ที่อาม่ารักมากมาเยี่ยมอาม่าใช่ไหมคะ” อาม่าพยักหน้าอีก “หมอดีใจมาก ๆ ที่เห็นอาม่ายิ้ม หัวเราะ มีความสุข เราจะทำทุกวันให้ดีที่สุด จะมีความสุขกันทุกวัน ดีไหมคะ”
อาม่ายิ้มอีกครั้ง คราวนี้ยิ้มแล้วน้ำตาคลอ
ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ ถึงจะผ่านมาแล้วหลายปี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะพูดอย่างไรให้ดีกว่าเดิม
คนไข้อีกรายเป็นพี่เจ้าหน้าที่ของศิริราชเอง มาตรวจกันตั้งแต่ก่อนพี่จะเกษียณอายุ หลังเกษียณพี่มีแผนการอะไรหลายอย่าง จะไปเที่ยว จะทำสิ่งที่พี่อยากทำซึ่งก่อนเกษียณพี่ไม่มีเวลาพอ
พี่คนไข้มา follow-up หลังเกษียณได้ไม่ถึงปี วันหนึ่งก็มา breaking bad news ให้หมอทราบ
“อาจารย์ พี่ตรวจเจอมะเร็ง”
พี่ยังยิ้มได้ทั้ง ๆ ที่ดูออกว่าพี่ใจเสียมาก ก็จับมือพี่ไว้ บอกว่าเราสู้กันเต็มที่นะพี่ พี่สู้ อาจารย์ที่รักษาพี่เรื่องมะเร็งก็สู้ หมอเองก็จะเอาใจช่วยพี่เต็มที่
หลังจากนั้นพี่ยังมาติดตามการรักษาตามนัด จนท้าย ๆ ก็คือหยุดยาพี่ไปหลายตัว เพราะร่างกายพี่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว
วันสุดท้ายที่เราได้พบกัน พี่นอนอยู่บน stretcher ไม่สามารถเดินเข้ามาตรวจที่ห้องได้เหมือนก่อนหน้านี้ ที่ไม่ว่าจะอ่อนแรงเพียงไรก็จะแต่งตัวแต่งหน้าสวย ใส่วิกผม เดินเข้ามาให้ตรวจทุกครั้ง
พี่นอนหายใจเบา ๆ ไม่ลืมตา พอเรียกชื่อพี่ก็ลืมตามาดูหน้าหมอ พยายามยกมือไหว้ เลยจับมือพี่ให้วางไว้เหมือนเดิม
ถามว่าเป็นยังไงบ้าง อาจารย์อีกท่านว่าอย่างไร สุดท้ายก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าคงเป็น terminal stage แล้ว และพี่เองก็ทราบดี
ได้บอกพี่ไปว่าหมอจะ off ยาที่หมอให้ทั้งหมดนะคะ พี่ไม่ต้องคุมอาหาร อยากทานอะไรทานเต็มที่ อยากทำอะไรทำ พี่พักผ่อนให้สบายนะ หมอไม่นัดพี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาโรงพยาบาล แต่พี่ต้องการอะไรบอกหมอได้ตลอด หมอจะดูแลพี่เต็มที่หากพี่ต้องการ
พี่ยิ้มรับ หลับตา น้ำตาไหลจากหางตาทั้งสองข้าง
ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ได้รับแจ้งว่าพี่จากไปแล้ว
คนไข้ทั้งสองท่านที่เล่าให้ฟังนี้ ก็เป็นคนไข้ที่เราได้แจ้งให้ทั้งสองท่านทราบว่าเป็นโรคอะไร การพยากรณ์โรคเป็นอย่างไร เราคุยกันลึกถึง death and dying ด้วย ว่าเมื่อถึงเวลาคนไข้ต้องการอะไร ทั้งคนไข้และญาติเข้าใจในการดูแลทางการแพทย์ทั้งข้อจำกัด ทั้งสิ่งที่เราทำให้เขาได้
คนไข้อีกท่าน อายุเกิน 90 เดินเองโดยใช้ไม้เท้าช่วย สุขภาพทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดีถึงจะมีโรคประจำตัว
ปัญหาสำคัญคือหูตึงและไม่ชอบใส่เครื่องช่วยฟัง เวลามาตรวจก็จะไม่ได้ยินที่หมอพูด
ถ้าใครมาดูเวลาตรวจคนไข้ท่านนี้ ก็จะเห็นว่าหมอตะโกนกรอกหูคนไข้
แต่ทั้งคนไข้และญาติไม่เคยโกรธหมอ เพราะก่อนตะโกนกรอกหูทุกครั้ง ก็จะหันไปบอกญาติก่อนว่าหมอเสียงดังหน่อยนะคะ แล้วก็จะทำท่าบอกคุณตาว่าจะตะโกนใส่หูแล้วนะ
และถึงจะตะโกนเสียงดัง คำพูดที่บอกออกไปก็จะประมาณ ... คุณตาขา วันนี้ความดันดีนะคะ ... ถึงจะตะโกนก็ต้องสุภาพ
น้อง ๆ ลองนึกนะคะ ว่าความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมา เมื่อน้องต้องรักษาคนไข้ที่มีปัญหาแบบนี้ ความรู้ทางการแพทย์อย่างเดียวพอไหม
หากน้อง ๆ คิดว่าก็รักษาอยู่นี่ไง ก็บอกแล้วไง ก็อธิบายแล้วไง ทำให้ทุกอย่างแล้ว จะเรียกร้องอะไรอีก
ก็อย่างที่บอกตอนต้น ตรงไปตรงมาไม่จำเป็นต้องหยาบคาย เสียงดังก็ไม่จำเป็นต้องพูดห้วน ๆ หรือพูดจากระโชกโฮกฮาก ถึงจะใช้เสียงดังก็พูดนุ่ม ๆ อย่างสุภาพได้
ลองนึกถึงตัวเราเอง เวลาเจออาจารย์ดุมาก ๆ ใช้อารมณ์กับเรา เรารู้สึกอย่างไร ถ้าอาจารย์จะบอกว่า ... เอ้า ... ก็สอนให้แล้วไง มีอะไรก็บอกก็สอนให้หมดแล้ว ที่ดุนี่ก็จะได้จำไง ... น้องพอใจไหม
มีตัวอย่างหนึ่งที่ถามน้องหลายกลุ่มแล้ว คำตอบที่ได้เหมือนกันทุกกลุ่ม
ลองถามน้อง extern ว่ายาเบาหวานมีอะไรบ้าง แล้วให้น้องตอบ น้องก็มักจะตอบว่า glipizide metformin pioglitazone
พอตอบเสร็จ ก็บอกว่ามี response 2 แบบนะ ให้เลือกว่าชอบแบบไหน
แบบแรก ... หมอ นี่เป็น extern แล้วนะ ยังตอบอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้อีก ไม่มีใครสอนเหรอว่าคิดอะไรตอบอะไรให้มันเป็นระบบ ตอบแบบนี้สอบก็ตก แล้วจะไปรักษาคนไข้ได้ยังไง
แบบที่สอง ... ยาที่ตอบมาทั้ง 3 ชนิดนี้ ถ้าน้องรู้จักมันอย่างดี น้องก็จะช่วยคนไข้เบาหวานได้เยอะเลย อาจจะเกิน 70% ของคนไข้ทั้งหมด ที่เหลือถ้าคุมยากก็ปรึกษากันมาได้ แต่ขอแนะนำนิดนึงนะ ถ้าน้องคิดเป็นระบบแล้วน้องจะจำอะไรง่ายขึ้น เข้าใจการใช้ยามากขึ้น เช่น น้องอาจจะแบ่งเป็นยากิน ยาฉีด ในกลุ่มยากินก็แบ่งเป็น insulin segretagogue, insulin sensitizer, … แล้วยกตัวอย่างยาประกอบ จะได้ครบถ้วนสมบูรณ์นะ
ทุกกลุ่มเลือกแบบที่สอง
ขนาดเรารู้จักกันมา เรียนสอนกันมา 5 ปี น้องยังอยากให้อาจารย์พูดดี ๆ ด้วย แล้วคนที่เขาไม่เคยเจอเรามาก่อน คนไข้ทั่ว ๆ ไป ญาติคนไข้ล่ะ เขาจะต่างอะไรจากเรา
วันนี้มีน้องคนหนึ่งถามว่าอาจารย์จบอะไรมา จบจิตวิทยามาหรือเปล่า ก็บอกน้องว่าไม่ใช่หรอก บังเอิญว่าวันนี้เราได้นั่งอยู่ด้วยกันที่ OPD นานหน่อย น้องก็เลยเห็นเวลาคุยกับคนไข้ แต่จริง ๆ พี่ ๆ และอาจารย์หลายท่าน หากน้องได้ไปนั่ง observe ด้วย ไม่ว่าจะที่ OPD ที่ ward หรือที่ไหน ๆ น้องก็จะได้เห็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติกับคนไข้อีกมากมาย ดีกว่าที่น้องเห็นวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะเรามีหลักการง่าย ๆ หลักการเดียวกัน เราใส่ใจคนที่อยู่ต่อหน้าเราตอนนี้หรือเปล่า หากเราปรารถนาดีต่อเขา ไม่ใช่แค่สักแต่ว่าทำงานให้เสร็จไปวัน ๆ การกระทำและคำพูดของเรามันจะออกมาตรงกับจิตใจเราเอง
หากเราอยากได้อะไร เราก็ต้องให้สิ่งนั้นกับคนอื่นก่อน มารยาทดีที่น้องปฏิบัติไป สุดท้ายก็ส่งผลดีกับน้องคนทำเอง นอกจะคนที่เห็นจะชื่นชมน้อง ความดีที่ทำจะช่วยปกป้องคุ้มครองน้องด้วย
มีคำกล่าวว่า “คนไข้เขาไม่ได้ฟ้องหมอที่ทำผิด แต่เขาฟ้องหมอที่เขาไม่ชอบ”
เล่าให้ฟังแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าให้ทำผิด เราต้องรักษาหน้าที่ของเราอย่างดีในการดูแลคนไข้ และอย่าลืมว่าหน้าที่ของเราไม่ใช่แค่รักษาโรค – To cure sometime. To relieve often. To comfort always. น้องต้องดูแลคำพูด บุคลิกภาพ และจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้ดูแลคนไข้ของเราได้เต็มความสามารถ
การกระทำอะไร ที่เราทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ เราก็จะเคยชิน
พูดจาไม่สุภาพ เสียงห้วน ๆ ไม่คิดถึงใจเขา ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เราก็จะชินชา
พูดจาสุภาพ ควบคุมอารมณ์ เข้าใจคนอื่น ก็จะชิน เวลามีใครทำไม่ดีกับเรา เราก็จะควบคุมการแสดงออกของเราให้เหมาะสมได้
ครูดุ ครูเตือน เพราะอยากให้ลูกศิษย์เก่งและดี อยากเห็นลูกศิษย์มีความเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะทำงานในภาครัฐหรือเอกชน หรือแม้แต่เปลี่ยนแนวทางไปทำอาชีพอื่นก็ตาม ไม่อยากเห็นลูกศิษย์เก่งแต่ไม่ดีไม่มีมารยาท ไม่อยากเห็นลูกศิษย์ถูกสังคมลงโทษนะคะ
ขอบอกอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ไม่ได้ตำหนิใครในเรื่องราวที่เป็นข่าวเลยเพราะไม่มีทางได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด แค่รักและเป็นห่วงลูกศิษย์ เป็นห่วงจริง ๆ ค่ะ
https://www.facebook.com/mayuree.homsanit/posts/1897524063710174
เมื่อวานเพิ่งสอนเรื่อง HIV Counseling ให้กับน้อง ๆ
หลังสอน ก็เห็นข่าวไม่ค่อยดี เรื่อง communication ระหว่างหมอกับผู้ป่วยและญาติ ซึ่งไม่ทราบว่าใครถูกผิดมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่สามารถรู้ข้อเท็จจริงได้ทั้งหมด แต่เห็นใจทั้งสองฝ่ายจริง ๆ เพราะไม่ว่าใครจะถูกจะผิด ที่แน่ ๆ คือเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งหมด
จากประสบการณ์ หากจะถามว่าที่เป็นอาจารย์มาหลายปี อะไรสอนยากที่สุด ก็จะเห็นเป็นเรื่อง communication, manner, patience, flexibility นี่แหละ
ทักษะทางคลินิกยากรองลงมา ความรู้สอนง่ายสุด
เรื่อง communication, manner, patience, flexibility หรือเรียกรวม ๆ ว่า soft / non-technical skills นี้ส่วนใหญ่น้อง ๆ จะให้ความสำคัญเป็นลำดับท้าย ๆ น้อง ๆ จะสนใจเรื่องความรู้ เรื่องหัตถการ การตรวจการรักษามากกว่า ซึ่งสิ่งที่น้องให้ความสำคัญนั้นก็ถูกต้องแล้ว แต่ไม่อยากให้น้องลืมว่าในการทำงาน ชีวิตจริงนั้น non-technical skills สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
ปัญหาก็คือเวลาครูแนะนำ ตักเตือน สั่งสอนเรื่องพวกนี้ น้องจะหงุดหงิด รำคาญ บางคนก็อาจจะ “แรง” ถึงขนาดว่าพวกอาจารย์ก็แค่ถูกจ้างมาสอน อย่ามาทำเป็นสั่งสอนเรื่องอื่น พ่อแม่ยังไม่กล้าว่าเลย
ครูไม่โกรธคนที่มีความคิดแบบนี้หรอกนะคะ ครูสงสารมากกว่าว่าน้องคงยังไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องเหล่านี้มาก่อน น้องมีความไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง
ไม่ได้พิมพ์ผิดจาก “ไม่มีความรู้” เป็น “มีความไม่รู้” นะคะ หมายความตามที่พิมพ์จริง ๆ
บางคนก็รำคาญว่าอาจารย์แก่ ๆ ขี้บ่น เรื่องมาก ทำไมต้องประดิษฐ์คำพูดให้มันเว่อร์วัง (ตามศัพท์เด็กยุคนี้) พูดง่าย ๆ ตรง ๆ เข้าใจง่าย ๆ ดี พูดกับเพื่อนก็อย่างนี้ พูดกับที่บ้านก็อย่างนี้
ครูไม่เถียงหรอกค่ะว่าเพื่อนรับเราได้ ที่บ้านรับเราได้ แต่เมื่อเติบโตขึ้น เรามีสังคมอื่นนอกเหนือจากเพื่อน นอกเหนือจากที่บ้าน
และคนในสังคมเหล่านั้น เขาไม่ได้รักเรา ยอมรับเราเหมือนเพื่อน เหมือนที่บ้าน
ซ้ำร้าย เพื่อนบางคน หรือบางครั้งพ่อแม่เราก็ยังรับเราไม่ได้เลย แต่เขาก็อภัยให้เราได้เมื่อเขาอารมณ์เย็นลง
แต่คนอื่น อาจจะไม่ให้อภัยเราแบบนั้น หรือแย่ที่สุด หากเราไม่สำนึก ไม่ปรับเปลี่ยน แม้แต่คนที่รักเราที่สุดก็ยังอาจจะยอมรับเราไม่ได้
อีกอย่างคือคนเรามีความเคยชินกับการทำอะไรซ้ำ ๆ เมื่อทำบ่อยเข้า เราก็จะชินชา คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
ปกติของเรา แต่อาจจะเป็นความกระด้าง เย่อหยิ่ง จองหอง ไม่มีมารยาท หรือหยาบคาย ในสายตาของคนอื่น
ยกตัวอย่างที่เคยทราบมา ขอโทษด้วยนะคะหากหยาบคาย น้องบางคนบอกเพื่อนว่า
“E dok นี่ ku เตือน mueng เพราะ ku หวังดีนะ”
“I here นี่ ku บอก mueng ตั้งกี่ครั้งแล้วไม่ sueg จำ บอกครั้งสุดท้ายแล้วนะ I sud”
แล้วก็ยังมีอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อนหลายคนฟังแล้วก็หัวเราะ ไม่คิดอะไร แต่บางคนก็ตาแดง น้ำตาคลอ และบางคนก็กำหมัด
เราบอกว่าเราไม่คิดอะไร แต่เราอาจจะทำร้ายใครหลาย ๆ คนไปแล้ว
ถ้าคนที่เราทำร้าย เป็นคนที่รักและหวังดีกับเรา เราก็อกตัญญู
หรือถ้าเป็นคนที่เราต้องให้การดูแล ตามหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งเขาก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจอยู่แล้ว เรายังใช้คำพูดหรือกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมไปทำร้ายเขาอีก ก็น่าสงสารเขามาก
การเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหยาบคาย
หลายปีมาแล้ว มีคนไข้อายุ 80 กว่า ๆ มา admit ด้วย cardiac tamponade และมี bilateral pleural effusion จาก metastatic CA breast คนไข้นอนอยู่ 2-3 วัน จากที่เหนื่อยมากตอนแรก พอได้รับการรักษา ก็ดีขึ้น
วันแรก ๆ มีลูก ๆ ของอาม่าผลัดกันมาเยี่ยมหลายคน จนอาม่าหายเหนื่อย นั่ง ๆ นอน ๆ บนเตียงได้ กินอาหารได้ ลูกก็พาหลานชายของอาม่ามาเยี่ยม หลานคนนี้อายุประมาณ 12 ปีในขณะนั้น อาม่าได้พบหลานก็หน้าตาสดชื่นแจ่มใสมีความสุข คุยกับหลาน หัวเราะเสียงดังเป็นบางครั้ง พอเหนื่อยก็หยุดฟังหลานเล่าเรื่องที่โรงเรียน ยิ้มแย้มแจ่มใส ตาเป็นประกาย
พอเดินเข้าไปใกล้เตียง อาม่าก็เรียก
“อาจารย์ หลานชายมาเยี่ยมเห็นไหม นี่หลานชายคนโตของอาม่าเลยนะ”
“เห็นแล้วค่ะ หลานอาม่าน่ารักจังค่ะ”
“อีเป็นหลานชายคนโตของอาม่านะหมอ เรียนเก่งด้วย” อาม่าเงียบไปพักหนึ่งแล้วหันมามองหน้า “อาจารย์ อาม่าจะได้อยู่จนเห็นหลานรับปริญญาไหม”
ถึงตรงนี้ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เพราะด้วยอายุ 80 กว่าปีของอาม่า ถึงจะไม่มีโรคอะไรก็บอกได้ยากว่าอาม่าจะมีอายุยืนยาวไปได้อีกร่วม 10 ปี จนหนุ่มน้อยได้รับปริญญาหรือเปล่า แล้วนี่อาม่ายังเป็น stage 4 cancer ที่ไม่ตอบสนองต่อ chemotherapy แล้ว
จะตอบอาม่าว่าได้สิ ก็โกหกไม่เป็น ครั้นจะบอกความจริง พอสบตาอาม่าก็สงสาร พ่อเด็กหรือลูกชายของอาม่าก็อยู่ตรงนั้น เขาเองก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน เพราะทราบ prognosis ดีพอสมควร
สุดท้ายก็โน้มตัวลงไปจับมืออาม่าไว้ทั้งสองข้าง แล้วบอกว่า
“อาม่าคะ วันนี้อาม่าไม่เหนื่อยแล้วใช่ไหมคะ” อาม่าพยักหน้า “อาม่ามีความสุขที่หลานชายคนโต ที่อาม่ารักมากมาเยี่ยมอาม่าใช่ไหมคะ” อาม่าพยักหน้าอีก “หมอดีใจมาก ๆ ที่เห็นอาม่ายิ้ม หัวเราะ มีความสุข เราจะทำทุกวันให้ดีที่สุด จะมีความสุขกันทุกวัน ดีไหมคะ”
อาม่ายิ้มอีกครั้ง คราวนี้ยิ้มแล้วน้ำตาคลอ
ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ ถึงจะผ่านมาแล้วหลายปี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะพูดอย่างไรให้ดีกว่าเดิม
คนไข้อีกรายเป็นพี่เจ้าหน้าที่ของศิริราชเอง มาตรวจกันตั้งแต่ก่อนพี่จะเกษียณอายุ หลังเกษียณพี่มีแผนการอะไรหลายอย่าง จะไปเที่ยว จะทำสิ่งที่พี่อยากทำซึ่งก่อนเกษียณพี่ไม่มีเวลาพอ
พี่คนไข้มา follow-up หลังเกษียณได้ไม่ถึงปี วันหนึ่งก็มา breaking bad news ให้หมอทราบ
“อาจารย์ พี่ตรวจเจอมะเร็ง”
พี่ยังยิ้มได้ทั้ง ๆ ที่ดูออกว่าพี่ใจเสียมาก ก็จับมือพี่ไว้ บอกว่าเราสู้กันเต็มที่นะพี่ พี่สู้ อาจารย์ที่รักษาพี่เรื่องมะเร็งก็สู้ หมอเองก็จะเอาใจช่วยพี่เต็มที่
หลังจากนั้นพี่ยังมาติดตามการรักษาตามนัด จนท้าย ๆ ก็คือหยุดยาพี่ไปหลายตัว เพราะร่างกายพี่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว
วันสุดท้ายที่เราได้พบกัน พี่นอนอยู่บน stretcher ไม่สามารถเดินเข้ามาตรวจที่ห้องได้เหมือนก่อนหน้านี้ ที่ไม่ว่าจะอ่อนแรงเพียงไรก็จะแต่งตัวแต่งหน้าสวย ใส่วิกผม เดินเข้ามาให้ตรวจทุกครั้ง
พี่นอนหายใจเบา ๆ ไม่ลืมตา พอเรียกชื่อพี่ก็ลืมตามาดูหน้าหมอ พยายามยกมือไหว้ เลยจับมือพี่ให้วางไว้เหมือนเดิม
ถามว่าเป็นยังไงบ้าง อาจารย์อีกท่านว่าอย่างไร สุดท้ายก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าคงเป็น terminal stage แล้ว และพี่เองก็ทราบดี
ได้บอกพี่ไปว่าหมอจะ off ยาที่หมอให้ทั้งหมดนะคะ พี่ไม่ต้องคุมอาหาร อยากทานอะไรทานเต็มที่ อยากทำอะไรทำ พี่พักผ่อนให้สบายนะ หมอไม่นัดพี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาโรงพยาบาล แต่พี่ต้องการอะไรบอกหมอได้ตลอด หมอจะดูแลพี่เต็มที่หากพี่ต้องการ
พี่ยิ้มรับ หลับตา น้ำตาไหลจากหางตาทั้งสองข้าง
ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ได้รับแจ้งว่าพี่จากไปแล้ว
คนไข้ทั้งสองท่านที่เล่าให้ฟังนี้ ก็เป็นคนไข้ที่เราได้แจ้งให้ทั้งสองท่านทราบว่าเป็นโรคอะไร การพยากรณ์โรคเป็นอย่างไร เราคุยกันลึกถึง death and dying ด้วย ว่าเมื่อถึงเวลาคนไข้ต้องการอะไร ทั้งคนไข้และญาติเข้าใจในการดูแลทางการแพทย์ทั้งข้อจำกัด ทั้งสิ่งที่เราทำให้เขาได้
คนไข้อีกท่าน อายุเกิน 90 เดินเองโดยใช้ไม้เท้าช่วย สุขภาพทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดีถึงจะมีโรคประจำตัว
ปัญหาสำคัญคือหูตึงและไม่ชอบใส่เครื่องช่วยฟัง เวลามาตรวจก็จะไม่ได้ยินที่หมอพูด
ถ้าใครมาดูเวลาตรวจคนไข้ท่านนี้ ก็จะเห็นว่าหมอตะโกนกรอกหูคนไข้
แต่ทั้งคนไข้และญาติไม่เคยโกรธหมอ เพราะก่อนตะโกนกรอกหูทุกครั้ง ก็จะหันไปบอกญาติก่อนว่าหมอเสียงดังหน่อยนะคะ แล้วก็จะทำท่าบอกคุณตาว่าจะตะโกนใส่หูแล้วนะ
และถึงจะตะโกนเสียงดัง คำพูดที่บอกออกไปก็จะประมาณ ... คุณตาขา วันนี้ความดันดีนะคะ ... ถึงจะตะโกนก็ต้องสุภาพ
น้อง ๆ ลองนึกนะคะ ว่าความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมา เมื่อน้องต้องรักษาคนไข้ที่มีปัญหาแบบนี้ ความรู้ทางการแพทย์อย่างเดียวพอไหม
หากน้อง ๆ คิดว่าก็รักษาอยู่นี่ไง ก็บอกแล้วไง ก็อธิบายแล้วไง ทำให้ทุกอย่างแล้ว จะเรียกร้องอะไรอีก
ก็อย่างที่บอกตอนต้น ตรงไปตรงมาไม่จำเป็นต้องหยาบคาย เสียงดังก็ไม่จำเป็นต้องพูดห้วน ๆ หรือพูดจากระโชกโฮกฮาก ถึงจะใช้เสียงดังก็พูดนุ่ม ๆ อย่างสุภาพได้
ลองนึกถึงตัวเราเอง เวลาเจออาจารย์ดุมาก ๆ ใช้อารมณ์กับเรา เรารู้สึกอย่างไร ถ้าอาจารย์จะบอกว่า ... เอ้า ... ก็สอนให้แล้วไง มีอะไรก็บอกก็สอนให้หมดแล้ว ที่ดุนี่ก็จะได้จำไง ... น้องพอใจไหม
มีตัวอย่างหนึ่งที่ถามน้องหลายกลุ่มแล้ว คำตอบที่ได้เหมือนกันทุกกลุ่ม
ลองถามน้อง extern ว่ายาเบาหวานมีอะไรบ้าง แล้วให้น้องตอบ น้องก็มักจะตอบว่า glipizide metformin pioglitazone
พอตอบเสร็จ ก็บอกว่ามี response 2 แบบนะ ให้เลือกว่าชอบแบบไหน
แบบแรก ... หมอ นี่เป็น extern แล้วนะ ยังตอบอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้อีก ไม่มีใครสอนเหรอว่าคิดอะไรตอบอะไรให้มันเป็นระบบ ตอบแบบนี้สอบก็ตก แล้วจะไปรักษาคนไข้ได้ยังไง
แบบที่สอง ... ยาที่ตอบมาทั้ง 3 ชนิดนี้ ถ้าน้องรู้จักมันอย่างดี น้องก็จะช่วยคนไข้เบาหวานได้เยอะเลย อาจจะเกิน 70% ของคนไข้ทั้งหมด ที่เหลือถ้าคุมยากก็ปรึกษากันมาได้ แต่ขอแนะนำนิดนึงนะ ถ้าน้องคิดเป็นระบบแล้วน้องจะจำอะไรง่ายขึ้น เข้าใจการใช้ยามากขึ้น เช่น น้องอาจจะแบ่งเป็นยากิน ยาฉีด ในกลุ่มยากินก็แบ่งเป็น insulin segretagogue, insulin sensitizer, … แล้วยกตัวอย่างยาประกอบ จะได้ครบถ้วนสมบูรณ์นะ
ทุกกลุ่มเลือกแบบที่สอง
ขนาดเรารู้จักกันมา เรียนสอนกันมา 5 ปี น้องยังอยากให้อาจารย์พูดดี ๆ ด้วย แล้วคนที่เขาไม่เคยเจอเรามาก่อน คนไข้ทั่ว ๆ ไป ญาติคนไข้ล่ะ เขาจะต่างอะไรจากเรา
วันนี้มีน้องคนหนึ่งถามว่าอาจารย์จบอะไรมา จบจิตวิทยามาหรือเปล่า ก็บอกน้องว่าไม่ใช่หรอก บังเอิญว่าวันนี้เราได้นั่งอยู่ด้วยกันที่ OPD นานหน่อย น้องก็เลยเห็นเวลาคุยกับคนไข้ แต่จริง ๆ พี่ ๆ และอาจารย์หลายท่าน หากน้องได้ไปนั่ง observe ด้วย ไม่ว่าจะที่ OPD ที่ ward หรือที่ไหน ๆ น้องก็จะได้เห็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติกับคนไข้อีกมากมาย ดีกว่าที่น้องเห็นวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะเรามีหลักการง่าย ๆ หลักการเดียวกัน เราใส่ใจคนที่อยู่ต่อหน้าเราตอนนี้หรือเปล่า หากเราปรารถนาดีต่อเขา ไม่ใช่แค่สักแต่ว่าทำงานให้เสร็จไปวัน ๆ การกระทำและคำพูดของเรามันจะออกมาตรงกับจิตใจเราเอง
หากเราอยากได้อะไร เราก็ต้องให้สิ่งนั้นกับคนอื่นก่อน มารยาทดีที่น้องปฏิบัติไป สุดท้ายก็ส่งผลดีกับน้องคนทำเอง นอกจะคนที่เห็นจะชื่นชมน้อง ความดีที่ทำจะช่วยปกป้องคุ้มครองน้องด้วย
มีคำกล่าวว่า “คนไข้เขาไม่ได้ฟ้องหมอที่ทำผิด แต่เขาฟ้องหมอที่เขาไม่ชอบ”
เล่าให้ฟังแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าให้ทำผิด เราต้องรักษาหน้าที่ของเราอย่างดีในการดูแลคนไข้ และอย่าลืมว่าหน้าที่ของเราไม่ใช่แค่รักษาโรค – To cure sometime. To relieve often. To comfort always. น้องต้องดูแลคำพูด บุคลิกภาพ และจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้ดูแลคนไข้ของเราได้เต็มความสามารถ
การกระทำอะไร ที่เราทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ เราก็จะเคยชิน
พูดจาไม่สุภาพ เสียงห้วน ๆ ไม่คิดถึงใจเขา ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เราก็จะชินชา
พูดจาสุภาพ ควบคุมอารมณ์ เข้าใจคนอื่น ก็จะชิน เวลามีใครทำไม่ดีกับเรา เราก็จะควบคุมการแสดงออกของเราให้เหมาะสมได้
ครูดุ ครูเตือน เพราะอยากให้ลูกศิษย์เก่งและดี อยากเห็นลูกศิษย์มีความเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะทำงานในภาครัฐหรือเอกชน หรือแม้แต่เปลี่ยนแนวทางไปทำอาชีพอื่นก็ตาม ไม่อยากเห็นลูกศิษย์เก่งแต่ไม่ดีไม่มีมารยาท ไม่อยากเห็นลูกศิษย์ถูกสังคมลงโทษนะคะ
ขอบอกอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ไม่ได้ตำหนิใครในเรื่องราวที่เป็นข่าวเลยเพราะไม่มีทางได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด แค่รักและเป็นห่วงลูกศิษย์ เป็นห่วงจริง ๆ ค่ะ
https://www.facebook.com/mayuree.homsanit/posts/1897524063710174
แสดงความคิดเห็น
กรณีหมอคุยกับคนไข้เรื่องมะเร็งตับ
หมอก็นั่งยองซะขนาดนั้น ไม่ได้มีท่าทีข่มคนไข้สักนิด หมอแค่ทำเสียงหนักแน่นยืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง
ฟังดูสิ ญาติเถียงซะขนาดนั้น หมอก็ต้องเน้นเสียงบ้างแหละ จะมาดราม่าเรื่องการพูดเพื่ออะไร
ถามจริงๆ มะเร็งตับระยะสุดท้ายจะมาหวังอะไรอีก ต่อให้เอาแบล็คแจ็คมาสิบคนก็ไม่หายหรอก
ถ้าสมมุติคนที่ป่วยเป็นผม ผมยิ่งขอบคุณหมอที่ช่วยพูดตรงๆ อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องฝืนรักษาจนตายคาโรงพยาบาล
ได้ออกจากโรงพยาบาลไปทำสิ่งที่ควรทำ หรือทำสิ่งที่มีความสุข เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย
อยากรู้ว่าคุณๆในพันทิปคิดยังไงกับกรณีนี้ ผมเบื่อจะหาความเห็นตามเพจข่าวละ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ อ้างมะเร็งส่วนอื่นอยู่ได้นาน
เฮลโหลวววว นี่มะเร็งตับ อย่ามโน