11 ก.พ. 62 พ่อชวนครอบครัวเอาอาหารกลางวันไปเลี้ยงเด็กบนดอยที่บ้านแม่แคะ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่ทุรกันดาร อยู่ห่างจากแม่สะเรียง 65 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 2 ช.ม. เราไปรถ 2 คัน แยกกันไปคนละโรงเรียน
พ้อยท์ไม่ได้อยู่ที่การแบ่งปันอาหารกับเด็กๆ และชาวบ้าน แต่อยู่ที่ว่า ระหว่างทางคิดในใจและก็เลยคิดออกมาดังๆ กับสามีว่า เส้นทางที่มานี่มันลำบากมากนะ ต้องโฟร์วีลเท่านั้น ถนนขึ้นเขาขรุขระ ต้องข้ามน้ำ แล้วหน้าฝนเขาอยู่กันยังไง (ได้คำตอบจากครูดอยว่าต้องเดิน เพราะรถไปไม่ได้) และทำไมจึงยังไม่มีหน่วยงานใดหรือผู้มีอำนาจคนไหนพยายามจะสร้างถนนที่ดีเพื่อให้การคมนาคมดีขึ้น (มีหลายพื้นที่มากในแม่ฮ่องสอนที่เป็นแบบนี้) เพื่อที่คนบนดอยจะได้มีโอกาสออกมาเจอโลกกว้างมากขึ้น

สามีถกขึ้นมาว่า ถ้าเราจะต้องขึ้นและลงดอยกันลำบากขนาดนี้ นอกจากคนนอกอาจไม่ค่อยอยากขึ้นไปพัฒนาแล้ว คนบนดอยเองก็อาจไม่อยากลงมาจากดอยก็ได้ เพราะอยู่ที่นั่นอากาศบริสุทธิ์ ชีวิตอาจไม่ต้องการอะไรมาก ปลูกข้าวกินเอง จับปลากินเอง ออกจะชิว ซึ่งเห็นด้วยกับสามีนะ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ไม่ใช่หรือว่าโลกใบนี้มันมีอะไรบ้าง พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรที่ต่างไปเดิม ไม่รู้ว่าโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการศึกษา มันเป็นอย่างไร ดังนั้นพวกเขาก็คงมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งไม่ผิดอะไร แต่...

เราเสียดาย เพราะเราเชื่อว่าทุกคนบนโลกนี้มีความเก่งในตัว แต่คนละด้าน คนบนดอยทุกคนน่าจะมีความสามารถมากมายกว่าที่เราเห็น ถ้าเขาได้เข้าถึงสิ่งต่างๆ แบบที่เราได้รับ เพื่อนๆ ถามกันหลายคนว่าเด็กบนดอยขาดแคลนอะไร อยากได้อะไร เอาจริงๆ เราไม่คิดว่าเขารู้สึกขาดและเขาคงไม่ได้อยากได้อะไร แต่เราคิดว่าเขาขาดโอกาสในชีวิตต่างหาก มันจึงทำให้เขากลายเป็นเด็กด้อยโอกาส โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ความโชคดีของเรามาจากสองปัจจัยหลัก คือ 1) เกิดมาในเมืองใหญ่ที่ความเจริญเข้าถึง และ 2) มีพ่อแม่ที่ให้โอกาสด้านการศึกษาและการใช้ชีวิต ทำให้เราได้เห็นโลกกว้าง ได้ไปเรียนเมืองนอก ได้อ่านหนังสือ ได้ทำงานในที่ดีๆ และได้พูดคุยกับผู้คนมากมาย ทำให้เรามีตัวตนของเราเองจนทุกวันนี้ เรามองว่าแม้คนเราจะมีศักยภาพซ่อนอยู่ในตัวจริง แต่คนเราก็ต้องการคนมาสอนถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม และหากคนเราได้มีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้สิ่งต่างๆ แล้ว ศักยภาพของคนๆ นั้นก็จะเปล่งประกายฉายแววออกมา ความเป็นตัวตนจะปรากฏ ความหลากหลายจะเกิดขึ้น และสิ่งนี้แหละที่เราคิดว่ามันทำให้โลกพัฒนาไปอย่างสวยงามและไม่หยุดยั้ง เรามองว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องทำลายธรรมชาติเพื่อสร้างความเจริญเสมอไป แต่คนเราน่าจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้และใช้ความเจริญที่เกิดจากสมองของเรากันเองเป็นตัวผลักดันรังสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับโลกและทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม

เคยถกกับสามีว่า ที่อเมริกาแม้จะเกิดมาจน แต่ทุกคนสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ ขอแค่ฝันให้ไกลและไปให้ถึง เพราะระบบของประเทศสร้างพื้นฐานให้ทุกคนมีโอกาส แต่ที่เมืองไทย ถ้าเกิดมาจน ชีวิตคือแทบไม่มีโอกาสติดตัวเลย ต้องไขว่คว้าเอาเอง ยากแม้แต่จะฝัน

ลองนึกดู หากคนบนดอยมีโอกาส เริ่มจากมีถนนดี เขาก็คงได้ลงมาศึกษาหาความรู้บนที่ราบมากขึ้นและก็คงต้องมีคนที่เอาความรู้นั้นกลับไปพัฒนาถิ่นที่อยู่ของตนโดยไม่ต้องพึ่งพาคนข้างล่าง
เสียดายโอกาสของเด็กด้อยโอกาส...เมื่อทุกคนซ่อนความเก่งในตัว
พ้อยท์ไม่ได้อยู่ที่การแบ่งปันอาหารกับเด็กๆ และชาวบ้าน แต่อยู่ที่ว่า ระหว่างทางคิดในใจและก็เลยคิดออกมาดังๆ กับสามีว่า เส้นทางที่มานี่มันลำบากมากนะ ต้องโฟร์วีลเท่านั้น ถนนขึ้นเขาขรุขระ ต้องข้ามน้ำ แล้วหน้าฝนเขาอยู่กันยังไง (ได้คำตอบจากครูดอยว่าต้องเดิน เพราะรถไปไม่ได้) และทำไมจึงยังไม่มีหน่วยงานใดหรือผู้มีอำนาจคนไหนพยายามจะสร้างถนนที่ดีเพื่อให้การคมนาคมดีขึ้น (มีหลายพื้นที่มากในแม่ฮ่องสอนที่เป็นแบบนี้) เพื่อที่คนบนดอยจะได้มีโอกาสออกมาเจอโลกกว้างมากขึ้น
สามีถกขึ้นมาว่า ถ้าเราจะต้องขึ้นและลงดอยกันลำบากขนาดนี้ นอกจากคนนอกอาจไม่ค่อยอยากขึ้นไปพัฒนาแล้ว คนบนดอยเองก็อาจไม่อยากลงมาจากดอยก็ได้ เพราะอยู่ที่นั่นอากาศบริสุทธิ์ ชีวิตอาจไม่ต้องการอะไรมาก ปลูกข้าวกินเอง จับปลากินเอง ออกจะชิว ซึ่งเห็นด้วยกับสามีนะ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ไม่ใช่หรือว่าโลกใบนี้มันมีอะไรบ้าง พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรที่ต่างไปเดิม ไม่รู้ว่าโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการศึกษา มันเป็นอย่างไร ดังนั้นพวกเขาก็คงมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งไม่ผิดอะไร แต่...
เราเสียดาย เพราะเราเชื่อว่าทุกคนบนโลกนี้มีความเก่งในตัว แต่คนละด้าน คนบนดอยทุกคนน่าจะมีความสามารถมากมายกว่าที่เราเห็น ถ้าเขาได้เข้าถึงสิ่งต่างๆ แบบที่เราได้รับ เพื่อนๆ ถามกันหลายคนว่าเด็กบนดอยขาดแคลนอะไร อยากได้อะไร เอาจริงๆ เราไม่คิดว่าเขารู้สึกขาดและเขาคงไม่ได้อยากได้อะไร แต่เราคิดว่าเขาขาดโอกาสในชีวิตต่างหาก มันจึงทำให้เขากลายเป็นเด็กด้อยโอกาส โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ความโชคดีของเรามาจากสองปัจจัยหลัก คือ 1) เกิดมาในเมืองใหญ่ที่ความเจริญเข้าถึง และ 2) มีพ่อแม่ที่ให้โอกาสด้านการศึกษาและการใช้ชีวิต ทำให้เราได้เห็นโลกกว้าง ได้ไปเรียนเมืองนอก ได้อ่านหนังสือ ได้ทำงานในที่ดีๆ และได้พูดคุยกับผู้คนมากมาย ทำให้เรามีตัวตนของเราเองจนทุกวันนี้ เรามองว่าแม้คนเราจะมีศักยภาพซ่อนอยู่ในตัวจริง แต่คนเราก็ต้องการคนมาสอนถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม และหากคนเราได้มีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้สิ่งต่างๆ แล้ว ศักยภาพของคนๆ นั้นก็จะเปล่งประกายฉายแววออกมา ความเป็นตัวตนจะปรากฏ ความหลากหลายจะเกิดขึ้น และสิ่งนี้แหละที่เราคิดว่ามันทำให้โลกพัฒนาไปอย่างสวยงามและไม่หยุดยั้ง เรามองว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องทำลายธรรมชาติเพื่อสร้างความเจริญเสมอไป แต่คนเราน่าจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้และใช้ความเจริญที่เกิดจากสมองของเรากันเองเป็นตัวผลักดันรังสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับโลกและทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
เคยถกกับสามีว่า ที่อเมริกาแม้จะเกิดมาจน แต่ทุกคนสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ ขอแค่ฝันให้ไกลและไปให้ถึง เพราะระบบของประเทศสร้างพื้นฐานให้ทุกคนมีโอกาส แต่ที่เมืองไทย ถ้าเกิดมาจน ชีวิตคือแทบไม่มีโอกาสติดตัวเลย ต้องไขว่คว้าเอาเอง ยากแม้แต่จะฝัน
ลองนึกดู หากคนบนดอยมีโอกาส เริ่มจากมีถนนดี เขาก็คงได้ลงมาศึกษาหาความรู้บนที่ราบมากขึ้นและก็คงต้องมีคนที่เอาความรู้นั้นกลับไปพัฒนาถิ่นที่อยู่ของตนโดยไม่ต้องพึ่งพาคนข้างล่าง