The Motorcycle Diary “บันทึกบนหลังมอไซค์ ขี่รอบไทย ใน36วัน”

The Motorcycle Diary
“บันทึกบนหลังมอไซค์ ขี่รอบไทย ใน36วัน”

เกียร์ว่าง??? กับสิ่งที่ค้างในใจ
สมัยตอนผมวัยรุ่น สิวอักเสบเพิ่งจะมาเยือน เคยนั่งคุยกับเพื่อนสนิทหน้าตาเหมือนคิงคองคนนึงว่า
”ถ้าวันนึงตกงาน จะขี่มอไซค์ไปรอบประเทศกัน”
15ปีผ่านไป!!! ประโยคสนทนาลอยๆในวันนั้นยังวนเวียนในใจของผมมาตลอด และวันนี้ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะใช้พื้นถนนแทน”กระดาษ” และขีดเขียนไดอารี่เล่มนี้ด้วย”มอเตอร์ไซค์”
แต่การขี่มอเตอร์ไซค์รอบประเทศนั้นจะกลายเป็นแค่ทริปธรรมดาๆบ้านๆ หากเราเดินทางเอา”มันส์”เพียงอย่างเดียว ผมจึงหารายได้โดยการ”ขายเสื้อ”เพื่อนำเงินรายได้ไปบริจาคให้เด็กๆในที่กันดาร เพื่อสนับสนุนทางการศึกษาด้วย
การเดินทางจึงจะสมบูรณ์เฟี้ยวฟ้าวมากขึ้น ถ้ามี”ใครสักคน”ได้ประโยชน์จากการเดินทางบ้าๆบอๆของผมนี้

ตบเกียร์หนึ่ง!!! เตรียมบึ่งยาวๆ
การเตรียมตัวในการเดินทางก็ไม่มีอะไรมาก ของใช้ สัมภาระ อุปกรณ์แค้มปิ้ง ก็ไม่ได้แตกต่างจากทริปขี่มอเตอร์ไซค์ทั่วๆไป เพียงแต่มอเตอร์ไซค์ที่ผมเลือกใช้ในการเดินทาง เป็นรถขนาดกลางที่บรรทุกของได้ดี มีความเร็วไปเรื่อยๆ เราสามารถซ่อมแซมรถเบื้องต้นเองได้ง่าย เทคโนโลยี่ไม่ต้อง และน้ำหนักไม่มากเกินไป ถ้าเกิดล้มขึ้นมาผมคนเดียวก็สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แบบสวยๆ
แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ”การวางแผนเส้นทางการเดินทาง” เพราะว่าผมเลือกที่จะเดินทางรอบขอบชายแดนประเทศไทย ดังนั้นเส้นทางต่างๆย่อมไม่ใช่เส้นทางหลักแบบ”นักท่องเที่ยว”แต่เราจะเดินทางแบบ”นักเดินทาง”เพื่อพบเจอสิ่งใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ การวางแผนเรื่องระยะทางและความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในทริปนี้
หรอยๆเข้าเกียร์สอง
เส้นทางจากบ้านจ.นนทบุรี-นครปฐม-ชายแดนพม่า ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี-สวนผึ้ง ราชบุรี-หัวหิน เพชรบุรี ดูจะเป็นการ”ยืดเส้นยืดสาย”บิ้วอารมณ์วัยรุ่นอย่างเราดั่งเพลงป้อปใสๆ สร้างจังหวะการขี่ได้อยู่พอสมควรในวันแรกจากนั้นทุกอย่างจังหวะก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เส้นทางหัวหิน-ประจวบ-ชุมพร-ระนอง ในสองวันถัดมาจึงเริ่มสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่ เขาหลัก จ.พังงา และ ชายหาดราไวย์ จ.ภูเก็ต ในวันถัดไป





จากภูเก็ตที่แสนจะวุ่ยวายด้วยนักท่องเที่ยวและการจราจรประมาณน้องๆสุขุมวิท!!! ทำให้ผมรีบเก็บภาพบรรยากาศและดีดตัวเองมุ่งหน้าไปยัง อ่าวนาง-ไร่เลย์ จ.กระบี่ เพื่อชมพระอาทิตย์ตกที่ชายหาดที่สวยติดอันดับต้นๆของเมืองไทย
วันรุ่งขึ้นผมตั้งใจจะขี่ไปสงขลาแต่เปลี่ยนใจกลางทาง ผมจึงเดินทางจาก กระบี่-พัทลุง-มุ่งหน้าสามจังหวัดชายแดนที่ ยะลา เพื่อใช้เวลาในแบบ”อัลเตอร์เนทีฟ”ในสามจังหวัดที่เขาว่า”ไม่ปลอดภัย”ที่สุดในประเทศ
การเดินทางในสามจังหวัดภาคใต้นั้นแตกต่างกับจังหวัดอื่นๆเล็กน้อย คือ
-บรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบแต่คลาคล่ำไปด้วยรถเกราะของทหารตามถนนหลัก
-ช่วงเวลาการเดินทาง ที่ผมเน้นเดินทางในเวลากลางวัน
-อุบัติเหตุในจุดอับ อาจจะนำมาซึ่งเหตุการณ์ไม่ดีได้
แต่ถึงตามหน้าสื่อจะบอกว่าไม่ค่อยปลอดภัย ผมกลับ”ค้นพบความงดงาม”ได้อย่างเหลือเชื่อ วัฒนธรรมที่ชัดเจน ธรรมชาติที่ยังสดอยู่มาก ผู้คนที่ดูเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว น้ำใจไมตรีที่มีมาให้ผมขณะเดินทาง ดูจะสร้างความประทับใจให้ผมอย่างมาก จนอยากจะกลับไปเยือนใหม่ในเร็ววัน
3วันในพื้นที่สีแดง ผมได้หยดหมึกสีขาวๆไว้หยดนึง ด้วยการมอบอุปกรณ์กีฬาและสื่อการสอนให้กับ”โรงเรียนเจาะไอร้อง” จ.นราธิวาส โรงเรียนที่สอนเด็กๆทั้งสองศาสนาและเด็กพิการด้วยกัน และยังเป็นอำเภอที่เป็นจุดกำเนิดความรุนแรงเมื่อปี 2537
ผมดีใจที่เป็นนักขี่คนแรกๆที่มามอบและทำกิจกรรมที่โรงเรียนแห่งนี้ และยังได้พี่ๆเพื่อนๆบิ้กไบค์จากนราธิวาสมารวมตัวกันครั้งแรกในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย “เป็นความประทับใจในชีวิตผมอย่างมาก”




วันถัดมาความงดงามของ”คีรีวงศ์ นครศรีธรรมราช”และ” ขนอม สุราษธานี”ก็เข้ามากระแทกใจผมอีก อัญมณีของอ่าวไทยก็สวยงามและมีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากฝั่งอันดามัน เรียกว่า”กินกันไม่ลง”
ฝนที่กระหน่ำแบบบทเพลง”ฮาร์ดคอร์”ลงมาตั้งแต่ผมออกจากสามจังหวัด เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้ว ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะตัวแห้ง ผมสงสาร”ตูด!!!”ผมมาก เพราะมันทั้งถูกกดทับจากการขี่ ความโรคจิตของฝน และกางเกงที่อับชื้น  และบางครั้งผมก็คิดว่า “ฝนอาจจะเป็นรางวัลสำหรับผม” ใช่แล้วฝนไม่ใช่อุปสรรค แต่คือรางวัลอันชุ่มฉ่ำ ที่ภาคอื่นไม่มี ที่คอยชโลมจิตใจของเราให้อดทนต่อพายุต่างๆที่โหมกระหน่ำเข้ามาเพื่อสอนให้เรารู้ว่า”ท้องฟ้าหลังฝน สวยงามเพียงใด”



ไหลไปเกียร์สามฮิ
หลังจากเก็บ14จังหวัดภาคใต้มาหมดแล้ว การเดินทางไปยังภาคตะวันออก อีสาน และภาคเหนือ ได้พี่ดิว อาร์ตไดเรคเตอร์หนังโฆษณารุ่นพี่สุดเซอร์เดินทางไปกับผมด้วย
การเดินทางในภาคตะวันออกนั้นสร้างความ”เซอร์ไพร้”ให้ผมไม่น้อย อำเภอที่ไม่ได้คิดว่าจะดีกลับสวยงามแบบบอกไม่ถูก วิถีชาวบ้านที่เป็นกันเองที่แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี  ตกหมึกดูพระอาทิตย์จมไปในทะเลที่เกาะช้าง ขี่เลียบหาดที่เงียบสงบจนสุดชายแดนกัมพูชาที่บ้านคลองใหญ่ จ.ตราด  ลัดเลาะสวนยางตามแนวตะเข็บชายแดนตะวันออกจนไปถึงอรัญประเทศ จ.สระแก้ว  เหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่เกินจินตนาการ การได้กระดกเบียร์เขมรกลางสายฝน!!! นั่งดูฟ้าผ่าในทะเลกลางความมืดมิด!!! เรื่องราวเล็กๆน้อยๆพวกนี้มันเป็นความทรงจำที่”โคตรคูล”สำหรับผม ผมดีใจและภูมิใจมากที่”ออกเดินทางในครั้งนี้”





ยาวไปเกียร์สี่เด้ออ้ายเด้อ
เราสองคนเริ่มต้นภาคอีสานที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กลิ่นรองเท้ามือสองโรงเกลือ ผสมกับกลิ่นรองเท้าที่ชุ่มน้ำมาหลายวันของเราช่างหอมหวนแบบอินดี้สิ้นดี!!! เราตรงดิ่งกระดิ่งลั่นไปโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง จ.บุรีรัมย์ เพื่อนำเงินบริจาคไปมอบให้เด็กๆที่ขาดแคลนทางการศึกษา
สาเหตุที่ผมเลือกโรงเรียนนี้เพราะ”โรงเรียนนี้ไม่ใช่โรงเรียน” วิชาที่สอนนอกเหนือจากวิชาสามัญคือสอนให้เด็กเรียนรู้วิชา”ชีวิต” วิชาจัดการความรู้สึกภายใน วิชาปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ทำยารักษาโรค สมุนไพร โดยมีดนตรีพื้นบ้านและทุ่งนาเป็นสื่อกลาง ที่สื่อสารกับชาวบ้านให้เข้าใจในแนวคิดนี้
เรามุ่งหน้าขี่มอเตอไซค์เลียบลำน้ำโขง ลำน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของชาวอีสานตั้งแต่ปลายสายจ.อุบลราชธานี ผ่านจ.นครพนม จ.หนองคาย จ.เลย
เราได้นั่งเม้ามอยกับพี่น้องชาวลาวอย่างออกรส พร้อมกับแกล้มสายพันธ์อีสานแท้ๆคอนทรัสกับเบียร์ไทยขวดสีเขียว ที่ใต้สะพานมิตรภาพยามค่ำคืน  เราได้สนทนากับพระสงฆ์ขณะพระอาทิตย์กำลังลับลำโขงที่เมืองเก่าเชียงคาน เหล่านี้ล้วนเป็นภาพ”ความงามแบบไทยๆหัวใจลาบก้อย” ที่หาที่ไหนบนโลกนี้คงบ่มีแน่ๆเด้อ แม่นนนนนบ่อ








สุดปลอก ปลัดบอกที่เกียร์ห้าเจ้า
เส้นทางจากอีสานตอนเหนืออย่างเชียงคาน จ.เลย ไปประตูสู่ล้านนา จ.น่านนั้นค่อนข้างไกลอยู่ และใช้เวลาอยู่บนภูเขากับทางคดเคี้ยวค่อนข้างยาวนาน วันนี้เราขี่เหมือน”ไส้จะไหลมากองที่หัวเข่า” กว่าจะถึงน่านตบคาราบาวแดงไปหลายขวด
ตัวเมืองน่านนั้นยังคงวิถีดั้งเดิมอยู่มาก แต่รอบนอกโดยเฉพาะที่อ.บ่อเกลือค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ที่พักราคาแพงๆชิคๆคูลๆขึ้นยังยิ้มกเห็ดรวมตัวไปก่อม้อบ อะไรก็แพงและตามกระแสไปจนหมด ผมไม่มีเงินมากพอที่จะพักแถวๆนี้เลยต้องขับรถไปกางเต๊นท์ที่”อุทยานแห่งชาติดอยภูคา” ที่ห่างออกไปราวชั่วโมงนึง และก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย
ด้วยความมืดและห่างไกลเมืองใหญ่ๆเราได้เห็น”ทางช้างเผือก”ทั้งฝูงพาดผ่านท้องฟ้าชัดระดับ4K ได้ที่นี่
นับว่าเป็นของขวัญหัวใจสำหรับผมมาก
การเดินทางผ่านพะเยา เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน นั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สะใจไบเกอร์ทุกคนอยู่แล้ว เพราะภาคเหนือนั้นล้วนเป็นเส้นทางที่มีภูเขา อากาศ ถนนที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่โคตรชิค และถูกจริตสาวกสายเหนืออย่างเราๆ

ถอนเกียร์มอไซค์ เข้าเกียร์ความทรงจำ
ตลอดระยะทาง 9000 กว่ากิโลเมตร 36วัน รอบขอบประเทศไทย ผมได้พบเจอสิ่งต่างๆมากมายจริงๆครับ
ผมหวังว่าการเดินทางของผมในทริปบ้าๆทริปนี้ จะเปลี่ยนแปลงวงการไบเกอร์ให้มีมิติในการขับขี่มากขึ้น “ขับเพื่อคนอื่นในแบบของคุณเอง” อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ค้าขายส่วนตัว อย่าเห็นแก่ยอดขายรถ อย่าใช้ความนิยมในมอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องมือทำให้รวยแต่ตัว แต่หัวใจจนเหลือหลาย ขับเพื่อบางสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้






https://www.youtube.com/watch?v=uTeqG406bUg
https://www.youtube.com/watch?v=cdFWg14UDSE
https://www.youtube.com/watch?v=zEXBdL2jKbU
เรื่องราวสุดพิเศษเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าเราคิดแล้วไม่ลงมือทำมัน
ผมได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ผมพบเจอมาและได้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจให้กับคุณผู้อ่านไปแล้วครับ
ผมหวังว่าการเดินทางของผมในทริปบ้าๆทริปนี้ จะเปลี่ยนแปลงวงการไบเกอร์ให้มีมิติในการขับขี่มากขึ้น “ขับเพื่อคนอื่นในแบบของคุณเอง” อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ค้าขายส่วนตัว อย่าเห็นแก่ยอดขายรถ อย่าใช้ความนิยมในมอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องมือทำให้รวยแต่ตัว แต่หัวใจจนเหลือหลาย ขับเพื่อบางสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
“ผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร คุณต้องออกเดินทางในแบบของคุณเอง”
และวันนี้ผมได้ค้นพบความหมายของการเดินทางในชีวิตของผมแล้วครับ
รักทุกคนครับ


The Motorcycle Diary
Story & Photo by
รณรงค์ บูรณัติ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่