... ขุนเขาที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาขณะนี้ ถูกม่านหมอกบางๆห่มคลุมไปทั่วแนวเขาที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก มันเป็นภาพที่คุ้นตา
มานานตั้งแต่เขายังเที่ยววิ่งเล่นกับ พิมชนก สาวิตรี และ ดัสกร เพื่อนบ้านใกล้เคียงในหมู่บ้านเล็กๆชนบทแห่งหนึ่งตีนเขา
ทางภาคเหนือของประเทศ มันเป็นชีวิตประสาเด็กที่ไม่ต้องรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย มันช่างเต็มไปด้วยความสุขเสียเหลือเกิน
ยังไงก็ช่าง...มันก็คงเป็นแค่ความคิดคำนึงที่ต้องเก็บซ่อนไว้ในใจลึกๆเท่านั้น มนุษย์เราก็ต้องเดินหน้าสู้กับชีวิตกันต่อไป
จนกว่าวันนั้นจะมาถึง
ฝนฟ้าที่เริ่มโปรยลงมาบางๆ ยิ่งทำให้เผด็จอดนึกย้อนกลับไปในความทรงจำเก่าๆที่เขาเดินต้อยๆตาม หลวงตากล้วย เจ้าอาวาส
วัดหนองคำแซง ที่อยู่ตรงท้ายโค้งหมู่บ้านของเขาไปนิดเดียวไม่ได้ เขายังจำได้ดีว่าทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน คุณแม่จะเป็นคน
ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาล้างหน้า แปรงฟัน และอาบน้ำตั้งแต่ตีห้า
จากนั้นก็เดินจากบ้านไปทางลูกรังแคบๆที่มุ่งตรงไปยังวัดหนองคำแซง ถ้าไปถึงเร็วก็ช่วยทำความสะอาดศาลาวัด ก่อนเดินตาม
หลวงตากับพระลูกวัดอีกสองรูปที่จะเริ่มออกเดินบิณฑบาตทันทีที่ฟ้าเริ่มสว่าง เพราะพระท่านต้องเดินไปตามทางเล็กๆแคบๆ
ย่ำเหยียบทั้งคันนา หนองน้ำเล็กๆที่บางครั้งเต็มไปด้วยโคลนตม บางช่วงแทบจะต้องมุดผ่านดงเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยหนาม
ก่อนจะไปโผล่ที่อีกหมู่บ้าน วันหนึ่งเดินไปกลับนับสิบกิโลเมตรทีเดียว
เมื่อยี่สิบปีก่อน...เขาจำได้ว่าเป็นวันที่เขามีความสุขในชีวิต ที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของเขาพาเขาที่เป็นลูกชายคนเดียวไปบวช
เรียนกับหลวงตากล้วย ที่วัด และมันไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลยสำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น เพราะตลอดเวลาที่เขาอยู่ใน
ร่มกาสาวพัตรนั้น เขาพากเพียรทำทุกอย่างที่คนที่อยู่ในสมณเพศอย่างเขาพึงกระทำ เพื่อตอบแทนบุญคุณของชาวบ้าน
ที่ใส่บาตรให้เขาอยู่ทุกวี่ทุกวันทั้งๆที่ชาวบ้านเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนยากจนหาเลี้ยงตัวไปวันๆ
แต่มาวันนี้...เป็นวันที่เขาจะต้องเปลี่ยนสถานภาพของตัวเองจากสาวกของพระพุทธเจ้ามาเป็นฆราวาสดังเดิม เพราะพ่อก็มา
ประสบอุบัติเหตุรถยนต์จากไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ทำให้แม่ที่มีอาการป่วยเรื้อรังมานานหลายปีจนแทบดูแลตัวเองไม่ได้แล้ว
ต้องมาอยู่คนเดียวไร้คนพึ่งพา ผมจึงต้องลาสิกขามาในวันนี้เพราะเหตุนี้นั่นแล...
...." วันเผด็จสึก "...
....สิ่งที่ได้ยิน เห็น หรือรับรู้...อาจไม่เหมือนอย่างที่สมองคิด...
วันเผด็จสึก - เรื่องสั้นขำๆที่เคยฟังมาสมัยเด็กๆ
มานานตั้งแต่เขายังเที่ยววิ่งเล่นกับ พิมชนก สาวิตรี และ ดัสกร เพื่อนบ้านใกล้เคียงในหมู่บ้านเล็กๆชนบทแห่งหนึ่งตีนเขา
ทางภาคเหนือของประเทศ มันเป็นชีวิตประสาเด็กที่ไม่ต้องรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย มันช่างเต็มไปด้วยความสุขเสียเหลือเกิน
ยังไงก็ช่าง...มันก็คงเป็นแค่ความคิดคำนึงที่ต้องเก็บซ่อนไว้ในใจลึกๆเท่านั้น มนุษย์เราก็ต้องเดินหน้าสู้กับชีวิตกันต่อไป
จนกว่าวันนั้นจะมาถึง
ฝนฟ้าที่เริ่มโปรยลงมาบางๆ ยิ่งทำให้เผด็จอดนึกย้อนกลับไปในความทรงจำเก่าๆที่เขาเดินต้อยๆตาม หลวงตากล้วย เจ้าอาวาส
วัดหนองคำแซง ที่อยู่ตรงท้ายโค้งหมู่บ้านของเขาไปนิดเดียวไม่ได้ เขายังจำได้ดีว่าทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน คุณแม่จะเป็นคน
ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาล้างหน้า แปรงฟัน และอาบน้ำตั้งแต่ตีห้า
จากนั้นก็เดินจากบ้านไปทางลูกรังแคบๆที่มุ่งตรงไปยังวัดหนองคำแซง ถ้าไปถึงเร็วก็ช่วยทำความสะอาดศาลาวัด ก่อนเดินตาม
หลวงตากับพระลูกวัดอีกสองรูปที่จะเริ่มออกเดินบิณฑบาตทันทีที่ฟ้าเริ่มสว่าง เพราะพระท่านต้องเดินไปตามทางเล็กๆแคบๆ
ย่ำเหยียบทั้งคันนา หนองน้ำเล็กๆที่บางครั้งเต็มไปด้วยโคลนตม บางช่วงแทบจะต้องมุดผ่านดงเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยหนาม
ก่อนจะไปโผล่ที่อีกหมู่บ้าน วันหนึ่งเดินไปกลับนับสิบกิโลเมตรทีเดียว
เมื่อยี่สิบปีก่อน...เขาจำได้ว่าเป็นวันที่เขามีความสุขในชีวิต ที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของเขาพาเขาที่เป็นลูกชายคนเดียวไปบวช
เรียนกับหลวงตากล้วย ที่วัด และมันไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลยสำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น เพราะตลอดเวลาที่เขาอยู่ใน
ร่มกาสาวพัตรนั้น เขาพากเพียรทำทุกอย่างที่คนที่อยู่ในสมณเพศอย่างเขาพึงกระทำ เพื่อตอบแทนบุญคุณของชาวบ้าน
ที่ใส่บาตรให้เขาอยู่ทุกวี่ทุกวันทั้งๆที่ชาวบ้านเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนยากจนหาเลี้ยงตัวไปวันๆ
แต่มาวันนี้...เป็นวันที่เขาจะต้องเปลี่ยนสถานภาพของตัวเองจากสาวกของพระพุทธเจ้ามาเป็นฆราวาสดังเดิม เพราะพ่อก็มา
ประสบอุบัติเหตุรถยนต์จากไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ทำให้แม่ที่มีอาการป่วยเรื้อรังมานานหลายปีจนแทบดูแลตัวเองไม่ได้แล้ว
ต้องมาอยู่คนเดียวไร้คนพึ่งพา ผมจึงต้องลาสิกขามาในวันนี้เพราะเหตุนี้นั่นแล...
...." วันเผด็จสึก "...
....สิ่งที่ได้ยิน เห็น หรือรับรู้...อาจไม่เหมือนอย่างที่สมองคิด...