อยากฝากประสบการณ์ของตนเองถึงคู่รักเกย์ที่คิดจะสร้างครอบครัวแบบสามี-ภรรยาทั่วไป (โลกไม่สวย)

        การจริงจังกับความรักและชีวิตคู่ถึงขั้นวางแผนอนาคตเป็นสิ่งที่ดีครับเพราะความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ก็อยากให้มองอีกมุมนึงว่าบางคนที่เราเลือกนั้นอาจจะยังไม่พร้อมที่จะละทิ้งความเป็นอิสระ ความเป็นส่วนตัวในบางเรื่อง ปัจจัยภายนอกภายในต่างๆหรืออาจจะยังไม่มั่นใจในตัวเรา ว่าจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของเขาที่กำลังมองหาอยู่หรือเปล่า...

          คำว่า”ครอบครัว”จากประสบการณ์ของผมหมายถึงการใช้ชีวิตกินอยู่ด้วยกันเสมือนคู่สามีภรรยาทั่วไป ซึ่งจะกลายเป็นบุคคลคนเดียวกันในทางพฤตินัย มีการร่วมทุกข์ ร่วมสุข เผชิญปัญหาทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาไปด้วยกัน โดยที่เราต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวและคนรักมาก่อนเป็นอันดับหนึ่งเสมอ นอกจากนี้เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าเราอาจจะต้องเฟดตัวออกจากกลุ่มเพื่อนๆและสังคมภายนอกทีละนิดๆบ้าง เพื่อให้เวลากับครอบครัวและคนรักอย่างเพียงพอ เพื่อไม่เกิดระยะห่างและความไม่เข้าใจจนทำให้ความสัมพันธ์นั้นสะบั้นลง

        การไปไหนมาไหนจะต้องบอกกล่าวกันก่อนล่วงหน้าเพื่อเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไว้เนื้อเชื่อใจโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในกรณีที่บางคู่อาจจะยังลังเลหรือนึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร จะทำได้หรือไม่นั้น ผมจึงขอแชร์ประสบการณ์ชีวิตคู่บางสถานการณ์จริงของผมและของคนรู้จักที่พบเจอมาโดยให้ลองจินตนาการว่า...

        1. เราพร้อมไหมที่จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน? เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคู่รักที่กำลังจะเริ่มจริงจังกับความรักและสร้างครอบครัวจะแยกกันอยู่ ซึ่งแน่นอนก็ต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เจอหน้ากันทุกวัน กินนอนด้วยกัน ทำกิจกรรมอะไรๆ หลายอย่างด้วยกันตลอด โดยจะมีระยะห่างเพียงช่วงเวลาที่แยกกันไปทำงานของตนเองเท่านั้น ซึ่งหลังจากทำงานเสร็จถ้าไม่ติดธุระอะไรก็ต้องกลับมาเจอกันเสมอ มาถึงตรงนี้จะหาเวลาส่วนตัวค่อนข้างยากก็เพราะเราเลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นแบบครอบครัวแล้ว ที่สำคัญกิจกรรมบนเตียงก็ต้องมีอะไรกับคนนี้ คนเดียวไปตลอด...

        2. เรามีความสุขดีแล้วใช่ไหม่ที่จะมีเซ็กส์กับคนนี้ตลอดไป? สำหรับเซ็กส์นั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีผลกับความสัมพันธ์อยู่ไม่น้อย ซึ่งต้องพิจารณาว่าเรากับคนรักมีทัศนคติกับเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันรึเปล่า ถ้าความต้องการทางเซ็กส์มันสวนทางกันย่อมมีปัญหาการนอกกายนอกใจตามมาแน่นอน ไม่ว่าสาเหตุนั้นเกิดขึ้นมาจากปัจจัยใดๆ ก็ตาม เช่นที่คนใดคนนึงทำงานหนัก เครียด จนไม่มีอารมณ์ทางเพศ ละเลยคู่รักหรืออยู่ในจุดอิ่มตัวเพราะไม่ได้โฟกัสเรื่องเซ็กส์แล้วหรืออาจจะมีปัจจัยอื่นๆรวมอยู่ด้วย

        แต่ถ้าคู่ไหนมีความต้องการสูงพอๆกันก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่ายินดีนัก เพราะอย่าลืมว่าวันใดวันหนึ่งถ้ายังคงมีเซ็กส์ในแบบแบบท่วงท่า ลีลาเดิมๆ ผลลัพธ์ก็จะออกมารูปแบบเดิมเสมอ ไม่มีความตื่นเต้น เกิดเป็นความชินชาเริ่มเบื่อหน่าย ซึ่งมันอาจจะทำให้คนใดคนนึงหรือทั่งคู่หมด passion และความน่าค้นหาในเรืองร่างเดิมก็เป็นได้ ดังนั้นต่างฝ่ายต่างก็ต้องหมั่นเพิ่มสีสัน เติมความแปลกใหม่เข้าไปในกิจกรรมเพื่อทำให้เรายังคงเป็นที่ต้องการและตอบโจทย์เรื่องเซ็กส์ของกันและกันอยู่เสมอ

         ส่วนคู่ไหนที่ความต้องการต่ำพอๆกัน มีเซ็กส์นานๆ ทีหรือรู้สึกว่าการมีเซ็กส์เป็นองค์ประกอบเล็กๆของชีวิตคู่แล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลยนะครับ เพราะอาจมีเรื่องอื่นๆ ที่จะกลายมาเป็นปัญหาแทนซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างในข้อต่อไปครับ

       3. เราพร้อมไหมที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน? จริงอยู่คนเราก็ต้องมีบางสิ่งที่ไม่อยากเปิดเผยให้คนรักรู้มากนักหรอก ซึ่งถ้าลองย้อนไปตอนคุยกันแรกๆ เรามักจะหาเรื่องคุย เรื่องดีๆเอามาแชร์กัน เวลานัดเจอเราก็มักจะทำให้ตัวเองดูดีโดยจะแต่งตัวสวยหล่อพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีให้อีกฝ่ายเกิดความประทับใจมากที่สุดทั้งนั้น ทั้งนี้ก็ทำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั่นคือการได้มีโอกาสคบกันจนนำไปสู่การสร้างครอบครัวในภายหลัง
บางคู่อาจจะขอศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆ อาจจะยังคิดไม่ไกลจนถึงขั้นวางแผนสร้างครอบครัวด้วยกัน ซึ่งตรงนี้ต่างฝ่ายต่างยังพอมีเวลาทบทวนตัวเองว่าจริงๆแล้วเรายังรักและพร้อมรับตัวตนที่แท้จริงของเขาเหมือนวันแรกๆ ที่รู้จักกันหรือเปล่า และมันก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรถึงจะสามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันโดยศึกษาเรียนรู้นิสัยใจคอผ่านการใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว เราก็ต้องเปิดใจยอมรับนิสัยของกันและกันให้ได้มากที่สุด แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นด้านดีๆ หรือด้านแย่ๆ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ทีนี้เราลองถามตัวเองดูว่า…

-    รับกันได้ไหมถ้าคนใคคนนึงเขาติดโชเชียล ไลน์ เฟสบุ๊ก อินสตราแกรม ทวิตเตอร์หรือแอพลิเคชั่นอื่นๆ มากไป ตลอดเวลาที่กินข้าว ไปร้านกาแฟ ดูหนัง ตอนก่อนนอน ไปเที่ยวทำกิจกรรมที่ต่างๆ หรือตอนขับรถไปไหนมาไหนด้วยกันก็ตาม
-    จะโอเคไหมถ้าคนในโซเชียลมาคุยเตาะ มาคุยวอแว
-    รับได้ไหมเขาติดเกมแล้วเรามองว่าไร้สาระ หรือเราติดเองแล้วเขามองว่าไร้สาระบ้าง
-    รับกันได้ไหมถ้าคนใคคนนึงขี้บุ่นจุกจิกทุกเรื่อง
-    รับได้กันไหมถ้าคำพูดบั่นทอนจิตใจที่ไม่คิดว่าจะได้ยินแล้วพูดออกมาใส่กันเจ็บใจ
-    รับกันได้ไหมถ้าคนใคคนนึงนอนดึกตื่นสาย ขี้เกียจทำงานบ้าน ดองผ้าที่ไม่ได้ซัก ดองถ้วยชามที่ใช้แล้ว
-    รับกันได้ไหมถ้าคนใดคนนึงเลิกงานมาเครียดๆ อยากอยู่คนเดียวไม่คุยกับอีกคนเลย
-    รับกันได้ไหมถ้าคนใดคนนึงมีเพื่อนเยอะแล้วเพื่อนชวนออกไปข้างนอกบ่อยๆ แต่อีกคนเพื่อนน้อยไม่ค่อยได้ไปไหน หรือไปด้วยกันแล้วชอบนอยด์ รักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
-    รับกันได้ไหมถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชอบสัตว์เลี้ยงแต่อีกฝ่ายไม่ชอบเลย
-    รับกันได้ไหมถ้าอีกฝ่ายหงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุแล้วมาพาลใส่กัน
-    จะรับกันได้ไหมถ้าคนใดคนนึงซื้อของที่คิดว่าไร้สาระและฟุ่มเฟือย
-    จะโอเคไหมถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องรออีกคนนานๆ โดยที่ไม่ใช่ธุระของตนเอง
-    จะโอเคไหมกันไหมถ้าฝ่ายฝ่ายหนึ่งปล่อยเนื้อปล่อยตัว อ้วนเผละ หรือผอมลงพุง ใบหน้าดูโทรมหมอง ไม่ดูแลตัวเอง มองรวมๆแล้วไม่น่าดู ไม่น่าพิศวาสเหมือนตอนคบกันใหม่ๆเลย
-    เวลาคนใดคนนึงป่วยแล้วงอแงเราพร้อมจะดูแลเขาอย่างเต็มใจไหม โดยที่ไม่ดุด่าว่ากล่าวแม้เขาจะไร้เหตุผลเพียงใด

        ที่ผมยกมาเป็นแค่ตัวอย่างสถานการณ์ที่คู่รักทั่วไปมักจะเจอประจำอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆเวลาคนเราอยู่ด้วยกันมันจะมีหลายโมเมนท์มากๆ ที่ให้เรียนรู้นิสัยที่แท้จริงซึ่งกันและกันอีกมากและผมคงยกตัวอย่างได้ไม่หมด

       4. พร้อมจะปวดหัวกับเรื่องปากท้องได้ไหม? เรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไม่ควรมองข้ามคือเวลากินข้าว มันเป็นปัญหาโลกแตกของชีวิตคู่ที่ทำให้หัวเสียบ่อยๆ คือ "ไปกินไรดี?" ฟังดูแล้วอาจจะดูตลกใช่มั้ยและคำว่ากินไรก็ได้..เลือกมาเลยนี่อันตรายสุดๆ ซึ่งคุณอย่าลืมว่า ถ้าคนใดคนนึงไม่ได้มีใจไป หิวไม่พร้อมกันบ้างหรือเพราะไม่รู้จะไปที่ไหนแต่แรก คนที่เลือกก็ต้องเป็นกังวลอีกว่าร้านที่เราเลือกมันจะ OK ไหม ถ้าไม่..ก็ซวยไปครับ เพราะจะต้องมีเสียงบ่นตามมาอย่างแน่นอนและถ้าเป็นบ่อยๆ มันจะกลายเป็นบาดแผลเล็กๆ สะสมไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่กล้าเลือกร้านอีกต่อไปแล้วกลับกลายเป็นว่าเป็นการโยนภาระให้อีกฝ่ายเลือกซึ่งเขาอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันอยู่ก็ได้

         ถ้าถามว่าทำไมต้องกินพร้อมกันหล่ะ? บางคู่เขาซีเรียสไงครับ ยิ่งเวลาเสาร์-อาทิตย์เนี่ยถ้าต่างฝ่ายไม่ได้ไปที่ไหนคือเป็นช่วงที่จะต้องหาข้าวกิน 6 มื้อ ถ้าไม่กินพร้อมกันก็มีปัญหาอีกว่าทำไมไม่ไปด้วยกันหล่ะ และจะมีคำถามตามมาอีกมากมายเช่นทำไมไม่หิวเหรอ เบื่อเหรอ ขี้เกียจเหรอ โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด บางทีก็ถามเซ้าซี้จนน่ารำคาญ แล้วถ้ามีคนใดคนนึงกินก่อนโดยที่ไม่สนใจอีกคนว่าได้กินรึยังก็จะหาว่าไม่ใส่ใจบ้าง บลาๆๆ กลายเป็นปัญหาจนเสียสุขภาพจิตไปเลยก็มี

           อีกกรณีนึงคือต่างคนต่างบอกว่ากินอะไรก็ได้คือต้องมีคนใดคนนึงเป็นคนเลือกอ่ะคิดดู แล้วถ้าไม่มีใครเลือกก็จะคาราคาซังไม่ได้ไปกินสักที จนเวลาล่วงเลยไปนานอาจจะทำให้โมโหหิวอีก คราวนี้ก็จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องละเพราะเริ่มมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจกันจนทะเลาะกันในที่สุด แต่ถ้าคุณกับคนรักเป็นคนที่มีกินเหลือใช้ ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องราคาอาหารแต่ละมื้อ ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะสามารถเลือกร้านแพงๆได้ทุกมื้ออยู่แล้วซึ่งกว่า 90% เป็นร้านอาหารที่รสชาติค่อนข้างดีและมีอยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร การเลือกกินอาหารที่ถูกปากและราคาที่สามารถจ่ายได้ทั้งสองคนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในการเลือกกินเลยแหล่ะ และที่สำคัญคือคือต้องรู้ว่าแต่ละคนไม่ชอบอะไรหรือแพ้อะไรหรือเปล่า มันยิ่งดูยากเข้าไปใหญ่

          5. ครอบครัว สังคมของแต่ละฝ่ายเปิดใจยอมรับไหม? ความยากอีกอย่างหนึ่งของคู่รัก LGBT คือการก้าวข้ามอุปสรรคที่มาจากการไม่ยอมรับและการถูกตีตราหน้าว่าพวกจิตวิปริตผิดเพศจากครอบครัวและสังคมรอบข้างของแต่ละฝ่ายได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะยอมรับกันได้ง่ายๆ เพราะโดยพื้นฐานรากเหง้าวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านเรานั้น ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง การแต่งงานมีครอบครัวมีพ่อ แม่ ลูกจึงจะเป็นที่ยอมรับของสังคม แม้ในปัจจุบันความหลากหลายทางเพศได้เป็นที่ยอมรับแบบกลายๆไปแล้วบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ยังมีกลุ่มของสังคมหลายๆ กลุ่มที่ยังไม่เปิดใจยอมรับกับความหลากหลายของวิถีเพศนี้ ซึ่งถ้าครอบครัวของเราและคนรักสามารถมองข้ามจุดนี้ไป ให้การยอมรับเราและคนรักและเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำครหาของสังคมรอบข้างได้นั้น ถือว่าเรากับคนรักมีครอบครัวที่รักและปราถนาดีอย่างแท้จริง

          ในทางกลับกันถ้าครอบครัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับสิ่งที่เราและคนรักเป็นอยู่ มันก็เป็นเรื่องยากและละเอียดอ่อนมากที่ต้องคุย ต้องปรับทำความเข้าใจกันดีๆ แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น คงไม่มีใครอยากให้เกิดความร้าวฉานภายในครอบครัว เนื่องจากเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสุดท้ายแล้วเรากับคนรักจะจับมือกันแน่นพอที่จะรับมือฝ่าฟันกับอุปสรรคนี้ไปได้นานแค่ไหน อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็ต้องมีความรักความเข้าใจกันเป็นเป็นทุนเดิม รู้จักสร้างและกำลังใจให้แก่กันและกันในยามท้อแท้ ที่สำคัญคือต้องมีความอดทด อดกลั้นมากพอเพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าคู่รัก LGBT ก็สามารถสร้างครอบครัวและเป็นที่ยอมรับของสังคมเฉกเช่นคู่สามี-ภรรยาทั่วไปในสังคมบ้านเราได้

        6. หน้าที่การงาน การเงิน พื้นฐานครอบครัว สังคมรอบข้าง ไลฟ์สไตล์และทัศนคติไปกันได้ไหม? อย่าเพิ่งคิดว่าผ่านข้อ 1 –  5 แล้วชีวิตครอบครัวจะมีความสุขนะครับ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ยังต้องพิจารณาอีกคือ

        - หน้าที่การงาน การเงิน คือต่างฝ่ายต่างก็ต้องมีการงานที่มั่นคง ซึ่งรวมถึงถึงการเงินที่ดีด้วย อาจจะไม่ต้องมีรายได้ที่พอๆกันแต่อย่างน้อยก็ต้องไม่กระทบกับคนใดคนนึงมากไป ส่วนเรื่องหนี้สินก็นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งก็จะต้องไม่ให้เป็นภาระของอีกฝ่ายด้วย เราต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้เป็นการป้องกันปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายภายในชีวิตครอบครัวเพราะเราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินมีส่วนสำคัญอย่างมากในการเติมเต็มและรักษาชีวิตและสถานะการเงินของครอบครัวให้ยั่งยืน

        - พื้นฐานครอบครัวผมเชื่อว่าถ้าสามารถก้าวข้ามข้อ 5 มาได้ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาแล้วหล่ะ แต่ผมขอพูดในอีกกรณีนึงนะครับ ถ้าสมมติบ้านที่อาศัยอยู่ไม่ได้มีแค่เรากับคนรัก แต่มีญาติผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้องของคนรักอยู่ด้วยเป็นครอบครัวใหญ่ แม้ว่าผู้ใหญ่จะให้การยอมรับแต่มันก็มีบางเวลาอยากเป็นส่วนตัวกับคนรักบ้าง ไม่ใช่แค่ในห้องนอน ซึ่งผมมองว่ามันก็ต้องมีอึดอัดกันบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งพื้นฐานครอบครัวเป็นคนเคร่งเรื่องมารยาท กินข้าวพร้อมเพรียงกัน รักษาความสะอาดและค่อนข้างมีกฏระเบียบมาแต่ไหนแต่ไร แล้วข้อนี้เราจะสามารถยอมรับได้ไหม ถ้าถามว่าทำไมไม่แยกออกมาอยู่กันสองคนหล่ะ ผมก็ขอพูดในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหลือญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวซึ่งต้องดูแลท่าน มันก็ต้องเป็นเรื่องที่เราต้องปรับตัวให้ได้อีกเช่นกัน
(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่