เกมรักพิศวง 6 อาจไม่แน่ใจว่ารัก...แต่คิดถึง

กระทู้สนทนา
บทที่ 5
https://pantip.com/topic/38514892
.....

ท้ายบทที่แล้ว
  “เกม...!”   เขาคำรามในใจ นี่มันเป็นเพียงเกมเท่านั้น เธอไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงสักอย่าง จะตาบอดพิการหรือว่าอะไรก็ตาม ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยสักนิด ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย

.......

             ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกไปจากห้อง ตัดใจลืมเรื่องบ้าบอพวกนี้ให้หมด ไม่ต้องรับรู้รับผิดชอบอะไรอีกต่อไป ออกไปหาร้านอาหารดื่มกินให้เมาสักคืน  เงินก็ยังพอมี ทำไมต้องมาหาเรื่องเสียเวลาให้ยุ่งยากใจ

             ใช่! ควรทำตั้งแต่ตอนนี้เลย แค่วางหูโทรศัพท์ลง ยื่นมือออกไปกดเมาส์คลิ๊ก Shut down เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งวุ่นวายรบกวนจิตใจมาหลายวันก็จะจบสิ้นลง แล้วไม่ต้องกลับเข้ามาเล่นเกมอีกตลอดชีวิต

             บอกกับตัวเองเช่นนั้น แต่มือยังยกหูโทรศัพท์ชะงักค้างคา เหม่อมองจ้องภาพในจอคอมพิวเตอร์นิ่งเฉย เหมือนคนอับจนปัญญา

             หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นั่งจ้องมองไปเบื้องหน้าท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

             นี่เขากำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่...?  

             ทำไมรู้สึกเจ็บปวดในใจพิลึก...มันเจ็บ! เจ็บลึกๆ!  เจ็บจนน่ากลัว!

             ทันใดนั้น หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็กลับกลายเป็นความมืดดำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรากฏตัวหนังสือสีขาวขนาดมองเห็นชัดเจนถนัดตาขึ้นมากลางจอ

                 [...หมดเวลาเล่นเกมชั่วคราว...]

             “เฮ้ย...บ้าอะไรกัน!”  ชายหนุ่มอุทานเสียงหลงสะดุ้งโหยงสุดตัว อ่านข้อความแล้วใจหายวาบ ยังไม่ได้ตอบคำถามสำคัญของหญิงสาวให้กระจ่าง เกมก็ทะลึ่งมาปิดโปรแกรมใส่หน้ากลางคันในเวลาวิกฤติราวกับจะแกล้ง ปลายสายคงจะต้องคิดว่าเขาเป็นฝ่ายวางหูเป็นแน่แท้ เข้าใจผิดกันไปใหญ่

             บ้าเอ้ย..!ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย..!

             แต่เธอเป็นเพียงโปรแกรมเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทำไมจะต้องมากังวลกับเรื่องของเกมจนเกินกว่าเหตุ ทำไมต้องกังวลว่าจะเป็นการเข้าใจผิด คิดแล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเล่นเกม หรือเกมกำลังเล่นอยู่กับชีวิตของเขากันแน่
    
             ข้อความเตือนเรื่องเวลากะพริบอยู่ครู่หนึ่งแล้วดับวูบไป กลายเป็นหน้าจอของระบบปฏิบัติการตามปรกติ หลังจากนั้นไม่ว่าจะพยายามเปิดเจ้าเกมพิศวงก็ไม่สามารถเล่นได้อีก ไอคอนของมันไม่มีการตอบสนองใดๆ
    
             “บ้าจริงเชียว...”  เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดด้วยความรู้สึกว่าบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต สุดท้ายยอมแพ้ ละสายตาออกจากหน้าจอ เอนหลังกับพนักเก้าอี้หลับตาสูดลมหายใจลึกๆ พยายามสงบใจรวบรวมความคิดหาทางออกให้กับชีวิต
    
             ความจริงวันนี้ตั้งใจว่าจะออกจากห้อง ไปหางานอะไรก็ได้ที่สามารถหาเงินมาเพิ่มเป็นทุนสำรองในการยังชีพ แต่กลับใช้เวลาทั้งวันวนเวียนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีสมาธิกับอย่างอื่นเพราะผู้หญิงลึกลับคอยรบกวนความคิดแทบตลอดเวลา แถมเวลานี้ยังรู้สึกผิดอย่างแปลกๆ อีกต่างหาก  ไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือคิดผิด มีหลายอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและไม่ทันให้ตั้งตัว ความคิดวุ่นวายสับสนจนไม่รู้ว่าจะเรียงลำดับความสำคัญอย่างไร

             กระทั่งใกล้ค่ำ เมื่อเห็นว่าโปรแกรมเกมลึกลับยังไม่สามารถเล่นได้ ชายหนุ่มตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาอาวุธเพื่อนสนิท โดยคิดว่าเจ้าปีศาจเกมเพื่อนรักอาจมีคำอธิบายให้ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องเกมแล้วหมอนี่ไม่เป็นรองใครแน่นอน รายได้ส่วนหนึ่งของอาวุธมาจากการเขียนรีวิวเกมต่างๆในวารสารเกม รวมทั้งการเขียนเฉลยวิธีการเล่นเกมให้ผ่าน สำหรับเกมที่เล่นยากด้วย เรียกว่าใช้วิชาเล่นเกมเป็นอาชีพเสริมได้อย่างสบาย

             “ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่ากวนใจ เสียเวลาเล่นเกม”

             นั่นเป็นประโยคแรกที่เจ้าเพื่อนบ้าเกมพูดให้ได้ยิน ถ้าคนไม่รู้นิสัยกันอาจจะพาลโกรธกันไปแล้วก็เป็นได้ แต่ความจริงอาวุธเป็นคนปากร้ายไปอย่างนั้นเอง เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เคยแล้งน้ำใจกับเพื่อนฝูง

             “สำคัญแน่นอน นายอยากฟังเรื่องเจ๋งๆ เกี่ยวกับเกมไหมล่ะ”

             “เจ๋งแค่ไหนกัน”  

             “รับรองนายทายไม่ถูกหรอก”

             “ฉันรู้ว่านายมีปัญหาเรื่องเกมแน่ๆ” เจ้าเพื่อนรักพูดดักคอขึ้นมา เพราะทุกครั้งไม่ว่าจะเล่นเกมไม่ผ่าน เปิดโปรแกรมไม่ได้ โปรแกรมเถื่อนให้เป็นของแท้ กระทั่งหาทางโหลดเกมมาเล่นฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยเจ้าเพื่อนผู้เปี่ยมความสามารถในวิชาเล่นเกมแก้ปัญหาให้ได้เสมอ

             “นายทายถูก”  เขายิ้มเจื่อนให้กับคำพูดอย่างรู้ทางกันของเพื่อนรัก เพียงแต่ครั้งนี้ปัญหามันหนักหนาสาหัสเกินไปจนยากจะมีใครเชื่อ  “ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง แต่อย่าเพิ่งหาว่าฉันบ้าก็แล้วกัน”

             “ถ้าเรื่องที่ว่าบ้านี่ ถ้าเกี่ยวกับเกม ว่ามาเลย ฉันชอบว่ะ”

             “เออ...เกี่ยวมากเสียด้วย เกี่ยวจนอยากจะบ้า”

             “อย่าเพิ่งสรุปความบ้าง่ายๆ ก็ลองเล่ามาก่อนสิ แล้วฉันจะบอกว่านายกำลังบ้าอยู่ในระดับไหน”

             ฟังคำพูดกวนประสาทแล้วแทบจะอยากตัดสายวางหูเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เวลานี้ไม่มีใครจะปรึกษาได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้อาวุธฟัง แม้รู้ว่าเป็นเรื่องราวมันพิสดารหลุดโลกจนไม่น่าจะมีใครเชื่อ แต่อาวุธก็เงียบรับฟังอย่างตั้งใจอย่างผิดคาด และอาการเงียบอย่างผิดคาดนั่นเองทำให้ชวนคิดไปได้สองทางว่า อาวุธอาจคิดว่าเขาประสาทหลอน หรือไม่ก็ไม่เข้าใจอะไรกับเกมประหลาดอันชวนพิศวง อย่างที่เขากำลังเป็นอยู่เช่นกัน

             “เอาล่ะ จบแล้ว นายคิดว่ายังไง” ชายหนุ่มกลั้นใจถามเมื่อรายงานข้อมูลเรียบร้อย อีกฝ่ายยังไม่ตอบทันที ราวกับกำลังขบคิดอะไรอยู่ ในที่สุดจึงมีน้ำเสียงของคนกำลังเรียบเรียงความคิดและคำพูดของตัวเองตอบมาอย่างระมัดระวัง

             “ฉันว่านะ...ถ้าเป็นเกม เจ้าคนเขียนโปรแกรมจะต้องมีฝีมือระดับเทพแห่งเทพเป็นแน่แท้ เพราะขนาดทำให้คนเล่นเกมสามารถพูดคุยโต้ตอบกับตัวละครในเกมได้ละเอียดสมจริงขนาดนี้  มันไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีใครใส่โปรแกรมสนทนาปัญหาประดิษฐ์ระดับมหาเทพที่ยังไม่มีใครทำได้มาก่อนลงในตัวเกมได้ ฟังที่นายเล่าเหมือนกับว่าเธอมีชีวิตจิตใจจริงๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นายลองเอาโปรแกรมเกมที่ว่าให้ฉันลองเล่นดูหน่อยเป็นไง ว่าไงเพื่อน”

             “ฉันหามันไม่เจอ ไม่รู้ว่าโปรแกรมมันซ่อนตัวเองไว้ที่ไหน หายังไงก็ไม่เจอ มีแต่ไอคอนบนหน้าจอเท่านั้น แถมไล่หาตำแหน่งของโฟลเดอร์ไม่ได้ด้วย มันแปลกจริงๆ ถ้าอยากเล่นนายคงต้องมาที่บ้านฉัน ว่าแต่ถ้ามันไม่ใช่เกมล่ะ...จะเป็นอะไรได้อีก”

             “ไวรัสคอมพิวเตอร์”  คราวนี้ปีศาจเกมตอบอย่างมั่นใจ “ถ้าไม่ใช่เกมก็ต้องเป็นไวรัสระดับสุดยอดที่เขียนโปรแกรมขึ้นมาโดยฝีมือของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีใครหรอกจะทำได้ขนาดนั้น มีอย่างที่ไหนให้ตัวละครในเกมคุยกับคนเล่นเป็นเรื่องเป็นราวละเอียดชัดเจนขนาดนี้”

             “ล้อเล่นน่า..จะเป็นไปได้ยังไง แล้วถ้าไม่ใช่เกมจะเป็นอะไรได้อีก”

             “อาจเป็นโปรแกรมสื่อสารกันก็ได้ โดยพยายามทำให้เหมือนเกม สาวคนนั้นเป็นคนมีตัวตนจริงๆ”

             ฟังเพื่อนพูดแล้ว เขาคิดว่าข้อนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าข้ออื่นๆ แต่ยังรู้สึกว่ามีอะไรสะดุดขัดๆ อยู่ดี ถ้าเป็นโปรแกรมสื่อสารเวลาพูดคุยกันก็ไม่เห็นว่าเธอต้องอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยอะไร มีเพียงโทรศัพท์เก่าๆ เครื่องเดียวเท่านั้น และที่หาคำอธิบายไม่ได้เลยคืออาหารที่ทำผ่านโปรแกรมตอมพิวเตอร์จะไปปรากฏอยู่โต๊ะอาหารในห้องพักของเธอได้อย่างไร

             “แล้วที่เบอร์โทรศัพท์มีหมายเลขสิบห้าหลักนั่นล่ะ หมายความว่ายังไง”  เขาถามอีกข้อ

             “ฉันว่ามันเป็นเพียงตัวกลางเท่านั้น ไม่ใช่หมายเลขจริง เป็นเหมือนรหัสผ่านนั่นละ”

             “ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ มันเหลือเชื่อเกินไป” เขาให้ความเห็น เสียงปลายสายหัวเราะ

             “แล้วสิ่งที่นายเจออยู่ มันเป็นไปได้ยังไงล่ะ นายตอบตัวเองได้ไหม อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมันก็ดูพิสดารเหลือเชื่อ แต่พอเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็อาจเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปได้ไม่ใช่เหรอ  อ้อ!ยังมีความเป็นไปได้อีกสองอย่างนะ นายอยากจะฟังไหม สองอย่างนี้มีทั้งสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ และสิ่งที่น่าเป็นไปได้”

             “บอกมาเถอะน่า อย่าลีลามากนัก...”

             “ข้อแรกนายโดนผีคอมพิวเตอร์หลอกวิญญาณหลอนเข้าให้แล้ว ข้อสองนายเป็นบ้า ฮ่ะๆนายเป็นบ้า ประสาทกิน ข้อไหนน่าจะเป็นไปได้มากกว่า เลือกเอาตามใจนะเพื่อนจะเอาแบบไหน อยากโดนผีหลอกหรืออยากเป็นบ้า นายก็พอจะรู้ตัวนะเพื่อน ฮ่ะๆ อ้อ!แล้วอย่าลืมตรวจดูให้แน่ใจนะว่านายไม่ได้ดูหนังอยู่”

             “ไอ้บ้า...”  เขาแยกเขี้ยวร้องด่าไปคำหนึ่ง “ฉันไม่อยากเป็นทั้งสองอย่างนั่นละ ถึงฉันจะไม่ใช่ปีศาจเกมอมตะอย่างแก ก็ไม่ได้โง่ขนาดจะแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นหนัง อะไรเป็นเกมหรอกโว้ย”

             “มันก็ไม่แน่หรอกเพื่อนรัก ฉันเองก็ยังเคยเข้าใจผิด เห็นรีโมททีวีนึกว่าเป็นโทรศัพท์ หลงกดโทรอยู่ตั้งนาน เห็นตู้เย็นยังเคยนึกว่าเป็นตู้เสื้อผ้า อัจฉริยะอย่างฉันยังหลงๆลืมๆ ได้  นับประสาอะไรกับมนุษย์เดินดินธรรมดานาย อย่าลืมตามหาเธอให้เจอนะเพื่อน”

             พูดจบอาวุธก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าขืนคุยต่อไปก็คงจะมีแต่เรื่องราวไร้สาระ ชายหนุ่มร้องด่าเพื่อนไปคำหนึ่งอย่างรู้สึกขบขันมากกว่าจะขุ่นเคืองก่อนวางหูตัดการสนทนา การพูดคุยกับเพื่อนคนนี้ก็พอจะได้แนวคิดบางอย่างบ้างเหมือนกัน หรือว่าหญิงสาวคนนั้นจะอยู่ในเกมไวรัสคอมพิวเตอร์ ถึงสามารถเอาตัวเกมเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยเจ้าของไม่รู้ตัว ส่วนจะว่าตัวเองถูกผีหลอกหรือเป็นบ้า ให้ตายก็รับไม่ได้

             ตกลงก็ยังไม่กระจ่างอยู่ดี

             หันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งปิดตัวเองไปแล้วด้วยระบบประหยัดพลังงานอัตโนมัติเนื่องจากไม่มีการใช้งานนานเกินไป  ชวนให้คิดไปว่ากับคนสายตามีปัญหา โลกของคนเหล่านั้นคงเปรียบได้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีไอคอนไม่มีภาพใดๆ ปรากฏให้เห็น

             แต่ชีวิตจิตใจของพวกเขายังอยู่ในนั้น สถานที่เดียวกันแต่มีหลายจักรวาลซ้อนทับกันไม่รู้จบ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการรับรู้ของแต่ละคน ความลำบากในการดำรงชีวิตคงแตกต่างกันออกไปจนเกินจะจินตนาการ

             ไม่ว่าคิดอย่างไรเขาก็ไม่พบคำตอบว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นอะไรกันแน่ เพียงรู้อย่างหนึ่งว่าเธอสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ต่างไปจากคนธรรมดาสามัญเลย ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ทำให้ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาในจิตใจมากขึ้นทุกที และเริ่มสงสัยว่าตัวเองเป็นคนมีชีวิตจริงหรือว่าเป็นเพียงยูนิตของเกมอะไรสักอย่าง พอคิดแบบนี้ชายหนุ่มรีบส่ายหัวเพราะรู้ตัวว่าจะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ เดี่ยวก็บ้าจริงๆ เสียหรอก

             คนสองคนเลิกคบเลิกติดต่อ เพียงเพราะฝ่ายหนึ่งปัญหาทางสายตาเท่านั้นหรือ

             วิญญาณแห่งความเป็นเทพประจำตัวผู้คอยปกป้องหายไปไหนเสียแล้ว

             อาการสับสนกับความคิดของตัวเอง ทำให้ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าสตางค์มาจากชั้นวางของ หยิบเงินฉบับละหนึ่งร้อยบาทออกมา ใจนึกอยากออกไปปากซอย หาอะไรผ่อนคลายให้ตัวเองสักนิดโดยมีเงื่อนไขภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณหนึ่งร้อยบาท ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับบางคนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เขารู้จักร้านเหล้าเล็กๆ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากปากซอยมากนัก

             เป็นร้านเหล้าโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ขายอาหารอย่างอื่น สภาพร้านประกอบด้วยไม้เก่าๆ รวมทั้งโต๊ะเก้าอี้ต่างๆ หลังคามุงใบจากซึ่งหายากมากในสังคมปัจจุบัน ทำให้บรรยากาศในร้านดูคลาสสิกแบบลูกทุ่ง เหล้าดองยาในขวดโหลใหญ่วางเรียงรายบนเคาน์เตอร์ไม้สัก ฝาปิดปากขวดโหลหุ้มด้วยผ้าสีแดงทำให้ดูขลังเป็นพิเศษที่เขาเคยคิดเล่นๆว่าเป็นการลงยันต์ลงอาคมกันปีศาจสุราเข้าสิงขวดโหล ส่วนราคาก็ไม่แพงคิดแก้วละสิบบาทเท่านั้น มะยมดองจิ้มเกลือเป็นกับแกล้มที่ทางร้านแถมให้ฟรี


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่