บทที่ 4
https://pantip.com/topic/38511628
ท้ายบทที่แล้ว
...ไม่ว่าอย่างไรจะต้องหาทางจับให้ได้ว่า ใครกันเป็นเจ้าของอาหารปริศนาและรสชาติไม่ได้เรื่องพวกนี้
.........
หลายวันผ่านไป เหตุการณ์ก็ยังคงคล้ายเดิม ทุกเช้าจะมีอาหารรอบนโต๊ะอาหารเสมอ โดยที่ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร รู้สึกได้ว่าคุณภาพของอาหารเริ่มดีขึ้นทีละน้อย ห้องหับก็ถูกจัดไว้เรียบร้อยโดยที่เธอไม่ต้องลงมือลงแรง ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครยอมเชื่อ เพราะตัวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ อยากจะคิดว่าตัวเองละเมอมาทำอาหารเองก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่อยากแจ้งตำรวจถึงเรื่องประหลาดนี้เพราะมันดูเหลือเชื่อเกินไป ใครจะไปเชื่อ
วันหนึ่ง เธอจึงยกหูโทรศัพท์กดโทรหาเพื่อนที่ไว้ใจเพื่อสอบถามว่าจะเป็นฝีมือของเพื่อนหรือไม่ ก็ได้รับการปฏิเสธแข็งขัน
พ่อแม่ก็ไม่อยู่ และพวกท่านคงไม่เล่นตลกร้ายอะไรอย่างนี้
ช่างเถอะนะ!อย่างน้อยเธอก็อยู่ดีมีสุขตามสมควรและปลอดภัยดี ไม่สัมผัสถึงความเลวร้าย พยายามคิดทางที่ดีว่าใครบางคนหรืออะไรสักอย่างคงไม่คิดร้ายกับเธอเป็นแน่ เพื่อนรักเสนอตัวจะมาอยู่ด้วย หรือไม่ก็ย้ายออกไปหาที่อื่นอยู่ แต่หญิงสาวปฏิเสธ ถ้าเธอไม่ได้คิดร้ายกับใคร ก็คงไม่มีใครมาคิดร้ายกับเธอหรอกกระมัง
ถ้าใครคนนั้นคิดร้ายหมายขวัญ คงถูกฆ่าหมกศพไปแล้ว
กับบางเรื่องคงต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ แม้ว่าจะอยู่แบบไม่เข้าใจก็ตาม หลังจากเพื่อนรักพยายามกับการพูดจาเกลี้ยกล่อมให้ย้ายออกจากห้องพักแต่ทว่าล้มเหลว ปลายสายบ่นอีกสองสามประโยคแล้ววางหูไป ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวรับสายตามสัญชาตญาณมากกว่าจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา
ปลายสายไม่มีการตอบรับ
"ต้องการพูดกับใครคะ"
...ถ้าไม่พูดอีก เธอจะวางหูล่ะ...
"กับคุณครับ....คุณ...” น้ำเสียงปลายสายมีแววร้อนรนอย่างรนชัดเจน
"กับใครคะ..?"
"กับคุณนั่นล่ะครับ... ให้ตายเถอะ...! ผมเห็นคุณอยู่ข้างหน้านี่เองมาหลายวันแล้ว แต่ผมไม่รู้กระทั่งชื่อของคุณ"
"กับฉัน.." หญิงสาวรู้สึกตกใจกับคำพูดอีกอีกฝ่าย เรื่องบ้าอะไรกัน ฟังแล้วไม่เข้าใจเอาเสียเลย
"ครับ ใจเย็นนะครับ โปรดฟังผมก่อน ผมคงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้มองเห็นคุณใส่เสื้อสีเขียว คุณยกหูโทรศัพท์ด้วยมือซ้าย คุณวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะข้างหน้าคุณ คุณคงไม่เชื่อว่าตอนนี้ทุกอริยาบทของคุณอยู่ข้างหน้าผมนี่เอง...ไม่ๆๆๆ! ผมไม่ใช่คนโรคจิตโปรดอย่าเพิ่งวางหูนะครับ ไหว้ก็ไหว้ล่ะ"
คำพูดของใครคนนั้นทำให้เธอขนลุกเกรียว จะเป็นไปได้อย่างไรว่าเขาสามารถมองเห็นเธอได้ชัดเจนอย่างที่พูด มีทางเดียวเท่านั้นว่าเขาจะต้องอยู่ในห้องพักด้วยถึงจะสามารถบรรยายภาพออกมาได้ถูกต้อง แต่เธอรู้สึกว่าอยู่เพียงลำพัง สัญชาตญาณพิเศษอันละเอียดอ่อนของคนตาบอดไม่มีพลาด
หรือว่าในห้องมีกล้องวงจรปิดแอบดูอยู่กันแน่
"คุณอยู่ที่ไหนคะ" เธอเริ่มกังวลและหวาดกลัวจนอยากร้องไห้ เขารีบบอกเสียงหลง
“ใจเย็นๆ นะครับ ได้โปรด ผมจะเล่าให้คุณฟัง...ผมยังไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นเลย"
หญิงสาวกำหูโทรศัพท์แน่น พยายามสงบใจตั้งสติให้มั่นคง พักนี้เจออะไรแปลกๆ หลุดโลกมาพอสมควร คงไม่แปลกอะไรถ้าจะเพิ่มเรื่องพิสดารเข้ามาในชีวิตอีกสักเรื่อง การรู้สึกว่าคนลึกลับไม่ได้มีเจตนาร้าย ทำให้ความวิตกหวาดกลัวเบาบางลง
“ลองพูดมาสิคะ ฉันจะฟัง”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปกับการอธิบายว่าเขาอยู่ที่ไหน มองเห็นเธอเกือบตลอดเวลาจากเกมที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาพูดพร่ำเหมือนเด็กติดเกมที่กำลังตื่นเต้นกับเกมใหม่และแปลกประหลาด พลอยทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
จะเชื่อดีไหม ฟังดูแล้วเหลือเชื่อราวกับนิยายหลุดโลก
แปลกดีที่เธอไว้ใจเขาง่ายดายนักและยอมรับฟังโดยไม่วางหูโทรศัพท์ เพราะปรกติถ้ามีคนไม่รู้จักมาพูดพล่ามเพ้อเจ้อ คงวางสายไปนานแล้ว แต่นี่กลับปล่อยให้เขาพูดจนแทบหมดแรงแล้วค่อยเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ถ้าคุณเห็นฉัน ช่วยบอกได้ไหมคะว่าหน้าตาฉันเป็นยังไง”
...................
ชายหนุ่มยังไม่ตอบคำถามนั้นในทันที เพียงยิ้มให้กับคำถาม ยิ้มให้กับตัวเอง และยิ้มให้กับภาพบนจอมอนิเตอร์ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะถูกตั้งคำถามด้วยประโยคง่ายๆ แต่ว่าการตอบคำถามง่ายๆ ดูจะเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด ต้องระมัดระวังคำพูดพอสมควร โดยเฉพาะกับคนเพิ่งได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก
“คำถามง่ายไปหรือเปล่าครับ ถ้าผมตอบได้ แปลว่าหลังจากนี้คุณจะเชื่อที่ผมพูดแล้วสินะครับ” เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองมากขึ้น
“ลองบอกมาสิคะ”
ดูท่าทางเธอฉลาดพอที่จะไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ เช่นกัน แต่ภาพของหญิงสาวผู้นั่งอยู่บนโซฟาในจอคอมพิวเตอร์ดูเหมือนนั่งทอดอารมณ์แบบสบายๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาบ้างเช่นกัน อย่างน้อยเธอก็ยังไม่วางสายใส่หน้าอย่างที่คิดกังวล
“รูปร่างคุณดูดีเชียวล่ะ ผมยาว ผิวขาว “ชายหนุ่มเริ่มต้นอธิบายอย่างช้าๆ และตั้งใจ พยายามรักษาอาการตื่นเต้นภายในใจไม่ให้ปนลงไปในน้ำเสียง
“จะว่าไปคุณไม่ใช่คนสวยชนิดบาดตาบาดใจแบบนางเอกหนัง แต่คุณมีเสน่ห์บางอย่างทำให้น่ามองน่าสนใจ มันก็แปลกดีนะ เอ้อ... ผมอธิบายเรื่องแบบนี้ไม่เก่งหรอกครับ แต่ก็ออกมาจากที่ผมรู้สึกจริงๆ นะครับ”
พูดจบแล้วก็หยุดเงียบสังเกตท่าทางของหญิงสาว กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดๆออกไป ค่อยรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเธอยิ้มเล็กน้อย
“เป็นอันว่าใช่ เพื่อนฉันก็บอกคล้ายๆ อย่างนี้เหมือนกัน ขอบคุณนะคะ”
“เพื่อน...?”
“ค่ะ...เพื่อนเคยบอกว่าฉันมีรูปร่างหน้าตาแบบนั้น ฉันคิดว่าเขาคงแค่ปลอบใจ พอคุณยืนยันอีกเสียง ก็เลยสบายใจขึ้นมาหน่อย”
“เอ้อ....” ชายหนุ่มหลุดอุทานอย่างไม่เข้าใจ คนอะไร รูปร่างหน้าตาตัวเองแต่ต้องให้คนอื่นบอก เขานึกในใจขำๆ
“ว่าแต่คุณถามแบบนี้ทำไมครับ...หมายถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แล้วทำไมเรื่องแค่นี้ต้องขอบคุณด้วย”
เขาถามอย่างรู้สึกแปลกใจในคำพูดของหญิงสาว อยากรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นยังไงไม่เห็นจะยาก แค่เดินไปส่องดูในกระจกเท่านั้นก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องมาขอบคุณเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้
“ก็ฉันไม่เห็นหน้าตัวเองมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
“ไม่มีกระจกเหรอครับ” ถามออกไปแล้วรู้สึกว่าเป็นคำถามฟังดูโง่ๆชอบกล
“กระจกมี แต่ไม่เคยเห็นหน้าตัวเองในกระจกค่ะ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“เอ๋...ฉันคิดว่าคุณรู้อยู่แล้วเสียอีก” หญิงสาวทำเสียงประหลาดใจ และทำให้เขางุนงงสงสัยมากขึ้นไปอีก
“รู้อะไรครับ”
“รู้ว่าฉันมองไม่เห็นอะไรมานานแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือตาบอดนั่นล่ะค่ะ”
“หา..!” ฃายหนุ่มอุทานเสียงหลงอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกตกใจแปลกใจมึนงงชาค้างไปพักหนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรกัน! ผู้หญิงที่แอบหลงใหลได้ปลื้มอยู่ในจอคอมพิวเตอร์มาจนถึงเวลานี้เป็นคนตาบอด ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ไม่เคยคิดว่าจะมาชอบพอคนตาบอดเลยในชีวิต
ในความคิดของเขาแล้ว โลกของคนตาบอดเป็นโลกน่าเวทนาสงสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขาเข้าไปร่วมรับผิดชอบต่อสภาพการณ์แบบนั้น ต้องคอยดูแลแทบทุกฝีก้าวราวไข่ในหิน ภาระหน้าที่ดูแลคนตาบอดน่าจะเป็นงานของพวกนางพยาบาลมากกว่าคนใช้ชีวิตตามปกติทั่วไปอย่างเขา
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่งอย่างคนปรับอารมณ์ไม่ทัน
นี่เขาแอบสนใจคนตาบอดอยู่อย่างนั้นหรือ?
ความคิดแค่วูบแต่จินตนาการวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหน มองเห็นภาพตัวเองกำลังประคองหญิงสาวตาบอดเดินไปบนท้องถนนท่ามกลางความวุ่นวาย ลำพังตัวเองก็เอาตัวแทบไม่รอด ภาพหญิงสาวหมุนคว้างอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความสับสนของสังคมเมือง เป็นภาพคนที่ต้องการดูแลเอาใจใส่ยิ่งกว่าเด็กอนุบาล
เป็นเรื่องตลกร้ายกาจที่ทำให้หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
“ผมเห็นคุณนั่งดูทีวี ทำกับข้าว เดินไปเดินมาเหมือนคนปกติ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เหมือนคนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความสับสนไม่แน่ใจกับตัวเอง
“ผมเห็นคุณปิดไฟนอน เห็นคุณ...” เขาชะงักคำว่า “เข้าห้องน้ำ” ไว้ทัน พูดออกไปคงดูเป็นพวกจิตวิปริตโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆจางลง ขณะพยายามอธิบายอย่างตั้งใจ
“ที่นี่เป็นห้องพักของฉันนะคะ อยู่แบบนี้มาหลายปีจนนึกได้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน พ่อกับแม่มาจัดสถานที่ให้เหมือนในห้องที่บ้านของฉันก่อนตาบอดแทบทุกตารางนิ้ว ฟังดูเหมือนหลอกตัวเอง ฉันฟังทีวีแทนที่จะดูทีวีอย่างคนทั่วไป ฉันทำอาหารได้เพราะจำตำแหน่งที่วางของอุปกรณ์ต่างๆได้ ฉันปิดไฟนอนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด จริงๆ ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้ด้วยซ้ำในห้องนี้ ดูเผินๆ การที่คนตาบอดอย่างฉันยังสามารถทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนคนปกติเขาทำกัน มันก็คงเป็นแค่การปลอบใจตัวเองวิธีหนึ่งได้มั้งคะ ว่าแต่...”
หญิงสาวหยุดพูด ไม่แน่ใจว่ามีคนฟังอยู่หรือไม่ ปลายสายก็เงียบไปเช่นกัน ราวกับว่าต่างฝ่ายกำลังหยั่งเชิงกันอยู่ ชายหนุ่มฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะจินตนาการพาเตลิดไปไหนต่อไหน พอได้สติจึงดึงความคิดตัวเองหันกลับมาฟังเธออย่างตั้งใจบ้าง
ว่าแต่จะคุยกับเธออย่างไรดี ในสถานการณ์จวนตัวจวนความคิดแบบนี้
ครู่หนึ่งหญิงสาวค่อยเอ่ยปากแบบเน้นคำช้าๆ “รู้แบบนี้ คุณคงไม่อยากคุยกับฉันแล้วสินะ”
“ปะ เปล่าครับ…” ชายหนุ่มใจหายวาบ รีบตอบออกไปเหมือนคนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น มือกำหูโทรศัพท์แน่นจนรู้สึกถึงเหงื่อเปียกชื้น เป็นครั้งแรกที่นึกดีใจว่าเป็นฝ่ายมองเห็นเธออยู่ข้างเดียว เพราะสีหน้าท่าทางของตัวเองขณะนี้คงดูไม่จืดเป็นแน่แท้ “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“น้ำเสียงของคุณเหมือนจะบอกแบบนั้นนี่คะ คุณคงผิดหวังที่รู้ว่าฉันตาบอด ไม่ใช่คนสภาพเป็นปรกติธรรมดาเหมือนคนอื่น เสียใจด้วยนะคะที่ทำให้คุณผิดหวัง”
เขารู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างในคำพูดของเธอ ไม่ใช่การต่อว่าไม่ใช่การตำหนิ แต่เป็นความเสียใจจริงๆ ทำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเองขึ้นมาในทันที รีบเอ่ยปากอย่างร้อนรนใจ
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ ผมเพียงแต่..” เพราะความรีบร้อนและกระวนกระวายใจกับคำพูดของตัวเองทำให้คิดหาคำพูดต่อไปไม่ได้ และนั่นทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อเสียงราบเรียบของเธอดังตัดบทขึ้นมา
“บอกตรงๆ ก็ได้ค่ะ อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ฉันว่าฉันรับได้...”
“แล้วกัน ไม่ใช่สักหน่อย เพียงแต่ผมยังไม่เข้าใจ... คงเป็นเพราะผมไม่เคยตาบอด...” ชายหนุ่มหาทางพูดออกไปได้แค่นี้จริงๆ และเป็นคำพูดฟังไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ฟังแล้วดูโง่ชอบกล พยายามนึกหาข้อแก้ต่างให้น่าฟังกว่านี้ แต่กลับพูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ ทุกอย่างดูรวดเร็วกะทันหันเกินไป คำว่า ‘นั่นเป็นผู้หญิงน่ารักน่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในชีวิต’ กับคำว่า ‘นั่นเป็นผู้หญิงตาบอด’ แถมท้ายด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘ถ้าได้เป็นเจ้าของก็คงมาเป็นภาระไม่รู้จบไม่รู้สิ้น’ กำลังวนเวียนไปมาในสมอง
“เกม...!” เขาคำรามในใจ นี่มันเป็นเพียงเกมเท่านั้น เธอไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงสักอย่าง จะตาบอดพิการหรือว่าอะไรก็ตาม ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยสักนิด ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย
จบบทที่ 5
ขอบคุณท่านผู้มีอุปการคุณ ที่แวะมาอุดหนุนครับผม^^
เกมรักพิศวง 5 ความคิดของเขา
https://pantip.com/topic/38511628
ท้ายบทที่แล้ว
...ไม่ว่าอย่างไรจะต้องหาทางจับให้ได้ว่า ใครกันเป็นเจ้าของอาหารปริศนาและรสชาติไม่ได้เรื่องพวกนี้
.........
หลายวันผ่านไป เหตุการณ์ก็ยังคงคล้ายเดิม ทุกเช้าจะมีอาหารรอบนโต๊ะอาหารเสมอ โดยที่ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร รู้สึกได้ว่าคุณภาพของอาหารเริ่มดีขึ้นทีละน้อย ห้องหับก็ถูกจัดไว้เรียบร้อยโดยที่เธอไม่ต้องลงมือลงแรง ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครยอมเชื่อ เพราะตัวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ อยากจะคิดว่าตัวเองละเมอมาทำอาหารเองก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่อยากแจ้งตำรวจถึงเรื่องประหลาดนี้เพราะมันดูเหลือเชื่อเกินไป ใครจะไปเชื่อ
วันหนึ่ง เธอจึงยกหูโทรศัพท์กดโทรหาเพื่อนที่ไว้ใจเพื่อสอบถามว่าจะเป็นฝีมือของเพื่อนหรือไม่ ก็ได้รับการปฏิเสธแข็งขัน
พ่อแม่ก็ไม่อยู่ และพวกท่านคงไม่เล่นตลกร้ายอะไรอย่างนี้
ช่างเถอะนะ!อย่างน้อยเธอก็อยู่ดีมีสุขตามสมควรและปลอดภัยดี ไม่สัมผัสถึงความเลวร้าย พยายามคิดทางที่ดีว่าใครบางคนหรืออะไรสักอย่างคงไม่คิดร้ายกับเธอเป็นแน่ เพื่อนรักเสนอตัวจะมาอยู่ด้วย หรือไม่ก็ย้ายออกไปหาที่อื่นอยู่ แต่หญิงสาวปฏิเสธ ถ้าเธอไม่ได้คิดร้ายกับใคร ก็คงไม่มีใครมาคิดร้ายกับเธอหรอกกระมัง
ถ้าใครคนนั้นคิดร้ายหมายขวัญ คงถูกฆ่าหมกศพไปแล้ว
กับบางเรื่องคงต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ แม้ว่าจะอยู่แบบไม่เข้าใจก็ตาม หลังจากเพื่อนรักพยายามกับการพูดจาเกลี้ยกล่อมให้ย้ายออกจากห้องพักแต่ทว่าล้มเหลว ปลายสายบ่นอีกสองสามประโยคแล้ววางหูไป ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวรับสายตามสัญชาตญาณมากกว่าจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา
ปลายสายไม่มีการตอบรับ
"ต้องการพูดกับใครคะ"
...ถ้าไม่พูดอีก เธอจะวางหูล่ะ...
"กับคุณครับ....คุณ...” น้ำเสียงปลายสายมีแววร้อนรนอย่างรนชัดเจน
"กับใครคะ..?"
"กับคุณนั่นล่ะครับ... ให้ตายเถอะ...! ผมเห็นคุณอยู่ข้างหน้านี่เองมาหลายวันแล้ว แต่ผมไม่รู้กระทั่งชื่อของคุณ"
"กับฉัน.." หญิงสาวรู้สึกตกใจกับคำพูดอีกอีกฝ่าย เรื่องบ้าอะไรกัน ฟังแล้วไม่เข้าใจเอาเสียเลย
"ครับ ใจเย็นนะครับ โปรดฟังผมก่อน ผมคงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้มองเห็นคุณใส่เสื้อสีเขียว คุณยกหูโทรศัพท์ด้วยมือซ้าย คุณวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะข้างหน้าคุณ คุณคงไม่เชื่อว่าตอนนี้ทุกอริยาบทของคุณอยู่ข้างหน้าผมนี่เอง...ไม่ๆๆๆ! ผมไม่ใช่คนโรคจิตโปรดอย่าเพิ่งวางหูนะครับ ไหว้ก็ไหว้ล่ะ"
คำพูดของใครคนนั้นทำให้เธอขนลุกเกรียว จะเป็นไปได้อย่างไรว่าเขาสามารถมองเห็นเธอได้ชัดเจนอย่างที่พูด มีทางเดียวเท่านั้นว่าเขาจะต้องอยู่ในห้องพักด้วยถึงจะสามารถบรรยายภาพออกมาได้ถูกต้อง แต่เธอรู้สึกว่าอยู่เพียงลำพัง สัญชาตญาณพิเศษอันละเอียดอ่อนของคนตาบอดไม่มีพลาด
หรือว่าในห้องมีกล้องวงจรปิดแอบดูอยู่กันแน่
"คุณอยู่ที่ไหนคะ" เธอเริ่มกังวลและหวาดกลัวจนอยากร้องไห้ เขารีบบอกเสียงหลง
“ใจเย็นๆ นะครับ ได้โปรด ผมจะเล่าให้คุณฟัง...ผมยังไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นเลย"
หญิงสาวกำหูโทรศัพท์แน่น พยายามสงบใจตั้งสติให้มั่นคง พักนี้เจออะไรแปลกๆ หลุดโลกมาพอสมควร คงไม่แปลกอะไรถ้าจะเพิ่มเรื่องพิสดารเข้ามาในชีวิตอีกสักเรื่อง การรู้สึกว่าคนลึกลับไม่ได้มีเจตนาร้าย ทำให้ความวิตกหวาดกลัวเบาบางลง
“ลองพูดมาสิคะ ฉันจะฟัง”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปกับการอธิบายว่าเขาอยู่ที่ไหน มองเห็นเธอเกือบตลอดเวลาจากเกมที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาพูดพร่ำเหมือนเด็กติดเกมที่กำลังตื่นเต้นกับเกมใหม่และแปลกประหลาด พลอยทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
จะเชื่อดีไหม ฟังดูแล้วเหลือเชื่อราวกับนิยายหลุดโลก
แปลกดีที่เธอไว้ใจเขาง่ายดายนักและยอมรับฟังโดยไม่วางหูโทรศัพท์ เพราะปรกติถ้ามีคนไม่รู้จักมาพูดพล่ามเพ้อเจ้อ คงวางสายไปนานแล้ว แต่นี่กลับปล่อยให้เขาพูดจนแทบหมดแรงแล้วค่อยเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ถ้าคุณเห็นฉัน ช่วยบอกได้ไหมคะว่าหน้าตาฉันเป็นยังไง”
...................
ชายหนุ่มยังไม่ตอบคำถามนั้นในทันที เพียงยิ้มให้กับคำถาม ยิ้มให้กับตัวเอง และยิ้มให้กับภาพบนจอมอนิเตอร์ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะถูกตั้งคำถามด้วยประโยคง่ายๆ แต่ว่าการตอบคำถามง่ายๆ ดูจะเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด ต้องระมัดระวังคำพูดพอสมควร โดยเฉพาะกับคนเพิ่งได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก
“คำถามง่ายไปหรือเปล่าครับ ถ้าผมตอบได้ แปลว่าหลังจากนี้คุณจะเชื่อที่ผมพูดแล้วสินะครับ” เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองมากขึ้น
“ลองบอกมาสิคะ”
ดูท่าทางเธอฉลาดพอที่จะไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ เช่นกัน แต่ภาพของหญิงสาวผู้นั่งอยู่บนโซฟาในจอคอมพิวเตอร์ดูเหมือนนั่งทอดอารมณ์แบบสบายๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาบ้างเช่นกัน อย่างน้อยเธอก็ยังไม่วางสายใส่หน้าอย่างที่คิดกังวล
“รูปร่างคุณดูดีเชียวล่ะ ผมยาว ผิวขาว “ชายหนุ่มเริ่มต้นอธิบายอย่างช้าๆ และตั้งใจ พยายามรักษาอาการตื่นเต้นภายในใจไม่ให้ปนลงไปในน้ำเสียง
“จะว่าไปคุณไม่ใช่คนสวยชนิดบาดตาบาดใจแบบนางเอกหนัง แต่คุณมีเสน่ห์บางอย่างทำให้น่ามองน่าสนใจ มันก็แปลกดีนะ เอ้อ... ผมอธิบายเรื่องแบบนี้ไม่เก่งหรอกครับ แต่ก็ออกมาจากที่ผมรู้สึกจริงๆ นะครับ”
พูดจบแล้วก็หยุดเงียบสังเกตท่าทางของหญิงสาว กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดๆออกไป ค่อยรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเธอยิ้มเล็กน้อย
“เป็นอันว่าใช่ เพื่อนฉันก็บอกคล้ายๆ อย่างนี้เหมือนกัน ขอบคุณนะคะ”
“เพื่อน...?”
“ค่ะ...เพื่อนเคยบอกว่าฉันมีรูปร่างหน้าตาแบบนั้น ฉันคิดว่าเขาคงแค่ปลอบใจ พอคุณยืนยันอีกเสียง ก็เลยสบายใจขึ้นมาหน่อย”
“เอ้อ....” ชายหนุ่มหลุดอุทานอย่างไม่เข้าใจ คนอะไร รูปร่างหน้าตาตัวเองแต่ต้องให้คนอื่นบอก เขานึกในใจขำๆ
“ว่าแต่คุณถามแบบนี้ทำไมครับ...หมายถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แล้วทำไมเรื่องแค่นี้ต้องขอบคุณด้วย”
เขาถามอย่างรู้สึกแปลกใจในคำพูดของหญิงสาว อยากรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นยังไงไม่เห็นจะยาก แค่เดินไปส่องดูในกระจกเท่านั้นก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องมาขอบคุณเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้
“ก็ฉันไม่เห็นหน้าตัวเองมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
“ไม่มีกระจกเหรอครับ” ถามออกไปแล้วรู้สึกว่าเป็นคำถามฟังดูโง่ๆชอบกล
“กระจกมี แต่ไม่เคยเห็นหน้าตัวเองในกระจกค่ะ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“เอ๋...ฉันคิดว่าคุณรู้อยู่แล้วเสียอีก” หญิงสาวทำเสียงประหลาดใจ และทำให้เขางุนงงสงสัยมากขึ้นไปอีก
“รู้อะไรครับ”
“รู้ว่าฉันมองไม่เห็นอะไรมานานแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือตาบอดนั่นล่ะค่ะ”
“หา..!” ฃายหนุ่มอุทานเสียงหลงอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกตกใจแปลกใจมึนงงชาค้างไปพักหนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรกัน! ผู้หญิงที่แอบหลงใหลได้ปลื้มอยู่ในจอคอมพิวเตอร์มาจนถึงเวลานี้เป็นคนตาบอด ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ไม่เคยคิดว่าจะมาชอบพอคนตาบอดเลยในชีวิต
ในความคิดของเขาแล้ว โลกของคนตาบอดเป็นโลกน่าเวทนาสงสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขาเข้าไปร่วมรับผิดชอบต่อสภาพการณ์แบบนั้น ต้องคอยดูแลแทบทุกฝีก้าวราวไข่ในหิน ภาระหน้าที่ดูแลคนตาบอดน่าจะเป็นงานของพวกนางพยาบาลมากกว่าคนใช้ชีวิตตามปกติทั่วไปอย่างเขา
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่งอย่างคนปรับอารมณ์ไม่ทัน
นี่เขาแอบสนใจคนตาบอดอยู่อย่างนั้นหรือ?
ความคิดแค่วูบแต่จินตนาการวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหน มองเห็นภาพตัวเองกำลังประคองหญิงสาวตาบอดเดินไปบนท้องถนนท่ามกลางความวุ่นวาย ลำพังตัวเองก็เอาตัวแทบไม่รอด ภาพหญิงสาวหมุนคว้างอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความสับสนของสังคมเมือง เป็นภาพคนที่ต้องการดูแลเอาใจใส่ยิ่งกว่าเด็กอนุบาล
เป็นเรื่องตลกร้ายกาจที่ทำให้หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
“ผมเห็นคุณนั่งดูทีวี ทำกับข้าว เดินไปเดินมาเหมือนคนปกติ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เหมือนคนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความสับสนไม่แน่ใจกับตัวเอง
“ผมเห็นคุณปิดไฟนอน เห็นคุณ...” เขาชะงักคำว่า “เข้าห้องน้ำ” ไว้ทัน พูดออกไปคงดูเป็นพวกจิตวิปริตโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆจางลง ขณะพยายามอธิบายอย่างตั้งใจ
“ที่นี่เป็นห้องพักของฉันนะคะ อยู่แบบนี้มาหลายปีจนนึกได้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน พ่อกับแม่มาจัดสถานที่ให้เหมือนในห้องที่บ้านของฉันก่อนตาบอดแทบทุกตารางนิ้ว ฟังดูเหมือนหลอกตัวเอง ฉันฟังทีวีแทนที่จะดูทีวีอย่างคนทั่วไป ฉันทำอาหารได้เพราะจำตำแหน่งที่วางของอุปกรณ์ต่างๆได้ ฉันปิดไฟนอนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด จริงๆ ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้ด้วยซ้ำในห้องนี้ ดูเผินๆ การที่คนตาบอดอย่างฉันยังสามารถทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนคนปกติเขาทำกัน มันก็คงเป็นแค่การปลอบใจตัวเองวิธีหนึ่งได้มั้งคะ ว่าแต่...”
หญิงสาวหยุดพูด ไม่แน่ใจว่ามีคนฟังอยู่หรือไม่ ปลายสายก็เงียบไปเช่นกัน ราวกับว่าต่างฝ่ายกำลังหยั่งเชิงกันอยู่ ชายหนุ่มฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะจินตนาการพาเตลิดไปไหนต่อไหน พอได้สติจึงดึงความคิดตัวเองหันกลับมาฟังเธออย่างตั้งใจบ้าง
ว่าแต่จะคุยกับเธออย่างไรดี ในสถานการณ์จวนตัวจวนความคิดแบบนี้
ครู่หนึ่งหญิงสาวค่อยเอ่ยปากแบบเน้นคำช้าๆ “รู้แบบนี้ คุณคงไม่อยากคุยกับฉันแล้วสินะ”
“ปะ เปล่าครับ…” ชายหนุ่มใจหายวาบ รีบตอบออกไปเหมือนคนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น มือกำหูโทรศัพท์แน่นจนรู้สึกถึงเหงื่อเปียกชื้น เป็นครั้งแรกที่นึกดีใจว่าเป็นฝ่ายมองเห็นเธออยู่ข้างเดียว เพราะสีหน้าท่าทางของตัวเองขณะนี้คงดูไม่จืดเป็นแน่แท้ “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“น้ำเสียงของคุณเหมือนจะบอกแบบนั้นนี่คะ คุณคงผิดหวังที่รู้ว่าฉันตาบอด ไม่ใช่คนสภาพเป็นปรกติธรรมดาเหมือนคนอื่น เสียใจด้วยนะคะที่ทำให้คุณผิดหวัง”
เขารู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างในคำพูดของเธอ ไม่ใช่การต่อว่าไม่ใช่การตำหนิ แต่เป็นความเสียใจจริงๆ ทำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเองขึ้นมาในทันที รีบเอ่ยปากอย่างร้อนรนใจ
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ ผมเพียงแต่..” เพราะความรีบร้อนและกระวนกระวายใจกับคำพูดของตัวเองทำให้คิดหาคำพูดต่อไปไม่ได้ และนั่นทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อเสียงราบเรียบของเธอดังตัดบทขึ้นมา
“บอกตรงๆ ก็ได้ค่ะ อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ฉันว่าฉันรับได้...”
“แล้วกัน ไม่ใช่สักหน่อย เพียงแต่ผมยังไม่เข้าใจ... คงเป็นเพราะผมไม่เคยตาบอด...” ชายหนุ่มหาทางพูดออกไปได้แค่นี้จริงๆ และเป็นคำพูดฟังไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ฟังแล้วดูโง่ชอบกล พยายามนึกหาข้อแก้ต่างให้น่าฟังกว่านี้ แต่กลับพูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ ทุกอย่างดูรวดเร็วกะทันหันเกินไป คำว่า ‘นั่นเป็นผู้หญิงน่ารักน่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในชีวิต’ กับคำว่า ‘นั่นเป็นผู้หญิงตาบอด’ แถมท้ายด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘ถ้าได้เป็นเจ้าของก็คงมาเป็นภาระไม่รู้จบไม่รู้สิ้น’ กำลังวนเวียนไปมาในสมอง
“เกม...!” เขาคำรามในใจ นี่มันเป็นเพียงเกมเท่านั้น เธอไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงสักอย่าง จะตาบอดพิการหรือว่าอะไรก็ตาม ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลยสักนิด ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย
จบบทที่ 5
ขอบคุณท่านผู้มีอุปการคุณ ที่แวะมาอุดหนุนครับผม^^