ช่วงนี้ดูข่าวแล้วใจหาย กระแสมันเหมือนกับว่า ถ้าออกนอกบ้านแบบไม่ใส่หน้ากากเนี่ยจะตายเอา คนเรานี่ก็แปลก อยู่กับสภาพเดิมๆ ตอนที่ไม่มีใครพูดถึงก็ไม่เป็นไร แต่พอมีคนพูดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็พลอยเป็นไปตามเขาด้วย อย่างนี้ใช่มั้ยที่เขาเรียกว่าอุปทานหมู่
เรื่องของ pm 2.5 น่ะ ตั้งแต่เขาวัดกันมา (ราวๆ ปี 2553-54) มันเกินค่ามาตรฐานทุกปี บางปีค่าขึ้นสูงกว่านี้อีก โดยเฉพาะช่วงต้นปีจะขึ้นสูงเป็นพิเศษ เพียงแต่มันยังไม่มีใครออกมากระโตกกระตากเท่านั้น
แล้วถามว่าไอ้ฝุ่นขนาดเล็กๆแบบเนี่ย มันมาจากไหน ก็อย่างที่เรารู้กันนั้นล่ะ ว่ามาจากการเผานู้นเผานี่ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว แต่มันเป็นส่วนน้อยมั้ย เพราะหลักๆ ของฝุ่นประเภทนี้ น่าจะมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของรถยนต์ (โดยเฉพาะดีเซล) กับอีกกลุ่มคือพวกโรงงานที่มักง่ายปล่อยควันออกมาโดยที่ไม่ได้ดักฝุ่นเอาไว้ก่อน สองกลุ่มนี้คือหลักๆ ของปัญหานี้
ตอนนี้เห็นรณรงค์ไม่ให้เผาอ้อย เผาซังข้าว ถามหน่อยควันพวกนี้แม้จะค่อนข้างน่ารำคาญอยู่ แต่มันใช่ต้นตอไหม (แต่ถ้ามองในแง่การสร้างจิตสำนึกก็โอเค) นักวิชาการก็ออกมาพูดปาวๆ อยู่ว่า ขนาดไม่ใช่ฤดูที่เกษตรกรเขาเผากัน ค่า pm 2.5 ก็ยังเกินอยู่ดี ตอนนี้หนักเข้าลามมาถึงตรุษจีนจะไม่ให้อากงอาม่าได้รับส่วนบุญส่วนกุศลกันเลยทีเดียว
จะให้ได้ผลน่ะมันควรแก้ที่สาเหตุหลักก่อนเถอะ พวกโรงงานก็ไปตรวจจับกันจริงๆ จังๆ พวกรถยนต์ก็หาวิธีให้ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงลง เช่น หาขนส่งสาธารณะที่เหมาะสม หรือสร้างจิตสำนึกว่าตอนที่จอดรถก็หัดดับเครื่องซะ (ไม่ใช่เวลาจอดเยี่ยวตามปั้มคนขับใส่หน้ากากกันฝุ่นลงมาแต่ดันไม่ดับเครื่องรถ มันย้อนแย้งกันไปมั้ย) ต้นไม้ที่ช่วยดักฝุ่นได้ก็ปลูกมันเข้าไป แต่ตอนนี้เห็นร่ำๆ จะให้หยุดโรงเรียนเพื่อลดการใช้รถมาส่งลูกหลาน บ้า! คิดได้ยังไง ถ้ามันไม่ลดลง นานเข้าๆ ไม่ต้องให้เด็กเรียนหนังสือกันที่บ้านเลยเรอะ
ตอนนี้น่ะเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างมาตรการอะไรก็ได้ มาแก้ปัญหานี้ เพราะบ้านเราเวลามีกระแสอะไร ใครเสนออะไรจะไม่ค่อยมีคนค้าน ใช้วิกฤตเป็นโอกาสเลย จะทำอะไรในเชิงนโยบายก็รีบทำ ก่อนกระแสมันจะหาย แต่ต้องเป็นนโยบายที่สร้างสรรค์และยั่งยืนนะ อย่าให้มาเดือดร้อนนักเรียนหรือแม้กระทั่งอากงอาม่าบนสวรรค์เลย
ว่าด้วยเรื่อง (ของ) ฝุ่น
เรื่องของ pm 2.5 น่ะ ตั้งแต่เขาวัดกันมา (ราวๆ ปี 2553-54) มันเกินค่ามาตรฐานทุกปี บางปีค่าขึ้นสูงกว่านี้อีก โดยเฉพาะช่วงต้นปีจะขึ้นสูงเป็นพิเศษ เพียงแต่มันยังไม่มีใครออกมากระโตกกระตากเท่านั้น
แล้วถามว่าไอ้ฝุ่นขนาดเล็กๆแบบเนี่ย มันมาจากไหน ก็อย่างที่เรารู้กันนั้นล่ะ ว่ามาจากการเผานู้นเผานี่ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว แต่มันเป็นส่วนน้อยมั้ย เพราะหลักๆ ของฝุ่นประเภทนี้ น่าจะมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของรถยนต์ (โดยเฉพาะดีเซล) กับอีกกลุ่มคือพวกโรงงานที่มักง่ายปล่อยควันออกมาโดยที่ไม่ได้ดักฝุ่นเอาไว้ก่อน สองกลุ่มนี้คือหลักๆ ของปัญหานี้
ตอนนี้เห็นรณรงค์ไม่ให้เผาอ้อย เผาซังข้าว ถามหน่อยควันพวกนี้แม้จะค่อนข้างน่ารำคาญอยู่ แต่มันใช่ต้นตอไหม (แต่ถ้ามองในแง่การสร้างจิตสำนึกก็โอเค) นักวิชาการก็ออกมาพูดปาวๆ อยู่ว่า ขนาดไม่ใช่ฤดูที่เกษตรกรเขาเผากัน ค่า pm 2.5 ก็ยังเกินอยู่ดี ตอนนี้หนักเข้าลามมาถึงตรุษจีนจะไม่ให้อากงอาม่าได้รับส่วนบุญส่วนกุศลกันเลยทีเดียว
จะให้ได้ผลน่ะมันควรแก้ที่สาเหตุหลักก่อนเถอะ พวกโรงงานก็ไปตรวจจับกันจริงๆ จังๆ พวกรถยนต์ก็หาวิธีให้ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงลง เช่น หาขนส่งสาธารณะที่เหมาะสม หรือสร้างจิตสำนึกว่าตอนที่จอดรถก็หัดดับเครื่องซะ (ไม่ใช่เวลาจอดเยี่ยวตามปั้มคนขับใส่หน้ากากกันฝุ่นลงมาแต่ดันไม่ดับเครื่องรถ มันย้อนแย้งกันไปมั้ย) ต้นไม้ที่ช่วยดักฝุ่นได้ก็ปลูกมันเข้าไป แต่ตอนนี้เห็นร่ำๆ จะให้หยุดโรงเรียนเพื่อลดการใช้รถมาส่งลูกหลาน บ้า! คิดได้ยังไง ถ้ามันไม่ลดลง นานเข้าๆ ไม่ต้องให้เด็กเรียนหนังสือกันที่บ้านเลยเรอะ
ตอนนี้น่ะเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างมาตรการอะไรก็ได้ มาแก้ปัญหานี้ เพราะบ้านเราเวลามีกระแสอะไร ใครเสนออะไรจะไม่ค่อยมีคนค้าน ใช้วิกฤตเป็นโอกาสเลย จะทำอะไรในเชิงนโยบายก็รีบทำ ก่อนกระแสมันจะหาย แต่ต้องเป็นนโยบายที่สร้างสรรค์และยั่งยืนนะ อย่าให้มาเดือดร้อนนักเรียนหรือแม้กระทั่งอากงอาม่าบนสวรรค์เลย