เที่ยวญี่ปุ่นฉบับไม่มีล่าม พูดญี่ปุ่นไม่ได้ อังกฤษอย่าถาม ตอน 3 : สู่อิจิโกะ ยูซาว่า และเรียวกัง


** การเดินทางนี้เดินทางเมื่อต้นพฤศจิกา ปี 2017 แต่เพิ่งได้เอามาเขียนหลังจากดองมานานครับ **

ตอนแรก วันแรกของทริปโตเกียว - https://pantip.com/topic/38496564
ตอน 2 งานอีเวนท์โพนี่ และคาวากุจิโกะ - https://pantip.com/topic/38496709

ถ้าจะบอกว่า การไปคาวากุจิโกะนั้นคือการเที่ยวแบบนอกเมืองครั้งแรกแล้วล่ะ การเดินทางวันนี้จะได้ประสบการณ์การเที่ยวนอกเมืองแบบเต็มๆ ยิ่งกว่าอีก นั่นเพราะว่า เป็นทริปแรกที่ได้มีการออกไปนอกค้างนอกเมืองด้วย โดยเป้าหมายของตัวนี้ก็คือ การได้ไปนอนที่เรียวกังเป็นครั้งแรก และแช่ออนเซ็นนั่นเอง

เอาจริงนี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้แช่ออนเซ็น ครั้งแรกนั้นเป็นตอนผมไปฟุกุโอกะ ซึ่งได้ราคาพิเศษจากงานเที่ยวไทยโดยโรงแรม ดอร์มี่อิน ซึ่งทางผู้จัดการบินมาคุมบูธด้วยตัวเอง และคงเห็นว่าผมบอกไปตรงๆ ว่าไม่เคยไปออนเซ็น เลยเสนอราคาถูกให้ (เป็นโรงแรม 4 ดาว ที่มีออนเซ็นในตัว ปกติราคาแพงมาก นี่คือได้ราคาลดมาครึ่งนึง) ซึ่งนั่นทำให้ผมติดใจการแช่ออนเซ็นมาก ไม่ใช่ติดใจการแก้ผ้าแช่นํ้าร่วมกันนะ (ตอนแรกๆ ก็อายหรอก แต่ไปๆ มาๆ ก็ชิน) แต่ชอบตรงอาหาศหนาวๆ แล้วแช่นํ้าร้อนมากๆ มันสบายตัวสุดๆ เนี่ยแหละ คือต้องยิ่งหนาวแล้วจะยิ่งฟิน (ปกติผมเป็นคนชอบอาบนํ้าร้อนมาก)


อาหารเช้าที่ผมไปซื้อมาจากมินิมาร์ท (แช่ที่ตู้เย็น แล้วก็เอามาอุ่นตอนเช้า) ราคา 160 บาท เห็นเหมือนไม่เยอะนะครับ แต่ว่า...



ผ่ามมมม!! แยกร่าง!! มหัศจรรย์พันล้าน อารมณ์แบบข้าวกล่องบ้านเรา แต่ของเยอะกว่า!! (แหงล่ะ ราคาต่างกับบ้านเราตั้ง 3 เท่า)

แต่คุ้มสุดๆ ครับ เพภราะว่าขนาดเนื้อใหญ่มาก กินแล้วแบบอร่อยมากเลย


เนื่องจากว่าการเดินทางของผมในวันนี้จะเป็นการออกไปนอนค้างที่นอกเมือง 1 คืน โดยไม่ได้ยกเลิกห้องพักในโตเกียว (เพราะกันไปแค่ 2 คน) ข้าวของของผมจะทิ้งไว้ที่นี่ แต่ตอนที่ไปนั้นจะไปกัน 3 คนก่อนครับ เป้าหมายของผมก็คือ ไปยังเมืองมินาคามิ ที่จังหวัดกุมมะ เพียงแต่ว่าผมหาที่เที่ยวรอบๆ สถานีรถไฟมินาคามิไม่เจอ (อาจจะมีแต่หาไม่เจอนั่นแหละ) และที่พักนั้นจะอยู่ใกล้ไปทางสถานี อิจิโกะ ยูซาว่า มากกว่า ก็เลยไปที่สถานีนั้น (อีกทั้ง เพื่อนคนที่สามที่ไม่ได้จะไปนอนค้าง เขาอยากไปเที่ยวเขาแถวนั้น ก็เลยชวนพวกผมไป)


พวกผมเลยมากันที่สถานีอุเอโนะ ที่ให้อารมณ์เหมือนหัวลำโพงบ้านเรา (รึเปล่า?) เพราะเป็นสถานี HUB ที่จะมีซินกันเซนออกไปนอกเมือง สถานีนี้ใหญ่มากแถมมีหลายชั้นเลยทีเดียว


การมองหาป้ายไปซินกันเซนนั้นไม่ยาก และไม่ต้องกลัวงง เพราะเล่นมีป้ายบะเริ่มแปะบอกไว้


ใน Google map นั้นบอกชัดเจนว่าต้องไปขึ้นที่ชานชาลาไหน ผมก็แค่มองหาป้ายบอกทางไปยังชานชาลาที่ว่า ซึ่งต้องเดินไปหลายชั้นหน่อย และมีเวลาบอกชัดเจนมาก


อันนี้ซินกันเซนของที่อื่น


ซินกันเซนของพวกผมมาแล้ววว


เนื่องจากว่าเราไม่ได้จองที่นั่งเอาไว้เพราะงก....เลยไปนั่งที่นั่งธรรมดา แต่เอาจริงด้วยระยะเวลาเดินทางไม่ถึงสองชั่วโมง นั่งปกติธรรมดาก็ใช้ได้แล้วล่ะครับ


และแล้วก็มาถึงสถานีอิจิโกะ ยูซาว่ากันแล้ว ซึ่งชานชาลาของที่นี่ ให้อารมณ์คล้ายกับแอร์พอร์ตลิ้งบ้านเราเหมือนกัน และที่รู้สึกต่างจากในโตเกียวเลยก็คือ อากาศเย็นขึ้นครับ


มองออกไปข้างนอก เจอใบไม้เปลี่ยนสีด้วย


ที่เซอร์ไพรส์ผมมากๆ ก็คือ ดันมีป้ายบอกเป็นภาษาไทยด้วย ซึ่งตอนแรกๆ ผมก็งงๆ ว่า เฮ้ย ที่นี่มีคนไทยมาเที่ยวเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?? แต่พอเจอป้ายโฆษณาที่มีรูปสกี ก็เลยร้องอ๋อเลยว่า เรามันมาผิดฤดู!! ที่นี่ดังเรื่องสกีนี่เอง และน่าจะเป็นเป้าหมายหลักที่มีคนไทยมาเยอะแน่ๆ


ที่ศูนยฺ์ท่องเที่ยว ก็มีโบว์ชัวร์ภาษาไทยด้วย!!


เพื่อนผมคนที่สาม (คนที่นั่งอยู่) เขาจะพาไปเที่ยวรอบๆ สถานีรถไฟอิจิโกะยูซาว่า ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะจะได้มีเวลาเดินเที่ยวก่อนที่จะได้ไปยังที่พัก เนื่องจากว่าที่พักนั้นจะต้องขึ้นรถไฟของชนบท ซึ่งมีรอบรถไฟไม่ถี่นั่นเอง


มองมาจากชั้นบนก่อนที่จะลงไปชั้นล่าง ดูเหมือนเมืองก็เล็กๆ เงียบสงบดีนะครับ





มีของฝากล่อให้พวกผมไปซื้อด้วย แต่เนื่องจากว่าเราเพิ่งมาถึง เลยยังไม่ได้ซื้อ







พื้นที่รอบสถานีรถไฟนั้น เหมือนไม่น่าจะมีอะไร แต่เป็นมุมแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เลยครับ แบบที่พวกเราเห็นกันในอนิเมะเด๊ะๆ เลย อาจจะไม่ได้มีจุดท่องเที่ยวอะไรที่มีคนนิยมมา แต่การได้เดินสำรวจดูบ้านเมืองของพวกเขา ก็ทำให้ฟินอย่างมาก โดยเฉพาะความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด และบ้านเมืองที่สวยงาม ซึ่งผมเชื่อว่าชนบทบ้านเราก็หาวิวคล้ายๆ แบบนี้ได้เหมือนกัน แต่ด้วยการก่อสร้างทั้งถนน สาธารณูปโภค และบ้านที่ทันสมัยและได้มาตาฐานกว่า เลยทำให้ดูดีมาก





อย่างมุมด้านเนี่ย ลองนึกถึงอนิเมะเรื่องนึงที่ตัวเอกอยู่ในบ้าน เดินกลับบ้านพร้อมเพื่อนสมัยเด็ก คือแบบ ใช่เลย อารมณ์มันใช่เลย!!




มีศาลเจ้าเล็กๆ ในเมืองนี้ด้วย


เพื่อนผมพาไปตรงโรงแรมแห่งหนึ่งที่มีพิพิทธภัณฑ์อยู่ ซึ่งตำแหน่งของโรงแรมนั้นมีจุดชมวิวที่สวยมาก


โรงแรม Takahan แห่งนี้จะมีพิพิทธภัณฑ์ ‘Snow Country’ อยู่ด้วย โดยนวนิยายเรื่อง เมืองหิมะ นี้ประพันธ์โดย Yasunari Kawabata ซึ่งเป็นภาพยนตร์สมัยก่อน ที่มีการถ่ายทำกันที่นี่ โดยมีทั้งอุปกรณ์, การเล่าเรื่อง สถานที่ถ่ายทำ และภาพของทีมงานให้ชมกันด้วย






เนื่องจากผมก็ไม่ได้อินอะไรกับแนวนี้เท่าไหร่ (หนังเรื่องนี้ก็เพิ่งได้ยินชื่อ) เลยเดินสำรวจรอบๆ โรงแรม




ชั้นนี้มีบ่อนํ้าร้อนด้วย ตอนแรกๆ คิดอยู่ว่าจะไปแอบดูซักหน่อยหากว่าไม่มีคน แต่กลับมีคนอยู่ เลยไม่ได้เข้าไป 555


ในขณะนั้นเป็นเวลาเกือบ 3 โมงแล้ว และพวกผมจะต้องรีบไปรอรถไฟ เพราะถ้าตกรถไฟจะได้ไปอีกทีก็คือคํ่าเลย เพื่อนคนที่สามจะเดินเที่ยวภูเขาแถวๆ นี้ต่อ ผมกับเพื่อนอีกคนก็เลยแยกตัวกันเดินกลับไปที่สถานีรถไฟครับ


ระหว่างทางกลับไปยังสถานีรถไฟ ก็เจอทางที่เหมือนจะเป็นลิฟต์สกีด้วย


ตรงจุดนี้เป็นกระเช้าที่จะขึ้นไปดูวิวข้างบน (ในหน้าหนาวก็จะเป็นจุดเล่นสกีด้วย) ซึ่งเพื่อนคนที่สามจะไป แต่พวกผมกลัวว่าเวลาจะไม่พอ เลยไม่ได้แวะทันที


ระหว่าทางก็เจอทางที่เป็นโลเกชั่นของภาพยนตร์เรื่องเมืองหิมะ คือแสดงว่าหนังเรื่องนี้ต้องดังมากจริงๆ


มีสปาเท้าให้แช่กันฟรีๆ ด้วย เดินกันมาเมื่อยขนาดนี้ มีหรือจะพลาด นํ้าร้อนเอาเรื่องเลยนะครับ แต่แช่ไปซักพักก็ต้องเอาขึ้นละ


มีร้านอาหารไทยตามมาถึงที่นี่เลย!


เดินผ่านโรงแรมใกล้ๆ สถานีรถไฟ เจอกำลังก่อสร้างอยู่ เห็นแล้วแบบ อื้อหือ ปิดโคตรมิดชิด


โรงแรมนี้เห็นว่าเป็นโรงแรมดังมากๆ ด้วย เดาได้ว่าน่าจะมีคนไทยหลายคนมาพักที่นี่


เนื่องจากว่ามื้อเย็นของโรงแรมที่เรียวกังนั้นราคาคนละ 2 พันบาท ซึ่งแพงมากสำหรับผม และไม่รู้ว่าจะให้เยอะแค่ไหน เลยสั่งไปแค่คนเดียว แล้วก็แว้บเข้า 7-11 เพื่อซื้อพวกขนมปังอะไรไปเผื่อ


ข้าวกล่องอันนี้หน้าตาคุ้นมาก เหมือนที่ขายในไทยเด๊ะๆ เลย แต่แค่ราคาอัพไซส์


เดินกลับมาถึงแล้ว


ก่อนไป เลยคิดว่าหาอะไรใส่ท้องก่อน เลยเจอร้านขายโซบะถูกๆ (ร้อยต้นๆ เยน) เลยสั่งมา และด้วยความอ่านไม่ออก เลยสุ่มจิ้มมั่วไป ดันได้โชะแล้วใส่บ๊วยดองมา??


รถไฟที่พวกผมจะไปนั้นหน้าตาเป็นแบบนี้ แต่ขบวนนี้ไม่ใช่นะครับ อยู่อีกชานชาชนหนึ่ง รถไฟเขามาเร็วไปเร็วมาก มีเวลาถ่ายน้อยสุดๆ เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่