
** การเดินทางนี้เดินทางเมื่อต้นพฤศจิกา ปี 2017 แต่เพิ่งได้เอามาเขียนหลังจากดองมานานครับ **
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวบ่อย ด้วยการที่สภาพแวดล้อมที่จำเป็นต้องอยู่ที่บ้าน ผมจึงเป็นคนที่ไม่ประสีประสาเมื่อเทียบกับท่านอื่นที่มีเวลาไปเที่ยวมากกว่า ดังนั้น ทริปนี้จึงเป็นทริปที่ท้าทายอย่างมาก เพราะเป็นทริปที่ผมเป็นคนนำทริป และจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะไปเที่ยวนอกเมืองโตเกียวโดยไม่มีคนนำ!
เอาจริงๆ แล้ว ทริปนี้เป็นครั้งที่ 4 ที่ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่น แต่ 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น จะมีเพื่อนผมที่เป็นคนนำ ช่วยวางแผน และสื่อสารญี่ปุ่นได้ (เดินตามต๊อยๆ ไปตลอด) จะมีครั้งนี้ที่ผมจะกลายเป็นคนนำซะเอง ซึ่งสื่อสารญี่ปุ่นไม่ได้ สำคัญคือ อังกฤษอยู่ในระดับกากจนอายน้องๆ ไปเลย

เป้าหมายของทริปนี้ของผมก็คือ การไปเที่ยวนอกเมืองโตเกียวที่ไม่เคยไปเลย (ไปไกลสุดก็คือคาวาโกเอะ... ซึ่งก็มีคนนำอีกนะแหละ) และไปเที่ยวงานแฟนอีเวนท์ My Little Pony ที่แฟนๆ การ์ตูนโพนี่ญี่ปุ่นจัดกันเอง เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่จะไม่ค่อยถ่ายภาพติดหน้าคน ดังนั้นจึงเป็นอะไรที่ลึบลับสำหรับพวกผมมาก ว่างานนี้จะเป็นยังไงมาก และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมกับพลพรรคแฟนโพนี่ทั้งหมด 5 ชีวิต (ชายล้วน) ที่จะไปกันนั้นเองครับ
ซึ่งก็อยากรู้โดยส่วนตัวเหมือนกันว่า ตัวเราในฐานะคนที่พูดอ่านญี่ปุ่นไม่ได้ ชอบเดินหลงทิศ และภาษาอังกฤษเข้าขั้นระดับกาก จะเอาตัวรอดได้รึไม่!

ทางผมจองสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ โดยเพราะเคยใช้บริการมาก่อน เลยไว้ใจได้ เหตุผลที่เลือกสายการบินนี้แม้ว่าจะต้องเสียเวลาต่อเครื่องก็คือ ราคาเมื่อเทียบกับโลวคอสแล้ว แทบจะเท่ากัน แต่ได้นํ้าหนักถึง 30 กิโล และได้อาหารบนเครื่องด้วย (อาหารอร่อยมาก ผมเอาเจ้านี้เพราะอาหารล้วนๆ) และขึ้นที่สุวรรณภูมิ ซึ่งใกล้บ้านผมมากกว่าไปที่ดอนเมือง โดยได้จองผ่านเว็บสายการบินโดยตรง ส่วนที่พักอาศัยจองใน Booking เอาครับ

ส่วนเรื่องอินเตอร์เน็ตนั้น ผมซื้อซิม AIS SIM2FLY อยู่แล้ว แต่เห็นว่า พ็อตเกจไวไฟของเจ้าหนึ่ง ทำโปรออกมาราคาถูก เลยซื้อไปด้วย โดยมีอุปกรณ์ให้ดังนี้

ส่วนคณะของผมนั้นรวมผมด้วยจะมีทั้งหมด 5 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นแฟนการ์ตูน My Little Pony ทั้งหมด ประกอบไปด้วย ตัวผมเอง (ใส่หมวก), อีกคนมาจากลำปาง, สองคนเป็นโปรแกรมเมอร์ทั้งคู่ (คนนึงเป็นนักพัฒนาเกมด้วย) และอีกคนก็เป็นคนไทยที่ไปโตที่ออสเตรเลีย แล้วย้ายมาอยู่ไทย ทำงานเป็นผู้ช่วยครูอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติ แต่ถึงโปรไฟล์แต่ละคนจะดี แต่ว่าแต่ละคนก็มาเที่ยวแบบเซฟงบ เน้นคุ้มและถูกที่สุด เพราะจะเหลือเงินไปชอปปิ้งกันเยอะๆ นั่นเอง -0-

อันนี้อาหารมื้อแรกบนสายการบินเวียดนามครับ ของผมไม่สามารถทานไก่ได้ เลยขอเป็นหมู เอาจริงๆ จะบอกว่า แค่ขนมปังนั่นก็อร่อยแล้วนะครับ อารมณ์แบบ เอาขนมปังมาบิดฉีด เสียงฉีกขนมปังดังออกมายังกับมีคนเล่นดนตรีให้ฟังเลย

ใช้เวลาบินราวๆ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องลงแล้ว เนื่องจากต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่โฮจินมิน รอบนี้ไม่ได้ต่องวงช้างเข้าไปในเทอร์มินอล เลยต้องขึ้นรถบัสเข้าไปในสนามบินครับ ส่วนสัมภาระก็ไม่ต้อง ทางเจ้าหน้าที่จะจัดการให้เรา เราก็เดินตัวปลิวออกมาเลย

มีเรื่องเล่านิดนึง คือช่วงที่ผมไป ตอนผ่านด่านสแกน เจ้าหน้าที่เข้มงวดมากกว่าปกติ (รอบที่แล้วไม่เข้มงวดขนาดนั้น) ระดับที่ว่าต้องถอดโชว์ให้หมดและต้องถอดรองเท้าด้วย ไม่รู้ว่าช่วงนั้นมีเรื่องอะไรรึเปล่า และเพื่อนผมคนนึงก็โดนยืดมีดพก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผ่านสแกนจากไทยมาได้ยังไงเหมือนกัน (เป็นมีดพกที่เป็น USB) เพื่อนผมเลยต้องจำใจทิ้งไป จากนั้นพวกผมจะต้องไปนั่งรอราวๆ ชั่วโมง 50 นาที

ใกล้ๆ จุดนั่งรอมีการโชว์ภาพจิตรกรรมของศิลปินชาวเวียดนามด้วย เลยไปถ่ายแซะสองแซะ

ซึ่งด้วยการที่ไม่มีอะไรทำ เพื่อนผมเลยเอาเกมเศรษฐีโพนี่มาเล่นกัน มีผมคนนึงที่ไม่เล่น เพราะกินยาแก้เมามาตั้งแต่จากไทย เลยมึนๆ ง่วงๆ ทั้งแก๊งนี้ก็นั่งเล่นกันตลอดเกือบสองชั่วโมง เกมยังไม่จบกันเลย (นี่สินะ ความแตกต่างของคนวัยเด็กกับวัยโต เพราะวัยโตนี่ต่างคนต่างไม่ยอมใครจริงๆ 5555)

ในที่สุดก็ถึงเวลา พวกผมก็ได้ไปต่อ โดยรอบนี้จะยิงตรงไปยังโตเกียวเลย เตรียมตัวนอนกันยาวๆ ครับ

สำหรับเครื่องที่บินไปญี่ปุ่นนั้นจะมีสื่อบันเทิงมาให้ด้วย ตอนนั้นมี Your name มาให้ดูแล้ว

7 ชั่วโมงผ่านไป (ด้วยความรู้สึกเหมือน 5 - 6 ชั่วโมงกว่าๆ) พนักงานก็ปลุก พร้อมอาหารเช้ามา อันนี้โคตรอร่อยครับ เป็นเนื้อ

ตื่นด้วยความเช้าสดใส ดูจากหน้าแต่ละคนได้ครับว่าสดชื่นกันจริงๆ ..... (รึเปล่า)

อุณหภูมิตอนเช้าที่สนามบินนาริตะ ชิบะ อยู่ที่ราวๆ 7 - 9 องศา เย็นเจี๊ยบ ส่วนอันนี้เครื่องบินที่นั่งมาครับ ตอนขามาจากเวียดนามถ่ายไม่ชัด มาถ่ายตรงนี้ชัดกว่า

เดินลงมา เจอป้ายภาษา.... ไทยทันที เลยเป็นมุขตลกกันอยู่ว่า ตกลงนี่เราออกมาจากประเทศไทยกันแล้วใช่ไหม???

ใช่แน่นอน! เพราะมีป้ายที่เขียนไม่เหมือนคนอื่น ภาษาอื่นจะบอกแค่ว่ายินดีต้อนรับ แต่ภาษาญี่ป่นจะบอกว่า ยินดีต้อนรับกลับมานะ ญี่ปู๊น ญี่ปุ่นจริงๆ

หลังจากออก ตม. มาแล้ว ส่วนใหญ่คนที่มาญี่ปุ่นครั้งแรกจะงงตั้งแต่ด่านแรก ทีนี้แหละครับ สกิลผมก็ต้องเริ่มทำงาน เพราะปรากฎว่า ทั้ง 5 คนนี้ แม้ว่าจะมีคนเคยมาญี่ปุ่นมาก่อน แต่ก็ไม่เคยซื้อตั๋วรถไฟเองโดยเฉพาะตอนเข้าเมือง ผมก็ต้องอาศัยความจำส่วนตัว (จากที่ยืนดูเพื่อนทำให้) ในการแนะนำซื้อตั๋วเข้าเมือง เนื่องจากวันแรกเราไม่ได้รีบอะไร ก็เลยนั่งสายธรรมดาเข้าเมืองกัน โดยจะยิงยาวไปลงที่สถานี เคย์เซย์ อุเอโนะ ราคา 1,030 เยน (ตีไป 300 บาท) ไปสายสีส้มนะครับ แน่นอนว่าทางเลือกอื่นๆ ก็มี เช่นนั่งรถไฟสกายไรเนอร์ที่จะตรงดิ่งโดยไม่แวะ ราคา 600 บาท หรือรถบัสก็มี แต่เราไปกันแบบเอาประหยัด ก็ต้องประหยัดๆ ไว้

และด้วยผมวางแผนจะไปเที่ยวนอกเมืองถึง 3 วันด้วย ก็เลยจะใช้พาส หรือที่พวกเราเรียกกันว่า บัตรเบ่ง นั่นเอง เบ่งยังไงเดี๋ยวจะเล่าให้อ่าน โดยตรงที่ซื้อตั๋วรถไฟเนี่ยแหละ ฝั่งตรงข้ามจะมีเค้าเตอร์ขายตั๋ว Pass ต่างๆ อยู่ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนวางแผนจะไปเที่ยวนอกเมืองด้วย ซื้อพาสที่นี่เลยก็จะสะดวกครับ (หรือจะไปซื้อในสถานี JR ในเมืองก็ได้) โดยของผมคือ ซื้อบัตร TOKYO WIDE PASS ราคา 10,000 เยน หรือ 3,000 บาท ขึ้นสายรถไฟและซินกันเซนรอบเมืองโตเกียวได้หมด 3 วันแบบอันลิมิต
มีอยู่เพียง 3 คนเท่านั้นที่จะมีเดินทางไปนอกเมือง อีกสองคนจะตระเวณเที่ยวในเมือง จึงใช้เวลาซื้อไม่นาน ก็ได้เดินทาง โดยรถไฟที่นั่งไปนั้นจะเป็นรถไฟโดยสารปกติ แต่จะยิงตรงไปที่สถานีเคย์เซย์ อุเอโนะเลย จึงสามารถนั่งกันได้ยาวๆ ไม่ต้องกลัวหลง

นั่งดูวิวข้างทางก็เพลินดี

โบรูโตะที่นี่ก็ดังไม่แพ้กันเลย

หลังจากขึ้นมาที่สถานีเคย์เซย์ อุเอโนะแล้ว พวกผมก็ได้ไปยังที่พักก่อน แม้ว่าจะไม่เปิดเวลาเช็คอิน แต่ก็สามารถเอากระเป๋าไปฝากก่อนได้ และตรงใกล้ที่พัก ก็ดันเจอภาษาไทยอีกแล้ว.... ครือ นี่เรามาถูกประเทศจริงๆ แล้วใช่มะ?

ปล. ภาพที่พัก ผมลืมถ่ายตอนกลางวันครับ เลยได้แต่ภาพตอนกลางคืนมา
มารีวิวที่พักกันก่อนนะครับ ที่พักของผมทั้งหมด 7 คืนนี้ ชื่อว่า โตเกียว อุเอโนะ ยูท โฮสเทล ซึ่งน่าเสียดายที่ตอนหลังๆ ไม่สามารถกดจองได้เลย (ไม่รู้ว่าคนอื่นกดจองกันได้ไหมนะครับ) เป็นโฮสเทลระดับ 1 ดาว แต่แนะนำให้มานอนครับ เพราะตรงนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างอากิฮาบาระและตลาดอเมโยโกะ โดยใช้เวลาเดินแค่ 10 นาทีเท่านั้น ใกล้ๆ มีมินิมาร์ท หัวมุมถนนมี Book off แถมถัดไปอีกซอย ก็มีสถานีรถไฟใต้ดิน และร้านดองกิ โฮเต้ด้วย คือเป็นโลเกชั่นทำเลทองเอามากๆ แถมราคาเฉลี่ยตกคนละ 867 บาทต่อคืนเท่านั้น เรียกได้ว่า คุ้มสุดๆ เลยล่ะครับ

ที่พักแห่งนี้สามารถฝากกุญแจไว้กับเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งจะมีคนบริการยาวจนถึงเที่ยงคืน แปลว่าถ้าออกไปเที่ยวกันยกห้อง ก็ฝากกุญแจไว้ได้สบายๆ

มีพื้นที่ส่วนกลางชั้นบนสุด เป็นห้องเล็กๆ (ที่เขาเอาห้องพัก 1 ห้องมาทำ) โดยมีตู้เย็นที่จะสามารถเอาของมาฝากแช่ได้ (มีกระดาษให้เขียนว่าของใคร) มีกานํ้าร้อนพร้อมซุปมิโสะพร้อมชงฟรี และเตาอบด้วย ผมชอบขึ้นมานั่งตรงนี้ตอนมากินข้าวครับ

ส่วนในห้องพักนั้นจะมีห้องนํ้าในตัว และเป็นเตียงแบบ 2 ชั้น ด้วย เนื่องจากผู้ชายนอนด้วยกัน 5 คน อารมณ์จะเหมือนเข้าค่ายลูกเสือ ซึ่งจะดูรกๆ หน่อย เอาภาพนี้ให้ดูแทนนะครับ

พื้นที่บนดาดฟ้าของที่พักนั้น จะมีเครื่องซักผ้าและตู้อบผ้าหยอดเหรียญให้ด้วย ทางที่พักเขามีเครื่องกันหนาวให้ยืมใส่ หากว่าลมข้างนอกหนาวนะครับ พวกผมใช้วิธี เอาเสื้อผ้าไปครึ่งเดียวพอ แล้วก็เอาไปซักกับที่นี่ ซึ่งจะช่วยประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าด้วยฮะ
เที่ยวญี่ปุ่นฉบับไม่มีล่าม พูดญี่ปุ่นไม่ได้ อังกฤษอย่าถาม ตอน 1 : เดินทางสู่โตเกียว
** การเดินทางนี้เดินทางเมื่อต้นพฤศจิกา ปี 2017 แต่เพิ่งได้เอามาเขียนหลังจากดองมานานครับ **
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวบ่อย ด้วยการที่สภาพแวดล้อมที่จำเป็นต้องอยู่ที่บ้าน ผมจึงเป็นคนที่ไม่ประสีประสาเมื่อเทียบกับท่านอื่นที่มีเวลาไปเที่ยวมากกว่า ดังนั้น ทริปนี้จึงเป็นทริปที่ท้าทายอย่างมาก เพราะเป็นทริปที่ผมเป็นคนนำทริป และจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะไปเที่ยวนอกเมืองโตเกียวโดยไม่มีคนนำ!
เอาจริงๆ แล้ว ทริปนี้เป็นครั้งที่ 4 ที่ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่น แต่ 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น จะมีเพื่อนผมที่เป็นคนนำ ช่วยวางแผน และสื่อสารญี่ปุ่นได้ (เดินตามต๊อยๆ ไปตลอด) จะมีครั้งนี้ที่ผมจะกลายเป็นคนนำซะเอง ซึ่งสื่อสารญี่ปุ่นไม่ได้ สำคัญคือ อังกฤษอยู่ในระดับกากจนอายน้องๆ ไปเลย
เป้าหมายของทริปนี้ของผมก็คือ การไปเที่ยวนอกเมืองโตเกียวที่ไม่เคยไปเลย (ไปไกลสุดก็คือคาวาโกเอะ... ซึ่งก็มีคนนำอีกนะแหละ) และไปเที่ยวงานแฟนอีเวนท์ My Little Pony ที่แฟนๆ การ์ตูนโพนี่ญี่ปุ่นจัดกันเอง เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่จะไม่ค่อยถ่ายภาพติดหน้าคน ดังนั้นจึงเป็นอะไรที่ลึบลับสำหรับพวกผมมาก ว่างานนี้จะเป็นยังไงมาก และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมกับพลพรรคแฟนโพนี่ทั้งหมด 5 ชีวิต (ชายล้วน) ที่จะไปกันนั้นเองครับ
ซึ่งก็อยากรู้โดยส่วนตัวเหมือนกันว่า ตัวเราในฐานะคนที่พูดอ่านญี่ปุ่นไม่ได้ ชอบเดินหลงทิศ และภาษาอังกฤษเข้าขั้นระดับกาก จะเอาตัวรอดได้รึไม่!
ทางผมจองสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ โดยเพราะเคยใช้บริการมาก่อน เลยไว้ใจได้ เหตุผลที่เลือกสายการบินนี้แม้ว่าจะต้องเสียเวลาต่อเครื่องก็คือ ราคาเมื่อเทียบกับโลวคอสแล้ว แทบจะเท่ากัน แต่ได้นํ้าหนักถึง 30 กิโล และได้อาหารบนเครื่องด้วย (อาหารอร่อยมาก ผมเอาเจ้านี้เพราะอาหารล้วนๆ) และขึ้นที่สุวรรณภูมิ ซึ่งใกล้บ้านผมมากกว่าไปที่ดอนเมือง โดยได้จองผ่านเว็บสายการบินโดยตรง ส่วนที่พักอาศัยจองใน Booking เอาครับ
ส่วนเรื่องอินเตอร์เน็ตนั้น ผมซื้อซิม AIS SIM2FLY อยู่แล้ว แต่เห็นว่า พ็อตเกจไวไฟของเจ้าหนึ่ง ทำโปรออกมาราคาถูก เลยซื้อไปด้วย โดยมีอุปกรณ์ให้ดังนี้
ส่วนคณะของผมนั้นรวมผมด้วยจะมีทั้งหมด 5 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นแฟนการ์ตูน My Little Pony ทั้งหมด ประกอบไปด้วย ตัวผมเอง (ใส่หมวก), อีกคนมาจากลำปาง, สองคนเป็นโปรแกรมเมอร์ทั้งคู่ (คนนึงเป็นนักพัฒนาเกมด้วย) และอีกคนก็เป็นคนไทยที่ไปโตที่ออสเตรเลีย แล้วย้ายมาอยู่ไทย ทำงานเป็นผู้ช่วยครูอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติ แต่ถึงโปรไฟล์แต่ละคนจะดี แต่ว่าแต่ละคนก็มาเที่ยวแบบเซฟงบ เน้นคุ้มและถูกที่สุด เพราะจะเหลือเงินไปชอปปิ้งกันเยอะๆ นั่นเอง -0-
อันนี้อาหารมื้อแรกบนสายการบินเวียดนามครับ ของผมไม่สามารถทานไก่ได้ เลยขอเป็นหมู เอาจริงๆ จะบอกว่า แค่ขนมปังนั่นก็อร่อยแล้วนะครับ อารมณ์แบบ เอาขนมปังมาบิดฉีด เสียงฉีกขนมปังดังออกมายังกับมีคนเล่นดนตรีให้ฟังเลย
ใช้เวลาบินราวๆ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องลงแล้ว เนื่องจากต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่โฮจินมิน รอบนี้ไม่ได้ต่องวงช้างเข้าไปในเทอร์มินอล เลยต้องขึ้นรถบัสเข้าไปในสนามบินครับ ส่วนสัมภาระก็ไม่ต้อง ทางเจ้าหน้าที่จะจัดการให้เรา เราก็เดินตัวปลิวออกมาเลย
มีเรื่องเล่านิดนึง คือช่วงที่ผมไป ตอนผ่านด่านสแกน เจ้าหน้าที่เข้มงวดมากกว่าปกติ (รอบที่แล้วไม่เข้มงวดขนาดนั้น) ระดับที่ว่าต้องถอดโชว์ให้หมดและต้องถอดรองเท้าด้วย ไม่รู้ว่าช่วงนั้นมีเรื่องอะไรรึเปล่า และเพื่อนผมคนนึงก็โดนยืดมีดพก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผ่านสแกนจากไทยมาได้ยังไงเหมือนกัน (เป็นมีดพกที่เป็น USB) เพื่อนผมเลยต้องจำใจทิ้งไป จากนั้นพวกผมจะต้องไปนั่งรอราวๆ ชั่วโมง 50 นาที
ใกล้ๆ จุดนั่งรอมีการโชว์ภาพจิตรกรรมของศิลปินชาวเวียดนามด้วย เลยไปถ่ายแซะสองแซะ
ซึ่งด้วยการที่ไม่มีอะไรทำ เพื่อนผมเลยเอาเกมเศรษฐีโพนี่มาเล่นกัน มีผมคนนึงที่ไม่เล่น เพราะกินยาแก้เมามาตั้งแต่จากไทย เลยมึนๆ ง่วงๆ ทั้งแก๊งนี้ก็นั่งเล่นกันตลอดเกือบสองชั่วโมง เกมยังไม่จบกันเลย (นี่สินะ ความแตกต่างของคนวัยเด็กกับวัยโต เพราะวัยโตนี่ต่างคนต่างไม่ยอมใครจริงๆ 5555)
ในที่สุดก็ถึงเวลา พวกผมก็ได้ไปต่อ โดยรอบนี้จะยิงตรงไปยังโตเกียวเลย เตรียมตัวนอนกันยาวๆ ครับ
สำหรับเครื่องที่บินไปญี่ปุ่นนั้นจะมีสื่อบันเทิงมาให้ด้วย ตอนนั้นมี Your name มาให้ดูแล้ว
7 ชั่วโมงผ่านไป (ด้วยความรู้สึกเหมือน 5 - 6 ชั่วโมงกว่าๆ) พนักงานก็ปลุก พร้อมอาหารเช้ามา อันนี้โคตรอร่อยครับ เป็นเนื้อ
ตื่นด้วยความเช้าสดใส ดูจากหน้าแต่ละคนได้ครับว่าสดชื่นกันจริงๆ ..... (รึเปล่า)
อุณหภูมิตอนเช้าที่สนามบินนาริตะ ชิบะ อยู่ที่ราวๆ 7 - 9 องศา เย็นเจี๊ยบ ส่วนอันนี้เครื่องบินที่นั่งมาครับ ตอนขามาจากเวียดนามถ่ายไม่ชัด มาถ่ายตรงนี้ชัดกว่า
เดินลงมา เจอป้ายภาษา.... ไทยทันที เลยเป็นมุขตลกกันอยู่ว่า ตกลงนี่เราออกมาจากประเทศไทยกันแล้วใช่ไหม???
ใช่แน่นอน! เพราะมีป้ายที่เขียนไม่เหมือนคนอื่น ภาษาอื่นจะบอกแค่ว่ายินดีต้อนรับ แต่ภาษาญี่ป่นจะบอกว่า ยินดีต้อนรับกลับมานะ ญี่ปู๊น ญี่ปุ่นจริงๆ
หลังจากออก ตม. มาแล้ว ส่วนใหญ่คนที่มาญี่ปุ่นครั้งแรกจะงงตั้งแต่ด่านแรก ทีนี้แหละครับ สกิลผมก็ต้องเริ่มทำงาน เพราะปรากฎว่า ทั้ง 5 คนนี้ แม้ว่าจะมีคนเคยมาญี่ปุ่นมาก่อน แต่ก็ไม่เคยซื้อตั๋วรถไฟเองโดยเฉพาะตอนเข้าเมือง ผมก็ต้องอาศัยความจำส่วนตัว (จากที่ยืนดูเพื่อนทำให้) ในการแนะนำซื้อตั๋วเข้าเมือง เนื่องจากวันแรกเราไม่ได้รีบอะไร ก็เลยนั่งสายธรรมดาเข้าเมืองกัน โดยจะยิงยาวไปลงที่สถานี เคย์เซย์ อุเอโนะ ราคา 1,030 เยน (ตีไป 300 บาท) ไปสายสีส้มนะครับ แน่นอนว่าทางเลือกอื่นๆ ก็มี เช่นนั่งรถไฟสกายไรเนอร์ที่จะตรงดิ่งโดยไม่แวะ ราคา 600 บาท หรือรถบัสก็มี แต่เราไปกันแบบเอาประหยัด ก็ต้องประหยัดๆ ไว้
และด้วยผมวางแผนจะไปเที่ยวนอกเมืองถึง 3 วันด้วย ก็เลยจะใช้พาส หรือที่พวกเราเรียกกันว่า บัตรเบ่ง นั่นเอง เบ่งยังไงเดี๋ยวจะเล่าให้อ่าน โดยตรงที่ซื้อตั๋วรถไฟเนี่ยแหละ ฝั่งตรงข้ามจะมีเค้าเตอร์ขายตั๋ว Pass ต่างๆ อยู่ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนวางแผนจะไปเที่ยวนอกเมืองด้วย ซื้อพาสที่นี่เลยก็จะสะดวกครับ (หรือจะไปซื้อในสถานี JR ในเมืองก็ได้) โดยของผมคือ ซื้อบัตร TOKYO WIDE PASS ราคา 10,000 เยน หรือ 3,000 บาท ขึ้นสายรถไฟและซินกันเซนรอบเมืองโตเกียวได้หมด 3 วันแบบอันลิมิต
มีอยู่เพียง 3 คนเท่านั้นที่จะมีเดินทางไปนอกเมือง อีกสองคนจะตระเวณเที่ยวในเมือง จึงใช้เวลาซื้อไม่นาน ก็ได้เดินทาง โดยรถไฟที่นั่งไปนั้นจะเป็นรถไฟโดยสารปกติ แต่จะยิงตรงไปที่สถานีเคย์เซย์ อุเอโนะเลย จึงสามารถนั่งกันได้ยาวๆ ไม่ต้องกลัวหลง
นั่งดูวิวข้างทางก็เพลินดี
โบรูโตะที่นี่ก็ดังไม่แพ้กันเลย
หลังจากขึ้นมาที่สถานีเคย์เซย์ อุเอโนะแล้ว พวกผมก็ได้ไปยังที่พักก่อน แม้ว่าจะไม่เปิดเวลาเช็คอิน แต่ก็สามารถเอากระเป๋าไปฝากก่อนได้ และตรงใกล้ที่พัก ก็ดันเจอภาษาไทยอีกแล้ว.... ครือ นี่เรามาถูกประเทศจริงๆ แล้วใช่มะ?
ปล. ภาพที่พัก ผมลืมถ่ายตอนกลางวันครับ เลยได้แต่ภาพตอนกลางคืนมา
มารีวิวที่พักกันก่อนนะครับ ที่พักของผมทั้งหมด 7 คืนนี้ ชื่อว่า โตเกียว อุเอโนะ ยูท โฮสเทล ซึ่งน่าเสียดายที่ตอนหลังๆ ไม่สามารถกดจองได้เลย (ไม่รู้ว่าคนอื่นกดจองกันได้ไหมนะครับ) เป็นโฮสเทลระดับ 1 ดาว แต่แนะนำให้มานอนครับ เพราะตรงนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างอากิฮาบาระและตลาดอเมโยโกะ โดยใช้เวลาเดินแค่ 10 นาทีเท่านั้น ใกล้ๆ มีมินิมาร์ท หัวมุมถนนมี Book off แถมถัดไปอีกซอย ก็มีสถานีรถไฟใต้ดิน และร้านดองกิ โฮเต้ด้วย คือเป็นโลเกชั่นทำเลทองเอามากๆ แถมราคาเฉลี่ยตกคนละ 867 บาทต่อคืนเท่านั้น เรียกได้ว่า คุ้มสุดๆ เลยล่ะครับ
ที่พักแห่งนี้สามารถฝากกุญแจไว้กับเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งจะมีคนบริการยาวจนถึงเที่ยงคืน แปลว่าถ้าออกไปเที่ยวกันยกห้อง ก็ฝากกุญแจไว้ได้สบายๆ
มีพื้นที่ส่วนกลางชั้นบนสุด เป็นห้องเล็กๆ (ที่เขาเอาห้องพัก 1 ห้องมาทำ) โดยมีตู้เย็นที่จะสามารถเอาของมาฝากแช่ได้ (มีกระดาษให้เขียนว่าของใคร) มีกานํ้าร้อนพร้อมซุปมิโสะพร้อมชงฟรี และเตาอบด้วย ผมชอบขึ้นมานั่งตรงนี้ตอนมากินข้าวครับ
ส่วนในห้องพักนั้นจะมีห้องนํ้าในตัว และเป็นเตียงแบบ 2 ชั้น ด้วย เนื่องจากผู้ชายนอนด้วยกัน 5 คน อารมณ์จะเหมือนเข้าค่ายลูกเสือ ซึ่งจะดูรกๆ หน่อย เอาภาพนี้ให้ดูแทนนะครับ
พื้นที่บนดาดฟ้าของที่พักนั้น จะมีเครื่องซักผ้าและตู้อบผ้าหยอดเหรียญให้ด้วย ทางที่พักเขามีเครื่องกันหนาวให้ยืมใส่ หากว่าลมข้างนอกหนาวนะครับ พวกผมใช้วิธี เอาเสื้อผ้าไปครึ่งเดียวพอ แล้วก็เอาไปซักกับที่นี่ ซึ่งจะช่วยประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าด้วยฮะ