เอากระทู้เก่ามาปัดฝุ่นเล่าใหม่ เผื่อสมาชิคพันทิปรุ่นนี้จะเอาไปเป็นข้อคิดและปรับใช้ให้เป็นประโยชน์บ้างเพราะเห็นมีกระทู้ปรับทุกข์เรื่องหนี้สิน รวมทั้งเรื่องบ้านเรื่องรถโดนเจ้าหนี้หรือธนาคารยึดขายทอดตลาดอยู่เป็นประจำ ขอเกริ่นก่อนว่าถึงแม้ว่าเรื่องราวการบริหารเงินและการดำเนินชีวิตของเราส่วนใหญ่เกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่ว่าเป็นหลักการที่ใคร ๆ ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไทยหรือที่ไหน ๆ และขอย้ำว่าที่เราเขียนเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตัวเองนั้นไม่ใช่เพื่อต้องการโอ้อวดความมั่งมี แต่ต้องการบอกเล่าประสบการณ์และหลักการบริหารเงินเพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแรงบันดาลใจแก่คนที่มาอ่าน เผื่อจะมีใครเห็นคุณค่านำไปปรับปรุงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงแก่ตัวเองและครอบครัวในอนาคตเท่านั้นเองค่ะ
👧🏽 เราไม่มีทรัพย์สมบัติมาจากไหน ใช้ชีวิตแบบตีนถีบปากกัดมาตั้งแต่เกิด เมื่อโตขึ้นได้ไปรู้ไปเห็นครอบครัวอื่นถึงได้รู้ว่าครอบครัวของเรายากจน แต่ก็ไม่ได้คิดเปรียบเทียบกับใครหรือน้อยใจอะไรเพราะเห็น ๆ อยู่ว่าพ่อแม่พยายามเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดแล้ว เห็นรูปพ่อแม่นั่งนับตังค์รูปนี้ทีไร น้ำตาไหลทุกที
ถึงแม้ว่าเราเติบโตมาอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรามีเงินสะสมเจ็ดหลัก USD มีบ้านของตัวเองอยู่ ไม่มีหนี้สินแม้แต่สตางค์แดงเดียวมายี่สิบกว่าปีแล้วตั้งแต่ส่งค่าบ้านหมด มีความสุขดี ไม่รุ่มร้อน เรากับสามีไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเงินทอง แต่เราทุ่มเทเงินทองเพื่อการศึกษาและซื้อประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือ เดินทางท่องเที่ยว และดูคอนเสิร์ตฟังดนตรีดูการแสดงที่ชอบ เราชอบเที่ยวกันทั้งสองคนและวางแผนเที่ยวอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเกษียณแล้ว สามีเขาเกษียณมาได้ 17 ปี ส่วนเราเกษียณมาได้เกือบครบ 5 ปีเเล้ว เราสองคนไปเที่ยวมา 55 ประเทศ บางประเทศไปหลายครั้งหลายหนและยังเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ เพราะถือว่าการเดินทางเป็นการศึกษาประเทืองปัญญาเเละเป็นการฝึกฝนทักษะอย่างดี ถ้าหากคิดตามระยะทางแล้วเราไปมารอบโลกอย่างน้อยสี่สิบสามรอบ หกทวีปเเล้ว ยังเหลือแต่ออสเตรเลียเท่านั้นที่ยังไม่ได้ไป
🦉👩🏽💻 เราส่งลูกเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่เป็นหนี้ธนาคารอย่างที่เด็กอเมริกันจำนวนมากเป็นกัน ทั้ง ๆ ที่โดยปกติแล้วค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกาสูงมาาาาาาากกกก 👾🦉👩🏽💻*****ขออธิบายว่า ที่อเมริกา ที่พ่อแม่ชนชั้นกลางส่งเสียให้ลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่ให้ลูกกู้เงินมาเรียนจนเป็นหนี้หัวโตนี่ไม่ใช่เรื่องปกตินะเพราะค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่สูงจริง ๆ พ่อแม่ส่วนมากไม่ค่อยมีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกจนหมดหรอก อีกประการหนึ่งเขาถือว่าเวลาลูกอายุ 18 ปีนี่บรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนใหญ่จะให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง 👨💻 ถ้าอยากเรียนก็ให้ไปหาค่าเล่าเรียนเอาเองก็แล้วกัน คนหนุ่มคนสาวชาวอเมริกันจำนวนมากจึงกู้เงินมาเรียน เวลาจบแล้วถึงได้เป็นหนี้ธนาคารมากมาย จะต้องผ่อนส่งอยู่หลายปีกว่าจะหมดหนี้ ***** 👨🎨🦋🦋🦋 ........ 🐛🐛🐛 ส่วนเรานั้นส่งลูกเรียนจนจบได้ปริญญา พอลูกเรียนจบยังมีเงินเหลือให้ลูกไปตั้งต้นเริ่มเช่าห้องในแมนฮัตตันเมื่อลูกเริ่มทำงานอีกด้วย ถ้าใครเคยหาห้องพักในนิวยอร์คจะรู้ดีว่าค่าเช่าสูงแค่ไหน แถมจะต้องมีเงินให้พอค่าเช่าสำหรับสามเดือนถึงจะเช่าได้ เพราะเขาจะเรียกค่ามัดจำเพื่อค้ำประกันค่าเช่าเดือนแรกและเดือนสุดท้ายก่อนจะย้ายออกในอนาคต บวกกับค่านายหน้าจำนวนเท่ากับค่าเช่าหนึ่งเดือนอีกต่างหาก เงินค่านายหน้านี้จะไม่ได้คืนเวลาย้ายออก
💖🧑🎓🥰👨🏻🎓🌷🧑🎓
แล้วเราทำยังไงล่ะถึงเก็บเงินได้ตั้งแยะอย่างนี้
คำตอบอยู่ที่ว่า เราเลือกวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีวินัยการเงิน
จับจ่ายใช้สอยต่ำกว่ารายได้ ไม่ซื้ออะไรที่เกินกำลังจ่ายจนเป็นหนี้ติดสินไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถรา หรืออะไรทั้งนั้น และมองว่าเงินคือสิ่งสมมุติแต่เป็นสิ่งจำเป็นในการแลกเปลี่ยนปัจจัยสี่เท่านั้นเอง ***แต่เราทุ่มเทเงินทองเพื่อการศึกษาและซื้อประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ตลอดมา**
*หมายเหตุ* เราหักเงินทุกเดือนซื้อกองทุนสะสมก่อนที่จะเอาส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันและไม่กู้หนี้ยืมสินเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://investornews.vanguard/moneys-best-etfs-and-mutual-funds-place-vanguard-at-the-top-for-19th-straight-year/?EXCMPGN=EM:RIG:ED:eITV:Email:Link2:2019/02/07:101:INV
🌾🌾🌿☘️🌾🌾🍀🌿🌾🌾🍃🍃🌾🌾🌿🍀🌾🌾🌿☘️🌾🌾🍀🌿🌾🌾🍃🍃🌾🌾
ย้อนไปถึงสมัยที่เรายังเป็นเด็ก พ่อแม่ของเราทำขนมขาย หาเช้ากินค่ำ เดิมพ่อเป็นช่างก่อสร้างแต่ประสบอุบัติเหตุตกจากหลังคา ขาหักกระดูกเท้าแตก เดินขากะเผลกเลยต้องอยู่บ้านช่วยแม่ทำขนมขาย ตื่นแต่ตีสี่ทุกวัน ลูก ๆ ทุกคนก็ต้องตื่นแต่เช้าช่วยทำขนมคนละไม้ละมือเช่นกัน ไม่ว่างเว้นแล้วถึงจะไปโรงเรียน
แม่จะหาบขนมขายไปที่ตลาดแต่เช้ามืดก่อน พอตลาดวายก็กลับมาทำขนมต่อ แล้วหาบไปขายตามหมู่บ้านบ้าง ตามงานวัดบ้าง จนบ่ายก็กลับมาทำขนมต่อเพื่อเตรียมเอาไปขายวันรุ่งขึ้นด้วย พอลูก ๆ กลับจากโรงเรียนก็ถูบ้านทำความสะอาดบ้านและช่วยพ่อแม่ทำขนมอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้นานนับปี ตอนหลังสุดแม่ได้ไปขายที่โรงเรียนเป็นขาประจำจึงค่อยสบายขึ้นหน่อยหนึ่ง เพราะไม่ต้องหาบไปขายทั้งวัน
รูปข้างบนนั่นถ่ายเมื่เรากลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่เรียนสำเร็จระดับปริญญาโทที่ฝรั่งเศส ระยะนี้ฐานะการเงินของพ่อแม่กระเตื้องขึ้นมากว่าเดิมมากแล้วนะนั่นเพราะได้ขายประจำที่โรงเรียน
👨💻👨🎨👾🙂💩🐞🕸
เคยมีคนที่เห็นรูปข้างบนนั้นมาติงว่าไม่จนจริงหรอกเพราะเห็นมีตู้หนังสือในรูปไง ถ้าจนจริง ๆ แล้วเอากล้องไหนมาถ่ายรูปนี้
ขออธิบายว่า ที่เห็นในรูปนั้นฐานะการเงินของพ่อแม่ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้ถามพ่อแม่ว่าเป็นเงินที่กำลังนับอยู่นั้นเก็บมารวมกันตั้งแต่กี่วัน แต่เรารู้ดีว่าเขาไม่ได้มีเก็บไว้ที่ไหน เพราะเราแบ่งทุนที่เราได้มาให้พ่อแม่และเป็นค่าเล่าเรียนของพี่และน้องตั้งแต่สมัยที่เราเรียนที่ธรรมศาสตร์แล้ว ส่วนตู้หนังสือที่เห็นในรูปนั้นพ่อต่อเอาเองจากเศษไม้ที่เหลือ ๆ ที่เขาทิ้งจากสถานก่อสร้างที่พ่อเคยไปทำ หนังสือในตู้นั้นคือตำราของเราที่พ่อแม่เเก็บไว้ให้หลังจากที่เรียนจบจากธรรมศาสตร์ ส่วนกล้องตัวนั้นเป็นกล้อง Kodak instamatic ที่ยืมของรุ่นพี่มาตอนกลับมาเยี่ยมบ้าน
*
แก้ไขเพื่อขัดเกลาภาษาและปรับข้อมูลค่ะ
🤗 ทำอย่างไรถึงจะมีเงินล้าน 🤗
👧🏽 เราไม่มีทรัพย์สมบัติมาจากไหน ใช้ชีวิตแบบตีนถีบปากกัดมาตั้งแต่เกิด เมื่อโตขึ้นได้ไปรู้ไปเห็นครอบครัวอื่นถึงได้รู้ว่าครอบครัวของเรายากจน แต่ก็ไม่ได้คิดเปรียบเทียบกับใครหรือน้อยใจอะไรเพราะเห็น ๆ อยู่ว่าพ่อแม่พยายามเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดแล้ว เห็นรูปพ่อแม่นั่งนับตังค์รูปนี้ทีไร น้ำตาไหลทุกที
ถึงแม้ว่าเราเติบโตมาอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรามีเงินสะสมเจ็ดหลัก USD มีบ้านของตัวเองอยู่ ไม่มีหนี้สินแม้แต่สตางค์แดงเดียวมายี่สิบกว่าปีแล้วตั้งแต่ส่งค่าบ้านหมด มีความสุขดี ไม่รุ่มร้อน เรากับสามีไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเงินทอง แต่เราทุ่มเทเงินทองเพื่อการศึกษาและซื้อประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือ เดินทางท่องเที่ยว และดูคอนเสิร์ตฟังดนตรีดูการแสดงที่ชอบ เราชอบเที่ยวกันทั้งสองคนและวางแผนเที่ยวอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเกษียณแล้ว สามีเขาเกษียณมาได้ 17 ปี ส่วนเราเกษียณมาได้เกือบครบ 5 ปีเเล้ว เราสองคนไปเที่ยวมา 55 ประเทศ บางประเทศไปหลายครั้งหลายหนและยังเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ เพราะถือว่าการเดินทางเป็นการศึกษาประเทืองปัญญาเเละเป็นการฝึกฝนทักษะอย่างดี ถ้าหากคิดตามระยะทางแล้วเราไปมารอบโลกอย่างน้อยสี่สิบสามรอบ หกทวีปเเล้ว ยังเหลือแต่ออสเตรเลียเท่านั้นที่ยังไม่ได้ไป
🦉👩🏽💻 เราส่งลูกเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่เป็นหนี้ธนาคารอย่างที่เด็กอเมริกันจำนวนมากเป็นกัน ทั้ง ๆ ที่โดยปกติแล้วค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกาสูงมาาาาาาากกกก 👾🦉👩🏽💻*****ขออธิบายว่า ที่อเมริกา ที่พ่อแม่ชนชั้นกลางส่งเสียให้ลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่ให้ลูกกู้เงินมาเรียนจนเป็นหนี้หัวโตนี่ไม่ใช่เรื่องปกตินะเพราะค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่สูงจริง ๆ พ่อแม่ส่วนมากไม่ค่อยมีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกจนหมดหรอก อีกประการหนึ่งเขาถือว่าเวลาลูกอายุ 18 ปีนี่บรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนใหญ่จะให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง 👨💻 ถ้าอยากเรียนก็ให้ไปหาค่าเล่าเรียนเอาเองก็แล้วกัน คนหนุ่มคนสาวชาวอเมริกันจำนวนมากจึงกู้เงินมาเรียน เวลาจบแล้วถึงได้เป็นหนี้ธนาคารมากมาย จะต้องผ่อนส่งอยู่หลายปีกว่าจะหมดหนี้ ***** 👨🎨🦋🦋🦋 ........ 🐛🐛🐛 ส่วนเรานั้นส่งลูกเรียนจนจบได้ปริญญา พอลูกเรียนจบยังมีเงินเหลือให้ลูกไปตั้งต้นเริ่มเช่าห้องในแมนฮัตตันเมื่อลูกเริ่มทำงานอีกด้วย ถ้าใครเคยหาห้องพักในนิวยอร์คจะรู้ดีว่าค่าเช่าสูงแค่ไหน แถมจะต้องมีเงินให้พอค่าเช่าสำหรับสามเดือนถึงจะเช่าได้ เพราะเขาจะเรียกค่ามัดจำเพื่อค้ำประกันค่าเช่าเดือนแรกและเดือนสุดท้ายก่อนจะย้ายออกในอนาคต บวกกับค่านายหน้าจำนวนเท่ากับค่าเช่าหนึ่งเดือนอีกต่างหาก เงินค่านายหน้านี้จะไม่ได้คืนเวลาย้ายออก
💖🧑🎓🥰👨🏻🎓🌷🧑🎓
แล้วเราทำยังไงล่ะถึงเก็บเงินได้ตั้งแยะอย่างนี้
คำตอบอยู่ที่ว่า เราเลือกวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีวินัยการเงิน จับจ่ายใช้สอยต่ำกว่ารายได้ ไม่ซื้ออะไรที่เกินกำลังจ่ายจนเป็นหนี้ติดสินไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถรา หรืออะไรทั้งนั้น และมองว่าเงินคือสิ่งสมมุติแต่เป็นสิ่งจำเป็นในการแลกเปลี่ยนปัจจัยสี่เท่านั้นเอง ***แต่เราทุ่มเทเงินทองเพื่อการศึกษาและซื้อประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ตลอดมา** *หมายเหตุ* เราหักเงินทุกเดือนซื้อกองทุนสะสมก่อนที่จะเอาส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันและไม่กู้หนี้ยืมสินเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
🌾🌾🌿☘️🌾🌾🍀🌿🌾🌾🍃🍃🌾🌾🌿🍀🌾🌾🌿☘️🌾🌾🍀🌿🌾🌾🍃🍃🌾🌾
ย้อนไปถึงสมัยที่เรายังเป็นเด็ก พ่อแม่ของเราทำขนมขาย หาเช้ากินค่ำ เดิมพ่อเป็นช่างก่อสร้างแต่ประสบอุบัติเหตุตกจากหลังคา ขาหักกระดูกเท้าแตก เดินขากะเผลกเลยต้องอยู่บ้านช่วยแม่ทำขนมขาย ตื่นแต่ตีสี่ทุกวัน ลูก ๆ ทุกคนก็ต้องตื่นแต่เช้าช่วยทำขนมคนละไม้ละมือเช่นกัน ไม่ว่างเว้นแล้วถึงจะไปโรงเรียน
แม่จะหาบขนมขายไปที่ตลาดแต่เช้ามืดก่อน พอตลาดวายก็กลับมาทำขนมต่อ แล้วหาบไปขายตามหมู่บ้านบ้าง ตามงานวัดบ้าง จนบ่ายก็กลับมาทำขนมต่อเพื่อเตรียมเอาไปขายวันรุ่งขึ้นด้วย พอลูก ๆ กลับจากโรงเรียนก็ถูบ้านทำความสะอาดบ้านและช่วยพ่อแม่ทำขนมอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้นานนับปี ตอนหลังสุดแม่ได้ไปขายที่โรงเรียนเป็นขาประจำจึงค่อยสบายขึ้นหน่อยหนึ่ง เพราะไม่ต้องหาบไปขายทั้งวัน
รูปข้างบนนั่นถ่ายเมื่เรากลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่เรียนสำเร็จระดับปริญญาโทที่ฝรั่งเศส ระยะนี้ฐานะการเงินของพ่อแม่กระเตื้องขึ้นมากว่าเดิมมากแล้วนะนั่นเพราะได้ขายประจำที่โรงเรียน
👨💻👨🎨👾🙂💩🐞🕸
เคยมีคนที่เห็นรูปข้างบนนั้นมาติงว่าไม่จนจริงหรอกเพราะเห็นมีตู้หนังสือในรูปไง ถ้าจนจริง ๆ แล้วเอากล้องไหนมาถ่ายรูปนี้
ขออธิบายว่า ที่เห็นในรูปนั้นฐานะการเงินของพ่อแม่ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้ถามพ่อแม่ว่าเป็นเงินที่กำลังนับอยู่นั้นเก็บมารวมกันตั้งแต่กี่วัน แต่เรารู้ดีว่าเขาไม่ได้มีเก็บไว้ที่ไหน เพราะเราแบ่งทุนที่เราได้มาให้พ่อแม่และเป็นค่าเล่าเรียนของพี่และน้องตั้งแต่สมัยที่เราเรียนที่ธรรมศาสตร์แล้ว ส่วนตู้หนังสือที่เห็นในรูปนั้นพ่อต่อเอาเองจากเศษไม้ที่เหลือ ๆ ที่เขาทิ้งจากสถานก่อสร้างที่พ่อเคยไปทำ หนังสือในตู้นั้นคือตำราของเราที่พ่อแม่เเก็บไว้ให้หลังจากที่เรียนจบจากธรรมศาสตร์ ส่วนกล้องตัวนั้นเป็นกล้อง Kodak instamatic ที่ยืมของรุ่นพี่มาตอนกลับมาเยี่ยมบ้าน
*แก้ไขเพื่อขัดเกลาภาษาและปรับข้อมูลค่ะ