สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
1. สถานการณ์ตอนนั้นญี่ปุ่นต้องการไทยเป็นทางผ่านเพื่อยึดเอเชียได้และไทยเองก็ไม่ได้มีความพร้อมจะรับมือกับญี่ปุ่น อังกฤษที่ให้คำมั่นจะปกป้องเราตอนนั้นก็เอาตัวเองแทบไม่รอดไม่ต้องหวังว่าจะมาช่วยเราแบบจริงๆจังๆเลย ถ้าเราไม่ยอมผลลัพธ์ที่ได้คิดว่าจะเสียหายหนักและสุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดีคราวนี้เป็นการยอมในฐานะ "ผู้แพ้" ซึ่งญี่ปุ่นคงกดหัวเราหนักมากไม่เหมือนกับยอมในฐานะ "พันธมิตร" ที่แม้ในทางปฏิบัติจะเป็น "เบ้" ของญี่ปุ่นแต่ญี่ปุ่นก็ยังเกรงใจเราบ้าง ผมคิดว่ารัฐบาลไทยสมัยนั้นคงประเมินสถานการณ์แล้วล่ะว่ายอมดีกว่าและผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็นห่วงโซ่ของเหตการณ์ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ไทยเรื่อยไปยังสงครามเย็นสงบนู่
2. "นกสองหัว" "เซมิทอส์ก" คุณก็เข้าใจถูกแล้วนั่นแหละครับ พวกอังกฤษกับฝรั่งเศสทำอะไรเราไม่ถนัดคงแค้นใจลึกๆ เลยตั้งฉายานี้ให้เราไป แต่ผมกลับภูมิใจนะ ไทยเป็นประเทศที่จัดการกับปัญหาได้ดีกว่าฝรั่งเศสที่โดนเยอรมันเล่นซะกระอักเลือดส่วนอังกฤษถ้าไม่มีทะเลกั้นก็เสร็จฮิตเลอร์ไปนานแล้ว ส่วนของเราถ้าญี่ปุ่นชนะเราก็ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าสัมพันธมิตรชนะเราก็ยังอุตส่าห์หาทางรอดได้อีก ไม่ว่าสงครามจะออกหน้าไหนเราก็ยังมีทางรอด
3. และผลของการยอมแพ้ของญี่ปุ่น เป็นผลต่อเนื่องมาทำให้ชักอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลโดยอเมริกาช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เราเพราะตัวอเมริกาเองก็ต้องการสร้างอิทธิพลในแถบเอเชียเพราะอเมริกาเองก็อ่านขาดว่าจบสงครามโลกคงเกิดสงครามเย็นต่อจึงดึงไทยมาเป็นมหามิตรเพื่อจะใช้เป็นฐานต้านการขยายตัวของคอมมิวนิส
สุดท้ายอเมริกาใช้เราเป็นฐานเครื่องบินสำหรับสงครามเวียดนามแต่สุดท้ายอเมริกาก็แพ้ขนของกลับบ้าน เราจึงเริ่มเปิดสัมพันธ์กับจีน การที่ดึงจีนเข้ามาทำให้ลัทธิคอมมิวนิสสายโซเวียตที่กำลังขยายตัวต้องมีอันหยุดชะงักไปแต่ต่อมาพิษของระบบสังคมนิยมก็โจมตีเศรษฐกิจของโซเวียตอย่างรุนแรงจนในที่สุดโซเวียตก็ล่มสลายสิ้นสุดสงครามเย็น
สรุปสั้นๆ ไม่ว่าจะสงครามโลก สงครามเย็น หรือจะย้อนไปยังยุคล่าอนานิคมที่ว่าร้ายๆ.... ก็ไม่มีอะไรกินพี่ไทยลงได้ ผมไม่ใช่พวกชาตินิยมจ๋าแต่เรื่องนี้กล้าพูดได้เต็มปากว่า คนไทยควรภูมิใจ
2. "นกสองหัว" "เซมิทอส์ก" คุณก็เข้าใจถูกแล้วนั่นแหละครับ พวกอังกฤษกับฝรั่งเศสทำอะไรเราไม่ถนัดคงแค้นใจลึกๆ เลยตั้งฉายานี้ให้เราไป แต่ผมกลับภูมิใจนะ ไทยเป็นประเทศที่จัดการกับปัญหาได้ดีกว่าฝรั่งเศสที่โดนเยอรมันเล่นซะกระอักเลือดส่วนอังกฤษถ้าไม่มีทะเลกั้นก็เสร็จฮิตเลอร์ไปนานแล้ว ส่วนของเราถ้าญี่ปุ่นชนะเราก็ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าสัมพันธมิตรชนะเราก็ยังอุตส่าห์หาทางรอดได้อีก ไม่ว่าสงครามจะออกหน้าไหนเราก็ยังมีทางรอด
3. และผลของการยอมแพ้ของญี่ปุ่น เป็นผลต่อเนื่องมาทำให้ชักอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลโดยอเมริกาช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เราเพราะตัวอเมริกาเองก็ต้องการสร้างอิทธิพลในแถบเอเชียเพราะอเมริกาเองก็อ่านขาดว่าจบสงครามโลกคงเกิดสงครามเย็นต่อจึงดึงไทยมาเป็นมหามิตรเพื่อจะใช้เป็นฐานต้านการขยายตัวของคอมมิวนิส
สุดท้ายอเมริกาใช้เราเป็นฐานเครื่องบินสำหรับสงครามเวียดนามแต่สุดท้ายอเมริกาก็แพ้ขนของกลับบ้าน เราจึงเริ่มเปิดสัมพันธ์กับจีน การที่ดึงจีนเข้ามาทำให้ลัทธิคอมมิวนิสสายโซเวียตที่กำลังขยายตัวต้องมีอันหยุดชะงักไปแต่ต่อมาพิษของระบบสังคมนิยมก็โจมตีเศรษฐกิจของโซเวียตอย่างรุนแรงจนในที่สุดโซเวียตก็ล่มสลายสิ้นสุดสงครามเย็น
สรุปสั้นๆ ไม่ว่าจะสงครามโลก สงครามเย็น หรือจะย้อนไปยังยุคล่าอนานิคมที่ว่าร้ายๆ.... ก็ไม่มีอะไรกินพี่ไทยลงได้ ผมไม่ใช่พวกชาตินิยมจ๋าแต่เรื่องนี้กล้าพูดได้เต็มปากว่า คนไทยควรภูมิใจ
ความคิดเห็นที่ 13
ประเทศไทยไม่ตกอยู่ในสถานะผู้แพ้สงครามโดยนิตินัย โดยนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ออกประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นโมฆะ โดยยอมส่งมอบดินแดนที่ญี่ปุ่นมอบให้ไทยปกครองคือ รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปลิส เชียงตุง และเมืองพานให้อังกฤษ และมีการพิจารณายกเลิกกฎหมายที่เป็นผลเสียต่อสหรัฐฯ กับอังกฤษ และตกลงชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากกฎหมายดังกล่าว
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2488/A/044/503.PDF
ต่อมาไทยส่งพลเอก หลวงเสนาณรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะ ไปประชุมกับฝ่ายอังกฤษที่เมืองแคนดี ในวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๘๘ ฝ่ายอังกฤษมีพลเอก ลอร์ดหลุยส์ เม้าท์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า (Louis Mountbatten, Earl Mountbatten of Burma) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสัมพันธมิตรแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Supreme Allied Commander South East Asia Command; SEAC) เป็นประธาน
ในตอนแรกอังกฤษจะบีบให้ไทยลงนามในสัญญาที่ค่อนข้างเอาเปรียบจนเกือบเรียกได้ว่าต้องเสียอำนาจอธิปไตยใหห้อังกฤษ ฝ่ายไทยจึงแจ้งไปทางหน่วย OSS (Office of Strategic Services) ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ให้สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงสัญญา เพราะไม่อยากให้อังกฤษกลับมาแผ่ขยายลัทธิจักรวรรดินิยมในภูมิภาคอีก
ทางรัฐบาลไทยซึ่งปรีดีนำอยู่จึงแก่ปัญหาด้วยการให้ นายทวี บุญยเกตุลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและหัวหน้าเสรีไทยสายสหรัฐอเมริกาขึ้นมารับหน้าแทน เพราะหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับอังกฤษ ต่อมาไทยได้ส่งคณะผู้แทนนำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ไปเจรจากับอังกฤษที่แคนดีอีกครั้ง ต้องเจรจาเรื่องสัญญากันอีกหลายรอบ เพราะอังกฤษยืนยันจะให้ไทยจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามคือข้าว ๑ ล้าน ๕ แสนตันให้ได้ จนภายหลังทางอเมริกาเข้ามาแทรกแซงอีก โดยเสนอให้เรื่องข้าวที่ชดใช้มีคณะกรรมการผสมจากสหรัฐฯ อยู่ด้วย เพื่อที่จะประเมินปริมาณข้าวและเงินค่าเสียหายที่ไทยพอจ่ายได้
ด้วยเหตุนี้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยจึงได้ลงนามทำสนธิสัญญาสันติภาพกับอังกฤษเมื่อวัน ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มีชื่อว่า "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติภาวะสงคราม ระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย" (Formal Agreement for The Termination of The State of War Between Siam and the United Kingdom and India) ต่อมาชาติสัมพันธมิตรอื่นๆ ได้เข้ามาทำความตกลงและเพิ่มสนธิสัญญาเพิ่มเติม จึงได้เรียกว่า "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติสถานะสงครามระหว่างสยามและฝ่ายสัมพันธมิตร" (Formal Agreement for The Termination of The State of War Between Siam and Allies) เป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างไทยกับชาติสัมพันธมิตร
ไทยไม่ตกอยู่ในสถานะผู้แพ้สงครามในทางนิตินัยซึ่งเป็นเรื่องที่มีข้อกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องยอมจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามทำตามข้อเรียกร้องของต่างชาติบางประการตามที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งก็นับว่าผ่อนหนักเป็นเบาได้มาก
http://thaitreatydatabase.mfa.go.th/easinetimage/inetdoc?id=save_SCCEDMS.A00000001.4081_1_FCS_1_pdf
http://thaitreatydatabase.mfa.go.th/easinetimage/inetdoc?id=save_SCCEDMS.A00000001.4076_1_FCS_1_pdf
สำหรับข้าวที่เป็นค่าปฏิกรรมสงคราม ไทยส่งให้สหประชาชาติผ่านอังกฤษแบบให้เปล่าได้เล็กน้อยก็ไม่ได้ส่งอีก โดยอ้างว่าไม่มีคนยอมขายข้าวให้รัฐบาลในราคาซื้อที่ตั้งไว้ เพราะพ่อค้ารับซื้อในตลาดมืดในราคาสูงกว่า เกินกำลังรัฐบาลจะเข้าไปแย่งซื้อได้ ทั้งนี้เพราะยามนั้นข้าวเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมาก ข้าวจึงถูกลักลอบส่งไปขายนอกประเทศโดยรัฐบาลไม่สามารถหยุดยั้งได้ ทางไทยยังอ้างว่าขาดบุคคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือในการบริหารจัดการ เพราะขาดงบประมาณที่ถูกรีดไปจ่ายค่าชดเชยให้อังกฤษ สุดท้ายอังกฤษจึงต้องยอมซื้อในราคาตลาดแทน

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ มีการสวนสนามของกองทัพสัมพันธมิตรจากอังกฤษและอินเดียที่เข้ามาปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นเพื่ออำลาประเทศไทยบนถนนราชดำเนิน ต่อพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งประทับอยู่เคียงข้าง ลอร์ดหลุยส์ เม้าท์แบ็ตเทน โดยในครั้งนั้นเสรีไทยได้ร่วมในการสวนสนามครั้งนั้นด้วย เป็นการยืนยันสถานะของประเทศไทยว่าไม่ได้เป็นผู้แพ้สงคราม และอยู่ฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตรอย่างชัดเจนครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเหตุการณ์ของสยามช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโดยละเอียด รวมถึงบทบาทในการเจรจาทางการทูตของไทยให้ประเทศไทย "ไม่ตกอยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม" ผมแนะนำให้ศึกษาจากกระทู้ที่คุณ Navarat.C สมาชิกอาวุโสของห้องสมุดเคยเรียบเรียงจากหลักฐานชั้นต้นและบันทึกของบุคคลร่วมสมัยจำนวนมาก จะเป็นประโยชน์มากกว่าครับ
“โพยม จันทรัคคะ” ถ้าท่านนี้ไม่ตัดสินใจ ไทยอาจเสียอธิปไตยได้
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6131.0
ชีวิตและผลงานของเสรีไทยที่ถูกอ้างอิงเพื่อใช้ประโยชน์มากที่สุด
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6177.0
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2488/A/044/503.PDF
ต่อมาไทยส่งพลเอก หลวงเสนาณรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะ ไปประชุมกับฝ่ายอังกฤษที่เมืองแคนดี ในวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๘๘ ฝ่ายอังกฤษมีพลเอก ลอร์ดหลุยส์ เม้าท์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า (Louis Mountbatten, Earl Mountbatten of Burma) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสัมพันธมิตรแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Supreme Allied Commander South East Asia Command; SEAC) เป็นประธาน
ในตอนแรกอังกฤษจะบีบให้ไทยลงนามในสัญญาที่ค่อนข้างเอาเปรียบจนเกือบเรียกได้ว่าต้องเสียอำนาจอธิปไตยใหห้อังกฤษ ฝ่ายไทยจึงแจ้งไปทางหน่วย OSS (Office of Strategic Services) ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ให้สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงสัญญา เพราะไม่อยากให้อังกฤษกลับมาแผ่ขยายลัทธิจักรวรรดินิยมในภูมิภาคอีก
ทางรัฐบาลไทยซึ่งปรีดีนำอยู่จึงแก่ปัญหาด้วยการให้ นายทวี บุญยเกตุลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและหัวหน้าเสรีไทยสายสหรัฐอเมริกาขึ้นมารับหน้าแทน เพราะหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับอังกฤษ ต่อมาไทยได้ส่งคณะผู้แทนนำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ไปเจรจากับอังกฤษที่แคนดีอีกครั้ง ต้องเจรจาเรื่องสัญญากันอีกหลายรอบ เพราะอังกฤษยืนยันจะให้ไทยจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามคือข้าว ๑ ล้าน ๕ แสนตันให้ได้ จนภายหลังทางอเมริกาเข้ามาแทรกแซงอีก โดยเสนอให้เรื่องข้าวที่ชดใช้มีคณะกรรมการผสมจากสหรัฐฯ อยู่ด้วย เพื่อที่จะประเมินปริมาณข้าวและเงินค่าเสียหายที่ไทยพอจ่ายได้
ด้วยเหตุนี้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยจึงได้ลงนามทำสนธิสัญญาสันติภาพกับอังกฤษเมื่อวัน ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มีชื่อว่า "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติภาวะสงคราม ระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย" (Formal Agreement for The Termination of The State of War Between Siam and the United Kingdom and India) ต่อมาชาติสัมพันธมิตรอื่นๆ ได้เข้ามาทำความตกลงและเพิ่มสนธิสัญญาเพิ่มเติม จึงได้เรียกว่า "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติสถานะสงครามระหว่างสยามและฝ่ายสัมพันธมิตร" (Formal Agreement for The Termination of The State of War Between Siam and Allies) เป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างไทยกับชาติสัมพันธมิตร
ไทยไม่ตกอยู่ในสถานะผู้แพ้สงครามในทางนิตินัยซึ่งเป็นเรื่องที่มีข้อกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องยอมจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามทำตามข้อเรียกร้องของต่างชาติบางประการตามที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งก็นับว่าผ่อนหนักเป็นเบาได้มาก
http://thaitreatydatabase.mfa.go.th/easinetimage/inetdoc?id=save_SCCEDMS.A00000001.4081_1_FCS_1_pdf
http://thaitreatydatabase.mfa.go.th/easinetimage/inetdoc?id=save_SCCEDMS.A00000001.4076_1_FCS_1_pdf
สำหรับข้าวที่เป็นค่าปฏิกรรมสงคราม ไทยส่งให้สหประชาชาติผ่านอังกฤษแบบให้เปล่าได้เล็กน้อยก็ไม่ได้ส่งอีก โดยอ้างว่าไม่มีคนยอมขายข้าวให้รัฐบาลในราคาซื้อที่ตั้งไว้ เพราะพ่อค้ารับซื้อในตลาดมืดในราคาสูงกว่า เกินกำลังรัฐบาลจะเข้าไปแย่งซื้อได้ ทั้งนี้เพราะยามนั้นข้าวเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมาก ข้าวจึงถูกลักลอบส่งไปขายนอกประเทศโดยรัฐบาลไม่สามารถหยุดยั้งได้ ทางไทยยังอ้างว่าขาดบุคคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือในการบริหารจัดการ เพราะขาดงบประมาณที่ถูกรีดไปจ่ายค่าชดเชยให้อังกฤษ สุดท้ายอังกฤษจึงต้องยอมซื้อในราคาตลาดแทน

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ มีการสวนสนามของกองทัพสัมพันธมิตรจากอังกฤษและอินเดียที่เข้ามาปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นเพื่ออำลาประเทศไทยบนถนนราชดำเนิน ต่อพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งประทับอยู่เคียงข้าง ลอร์ดหลุยส์ เม้าท์แบ็ตเทน โดยในครั้งนั้นเสรีไทยได้ร่วมในการสวนสนามครั้งนั้นด้วย เป็นการยืนยันสถานะของประเทศไทยว่าไม่ได้เป็นผู้แพ้สงคราม และอยู่ฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตรอย่างชัดเจนครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเหตุการณ์ของสยามช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโดยละเอียด รวมถึงบทบาทในการเจรจาทางการทูตของไทยให้ประเทศไทย "ไม่ตกอยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม" ผมแนะนำให้ศึกษาจากกระทู้ที่คุณ Navarat.C สมาชิกอาวุโสของห้องสมุดเคยเรียบเรียงจากหลักฐานชั้นต้นและบันทึกของบุคคลร่วมสมัยจำนวนมาก จะเป็นประโยชน์มากกว่าครับ
“โพยม จันทรัคคะ” ถ้าท่านนี้ไม่ตัดสินใจ ไทยอาจเสียอธิปไตยได้
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6131.0
ชีวิตและผลงานของเสรีไทยที่ถูกอ้างอิงเพื่อใช้ประโยชน์มากที่สุด
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6177.0
แสดงความคิดเห็น
ถ้าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยไม่ยอมร่วมมือกับญี่ปุ่นและยอมเป็นฝ่ายอักษะด้วยกัน จะเกิดผลกระทบอะไรกับไทยมากไหม?